จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ผญาบุญผะเหวด เดือนสี่ โดยอีเกียแดง แห่งรัตติกาล




พี่น้องเอ๋ย ขอยอยกถกเค้า วิถีเก่าแต่คราวหลัง
หลายคนยังหล่ะยึดถือ จื่อเห็นเป็นคำอ้าง
วิถีทางบ่ต่างเค้า ได้รวมเอาศรัทธาแกร่ง
ดั่งแสงธรรมได้นำแจ้ง แปงทางฮู้สู่ค่าควร
หญิงและชายต่างหมายล้วน ได้หวนก่อต่องานบุญ
เดือนสี่หมุนหล่ะอ่วยมา ศรัทธาใจต่างไหลน้อม
พะยอมหอมกลิ่นเค้า เจ้ามันปลากะว่ากรุ่น
ผะเหวดบุญคือทุนเอื้อ ได้เฟือส่าง(สร้าง)หย่างต่อฮอย
พี่น้องเอ๊ย ประวัติดีมีบ่น้อย บ่อาจปล่อยให้ลอยสูญ
ขอจับจูนค่าคำ ให้นำเห็นหล่ะทางเค้า
ส่องเห็นเงาผู้เอาฤษก เบิกแนวทางให้ตางก่อ
เอาแค่พอให้ฮู้..ยกนามซูเอ่ยอ้าง ให้ทางเจ้าได้เลายิน
โอน้อ พระมาลัยผู้ไกลสิ้น กิเลสปิ่นหล่ะทางจร
นามกรขจรไกล อยู่ในพงศ์เซื้อ
ฤทธาเหลือจนเฟือล้น เหาะเดินวนจนคนส่า
สวรรค์ดาวอยู่ฮาวฟ้า เทวาพ้องกะส่องชม
จุฬามณีกะบ่ม้ม ได้ชมต่อน้อเมืองบน
ดั่งว่าผลค่าธรรม ได้ส่องนำจนเห็นแจ้ง
ประดุจแสงแยงซี้ ชุลีกรได้น้อมต่อ
ดั่งแสงธรรมให้นำพ้อ น้อแก้วค่างาม
พระศรีอารย์คือนามท่าน ผู้ผันถ่ายในภายกาล
สืบความงามทางใจ ให้ฮุ่งใสเทียมแก้ว
สิต่อแนวโคดมท่าน ขันใจรวมให้กวมแกร่ง
ไผอยากแยงฮ่วมแปงปั้น ให้หมั่นส่าง(สร้าง)ทางหย่างควร
สู่ความดีที่งามล้วน ในมวลแก่นทางใจ
หากว่าไผเฮ็ดนำ ผลกระทำย่อมเห็นแจ้ง
ยกแสดงไว้สามข่อ(ข้อ) ฝากต่อทางมาลัยท่าน
ให้จือจำหล่ะนำมั่น สิผันพ้อหล่ะต่อทาง ซั้นแหล๊ว
โอน้อ คุณมารดาว่าเลิศล้ำ บิดาส่ำเทียมเถิง
ให้เจ้าเทินค่าสูง ผดุงงามคือเว้า
อีกทั้งพุทธองค์เจ้า น้อมเอาคุณให้หนุนซ่อย
หล่ะอย่าสะคอยยุเย้า ให้สงฆ์เจ้าสิ้นเหล่าควร
ประพฤติธรรมนำซ้วน ให้ควรค่าว่าทางใจ
ผะเหวดในชาดก ถืกยกเอาหล่ะมาอ้าง
ให้เสริมทางให้สานคล้อง จ่องแนวทางอย่าตางเก่า
สิได้พบเมตไตรยเจ้า ในคราวหน่า(หน้า)บัดห่าลุน พุ้นแหล๊ว
พี่น้องเอ๋ย เป็นประวัติแต่ภายพุ้น ที่หนุนส่องจนมองเห็น
จนสืบเป็นค่าฮอย ที่คอยเพียรหล่ะเวียนน้อม
ดอกพะยอมหอมกลิ่นค้าง กะเถิงทางหว่างเดือนสี่
ผะเหวดบุญหล่ะคราวนี่ คนปรี่ร่วมว่าฮ่วมงาน ซั้นแหล๊วครับ
เตรียมสถานให้งามพร้อม พระซ้อมอ่านมาลัยแสน
ธรรมาสน์แขวนสายโยง ผูกธงทิวจนปลิวว่อน
ทั้งกัณฑ์หลอนกะเตรียมเอ้ สนุกเฮฮ้องหม่วน
ผะเหวดลายงามล้วน สมควรค่าหล่ะว่ายิล
สิบสามกัณฑ์ทั้งเหมิดสิ้น เสียงยินส่งยังคงดัง
แห่ตามหลังดั่งสู่เมือง ตามเรื่องราวแต่คราวกี้
นางมัทรีมีสมส่าง(สร้าง) ชูชกพราหมณ์กะตามต่อ
อีกกัณหาชาลีจ้อ ถืกพราหมณ์ล่อหล่ะสู่เมือง
โอน้อ สมมุติทำหล่ะนำเรื่อง ประเทืองค่าจนพาเห็น
ศีล-ทานเป็นเช่นผลควร ให้หวนตรองดั่งคองเค้า
ฟังธรรมเอาหล่ะใจตั้ง อีกศีล-ทานกะตางต่อ
อย่างละพันสรรหาพ้อ มายอไว่หล่ะใส่งาน
มาลางามดอกบานแย้ม กะแต้มต่อน้องานบุญ
ธูปเทียนหนุนเป็นบุญงาม กะเอาตามดั่งเคยเว้า
อีกทั้งเข่า(ข้าว)เหนียวปั้น กะขันเอาเล่าพันท่อ
มายกยอหล่ะห่อปั้น ขันร่วมให้ฮ่วมมี
พี่น้องเอ๊ย ขออ่วยลงหล่ะตรงนี่ วิถีเรื่องให้เนืองตรอง
ฮักษาคองแต่ก่อนกาล ให้สืบสานหล่ะคงไว้
อีสานไทยสืบสายร่วม สวมสัมพันธ์บ่หันปล่อย
ยังกรุ่นฮอยคอยเห็นเค้า..อีเกียแดงยังแจงเว้า..เอามาอ้างบ่ต่างเคย อยู่เด้ครับ
บทกลอนผญาโดย อีเกียแดง แห่งรัตติกาล@อนิรุทธิ์
๒๖/๒/๒๕๕๘
ปล ผิดพลาดหรือไม่สมควรประการใด ขออภัยท่านผู้รู้นำเด้อครับ
ด้วยจิตน้อมคารวะ
"บุญผะเหวด" เป็นสําเนียงชาวอีสานที่มาจากคําว่า "บุญพระเวส"หรือพระเวสสันดร เป็นประเพณีตามคติความเชื่อของชาวอีสานที่ว่า หากผู้ใดได้ฟัง เทศน์เรื่องพระเวสสันดรทั้ง 13 กัณฑ์จบภายในวันเดียว จะได้เกิดร่วมชาติภพกับพระศรีอริยเมตไตย บุญผะเหวดนี้จะทําติดต่อกันสามวัน วันแรกจัดเตรียมสถานที่ตกแต่ง ศาลาการเปรียญวันที่สองเป็นวันเฉลิมฉลองพระเวสสันดร ชาวบ้านร่วมทั้งพระภิกษุสงฆ์จากหมู่บ้านใกล้เคียงจะมา ร่วมพิธีมีทั้งการจัดขบวนแห่เครื่องไทยทานฟังเทศน์และแห่พระเวส โดยการแห่ผ้าผะเหวด (ผ้าผืนยาวเขียนภาพเล่าเรื่องพระเวสสันดร)
ซึ่งสมมติเป็น การแห่พระเวสสันดรเข้าสู่เมือง เมื่อถึงเวลาค่ำจะมีเทศน์เรื่องพระมาลัย ส่วนวันที่สามเป็นงานบุญพิธี ชาวบ้านจะร่วมกันตักบาตรข้าวพันก้อน พิธีจะมี ไปจนค่ำ ชาวบ้านจะแห่แหน ฟ้อนรําตั้งขบวนเรียงรายตั้งกัณฑ์มาถวายอานิสงฆ์อีกกัณฑ์หนึ่ง จึงเสร็จพิธมูลเหตุของพิธีกรรมพระสงฆ์จะเทศน์เรื่อง เวสสันดรชาดกจนจบและเทศน์ จากเรื่องในหนังสือมาไลยหมื่นมาไลยแสนกล่าวว่า ครั้งหนึ่งพระมาลัยเถระได้ขึ้นไปไหว้พระธาตุเกษแก้วจุฬามณี บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และได้พบปะสนทนากับพระศรีอริยเมนไตย ผู้ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตและพระศรีอริยเมตไตยได้สั่งความมากับ พระมาลัยว่า "ถ้ามนุษย์อยากจะพบและร่วมเกิดในศาสนาของพระองค์แล้วจะต้องปฏิบัติตนดังต่อไปนี้คือ"
1. จงอย่าฆ่าพ่อตีแม่ สมณพราหมณ์
2. จงอย่าทําร้ายพระพุทธเจ้า และยุยงให้สงฆ์แตกแยกกัน
3. ให้ตั้งใจฟังเทศน์เรื่อง พระเวสสันดรให้จบในวันเดียวด้วยเหตุ ที่ชาวอีสานต้องการจะได้พบพระศรีอริยเมตไตยและเกิดร่วมศาสนาของพระองค์จึง มีการทําบุญผะเหวด ซึ่งเป็นประจําทุกปี

วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557





นิทานคำกลอนผญาสอนใจ สไตล์รุทธิ์ อีเกียแดง แห่งรัตติกาล

  เรื่อง หมาน้อยผู้ลืมคุณ

          นิทานกลอนคติธรรม ตอนจบครับ




พี่น้องเอ๋ย ราชสีห์คิดการณ์ล้ำ ความใฝ่ต่ำได้นำเจอ
เผลออุบายสิวายชนน์ ให้แก่คนที่เคยเลี้ยง
ปิดทางเสียงเพื่อเสี่ยงส่น เรื่องตนมีเซื้อเก่า
คันว่ามีอาจารย์เจ้า กะคงเว้าให้เลาเสีย แท้แหล่ว

โอน้อ กรรมนำเฟียตั้งแต่เริ่ม เผดิมคิดจิตมัวหมอง
ราชสีห์มองบ่เห็น คงถึงเวรน้อเกินแล้ว
บ่เห็นแววสิคืนได้ หัวใจในแหม่นดำด๊าง พี่น้องเอ๊ย
โจนทะยานขานก้อง สิจองล้างค่าคุณ ฮึ่ม!! (เอาแล้วบัดนี่)

ทางอาจารย์ผู้ใจมุ่ง ผดุงต่อน้อความดี
ประกายมีแสงทิพย์ จิตส่องเห็นหล่ะเวรฮ้าย
ขยับกายเที่ยงหมั่น หันสู่ธรรมที่ตั้งต่อ
หลับตารอต่อศิษย์เจ้า ผู้เนาอ้อนแต่ก่อนกาล สั่นแหล๊ว

อวสานนิทานท้าย ขยายเรื่องให้เนืองตรอง
สิงห์ผยองถืกจองจับ กลับเป็นหมาในคราพุ้น
ย้อนลืมคุณอาจารย์เจ้า ตัณหาเมาจนเขลาโง่
สมพาโลน้อโตเจ้า ขี้เฮี้ยนเข้าหล่ะเหล่าคืน (จื่อบ่)

พี่น้องเอ๋ย นิทานกลอนสอนบ่ตื้น ให้ตื่นต่อน้อคำจา
ภูมิปัญญาให้ตรองตรึก สำนึกคุณเป็นบุญแท้
ให้ลองแปลนิทานเค้า มาเหล่ามองตรองให้ถี่
ขอจบลงแหม่นตรงนี่..นิทานมีหล่ะส่ำนี่..วาทีน้อมหล่ะต่อคุณ เด้อครับ

หากว่าไปในภายพุ้น บุญมีต่อกะพอเสริม
ปัญญาเติมทางใจ สว่างในได้เห็นแจ้ง
อีเกียแดงพร้องแจงแจก แนบสำนวนมาหวนต่อ
นิทานธรรมคงจำพ้อ ขอคืนเค้าได้เลายิน

ผญากลอนบ่ฮ่อนสิ้น หากศิลป์ส่งยังคงดัง
ลูกหลานยังฮ่วมสาน คือดั่งกาลที่นานล่วง
พอปานดวงไฟแก้ว ยังเห็นแววประกายค่า
ศิวิไลในผืนหล้า..อีสานหล่าได้ส่ายิน..เสียงพิณอ้อน.....

น้อมจิตคารวะ
อีเกียแดง แห่งรัตติกาล
๑/๑๑/๒๕๕๗


นิทานคำกลอนผญาสอนใจ สไตล์รุทธิ์ อีเกียแดง แห่งรัตติกาล

  เรื่อง หมาน้อยผู้ลืมคุณ

          นิทานกลอนคติธรรม ตอนที่สองครับ


โอน้อ ทางหมาน้อยกะพลอยปลื้ม แหม่นยืนย่างกะพลางสุข
บ่ว่านอนหรือลุก กะสุขขีบ่มีฮ้อน
หมาน้อยนอนแนบไหว้ ถวายงานเอาการก่อ
สองปีขอนอบน้อม ยอมรับใซ้เพื่อไถ่คุณ สั่นแหล๊วครับ

หล่วงสองปีบ่มีวุ่น ย้อนหนุนต่อน้อความดี
อาจารย์มีใจฮัก แหม่นหนักหนากะพาแก้
กุศลมีแหม่นดีแท้ บ่แหว่ทางจนตางหล่วง
ประพฤติควรได้หวนน้อม กะถึงพร้อมค่างาม

จวบหลายกาลว่านานแล้ว ยังแน่วต่อน้อความดี
บ่มีหนีห่างทาง บ่ปล่อยวางจนการวุ่น
ความการุณหนุนน้อม ต้อมใส่ทางดั่งวาทว่า
อาจารย์หาพรล้ำ ได้นำมอบตอบต่อคืน (โอ้ หมาน้อยสิได้ขอพรบัดนี่หล่ะ)

พี่น้องเอ๋ย ทางหมาน้อยกะพลอยชื่น แหม่นยืนคิดในใจ
พร้อมขานไขในประสงค์ อาจารย์คงสิเห็นพร้อม
ว่าแล้วยอมือน้อม ประนมกรตั้งเที่ยง
เปล่งสำเนียงเสียงเว้า เปลี่ยนเอาร่างราชสีห์ ว่าซ้านครับ (โอ้เนาะ)

------คือว่าซั้นน้อท้าว-----

อยากเที่ยวไปในโลกนี่ บ่มีสิ่งคาขวง
สัตว์ทั้งปวงให้เกรงขาม บัดยามกลายในภายพื้น
อาจารย์ยืนมืนตาจ้อง ท่องอาคมให้สมดั๊ง
-------โอมเพี้ยง------
หมาน้อยพลันกลายร่าง สู่ทางราชสีห์ สั่นแหล่วครับ

โอน้อ สมใจหมายในภายนี่ กะรี่แล่นทางจร
ชมนครพฤกษา ผืนป่างามตามใจต้อง
ตะวันรอนหลบนอนถ่ำ(ถ้ำ) จนหลายวันได้ผันก่าย
ราชสีห์กะย่างย้าย หมายพ้อต่อคู่งาม (โอ้ เพินพ้อผู้สาวสั่นแหล่ว)

พี่น้องเอ๋ย ใจประสงค์คงคาน้ำ ยังตามต่อน้อนำหา
ใจประสงค์กานดา กะว่านำจนตำพ้อ
ยกใจยอพอใจเจ้า ราชสีห์สาวผู้ล้ำค่า
เกี้ยวพาราพาใจมอบ...ตอบสาวเจ้าว่าเหล่าปอง เด้อบัดนี่

ราชสีห์สาวหล่ะทางน้อง กะเปิดป่องชายตา
รับวาจาของชาย หากหมายสมสิชมซ้อน
เปล่งเสียงวอนอ่อนวาท หากคารมนั่นสมว่า
ให้นำพาว่าแม่เจ้า..ให้นำเอาอี๊พ่อเจ้า มาวานเว้าต่อเผ่านาง เด้ออ้าย

โอ้เนาะ ปานว่าราคีคล้ำ มาตำหน่วงทางใจ
สิบอกไปในความจริง กะย้านสิงห์นางเกรี้ยว
นางเอ๊ย ขอหลบเทียวคืนบ้าน ถิ่นภูฏานสถานที่ ก่อนเด้อ
สิบราตรีสิคืนโค้ง ดำรงไว้ต่อคำ เด้อหล่า

อีเกียแดง แห่งรัตติกาล
๓๑/๑๐/๒๕๕๗



นิทานคำกลอนผญาสอนใจ สไตล์รุทธิ์ อีเกียแดง แห่งรัตติกาล

  เรื่อง หมาน้อยผู้ลืมคุณ

          นิทานกลอนคติธรรม ตอนที่หนึ่งครับ

โอน้อ ขอลองจับขยับเรื่อง เยื้องย่างในทางกลอน
กับคำสอนในตอนหลัง ดั่งนิทานที่ขานแจ้ง
ยกแสดงมาแปลงเว้า ขัดเกลาคำให้จำจื่อ
หากว่าคือกะถือไว้ เอาใจน้อมต้อมใส่นำ เด้อครับ

สาธุเด้อ คุณพระพุทธเลิศล้ำ ให้ค้ำเกี่ยว..ทางจิต
ร้อยเรียงคำจงสำฤทธิ์ อย่าติดขวง..คาค้าง
ให้ส่องทางกระจ่างแจ้ง สิแปลงคำให้จำก่อ
ขอยกยอต่อเหนือเกล้า เอามาน้อมต้อมใส่ลง สาธุ

ประนมกรน้อมโน้ม ก้มต่อน้ออาจารย์
ผู้ประสานคำสอน กลอนผญาได้พาแจ้ง
ให้เป็นแสงส่องชี้ ให้มีทางได้สานก่อ
ยามติดขัดให้พัดพ้อ กลอนไหลจ้อได้ต่อลง

พี่น้องเอ๊ย กล่าวเถิงดงหล่ะพงไม้ ผืนใหญ่ในภูฏาน
ขนานนามตามหลัก จักซื่อหยั๋งบ่ทันฮู้ (ฮ่วยเนาะ)
มีท่านครูผู้ประเสริฐ เลิศทางคุณได้หนุนเกี่ยว
สัตว์ทั้งหลายต่างหมายเกี้ยว เหนี่ยวใจน้อมต้อมต่อคุณ

ความการุณท่านสูงเอื้อ เกื้อกูลต่อน้อฝูงสัตว์
ทางมนตราคณานับ จับเสกหยั๋งกะฟัง-ฟื้น
แหม่นตายคืนกะยืนได้ สัตว์น้อมในวจีดั่ง
สื่อสารฟังคำได้ บ่ไกลเจ้าดอกเหล่าคน

ยกบทบาทเบื้องต้น มาวนใส่ในทางกลอน
ยินเสียงหอนบ้างนอนคราง ใต้หล่างเถียงพระคุณท่าน
สุดสงสารน้อหมาน้อย ขี้เฮี้ยนหลอยกินทั่ว
ลามทั้งตัวพ่องหัวเจ้า มันนอนเส่า(เศร้า) เกาหยั่งคืน

เป็นที่น่าสมพื้น ได้แต่ตื่นหล่ะมืนตา
นั่งผวาย้อนว่าคัน สิลุกหันกะพลันล้ม
ปวดระบมจนซมซ้อน อาจารย์มองตรองแล้วหน๊าย โอยเนาะ
เลยปัดคลายทุกข์ซ้อน จนนอนได้ในหว่างคืน ซั้นแหล๊วครับ

อีเกียแดง แห่งรัตติกาล/
๓๐/๑๐/๒๕๕๗

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

                                         ..รวมบทผญา..ตามอารมณ์นำพา..
                                         อีเกียแดง แห่งรัตติกาล




พี่น้องเอ๋ย..

เถิงแหม่นสายทางขั่น สายสัมพันธ์หั่นคงอยู่
เปรียบประตูยู้กายต้อน ซอนใจเข้าได้เลาฟัง
ดุจคือดั่งอ้ายน้อง เกลียวสีทองฮักหมั่นแก่น
เป็นสายแนนแขวนเกี่ยวไว้ บ่ไลร้างดอกห่างกัน..

ขอให้ฮักเสมอหมั่น อย่าป๋ากันน้อถิ่มปล่อย
ให้ซ่อยซูซ่อยซ้อน คองเค้าแต่เก่าเดิม
เชิญมาเสริมเติมร่วม กระบวนความให้คงอยู่
ไขประตูสู่ป่องเอี้ยม เคียมเค้า..แต่เก่าหลัง..นำกันครับ

อีเกียแดง แห่งรัตติกาล

ขอบคุณรูปภาพจาก
Surin Sky View (เจ้าของภาพ)
Buriram City เขากระโดง - เมืองบุรีรัมย์
..ภาพมุมสูง พระสุภัทรบพิตร บนยอดเขากระโดง บุรีรัมย์..(ปากปล่องภูเขาไฟ)ครับ




































ดอกแคบานกลางท่งกว้าง.หัวใจป่วงคนิงเถิง
อ้ายนั่งเทิงเถียงนา.สายตามองตรองเห็นกลุ้ม
ปานไฟสุมมันรุมเข้า ใจบ่เซาคิดฮ้อนฮ่ำ
ย้อนคึดนำนารทน้อง ผู้เคยอ้อน.นั่งเคียง..เด้น้อ

หล่านางเอ๊ย..

เหลือแค่เพียงฮอยเจ้า ที่เคยเหล่าเฮาเคยหา
เจ้าบ่กลับคืนนา ป๋าหัวใจไว้แคต้น
หัวใจชายมันดำหม่น ย้อนหน้ามนบ่ท่องเทียว
ไปบ่เหลียวหลังจ้อย ปล่อยอ้าย..ป่ายน้ำตา..เเท้น้อ


อีเกียแดง แห่งรัตติกาล/

             ภาพจากญาอ้ายภูเพียงครับ










 หล่านางเอ๊ย..

ปลายฤดูฝนคล้อย ลมวอยวอยลอยมาเปลี่ยน
ภาพหลอยเวียนเจียนใจอ้าย คือหมายย้ำให้ฮ่ำฮอน.
วาทะกลอนเคยวอนเว้า โฉมเฉลาเจ้าบอกหน่าย
ปล่อยจุดหมายหาซายซ้อน เหลือคอนไว้ให้ไก่แยง..บ่ฮึ๊..

ย่างตะแคงจั่งลืมส่น โอ๊ย.หน้ามลคนบ้านป่า
ปานว่าหงห์ได้เหิรฟ้า ถลาขึ้นบ่หมื่นลง..แท้น้อ..

อีเกียแดง แห่งรัตติกาล


ขอบคุณภาพจาก PV rainbow.ครับ

































หล่านางเอ๊ย..

ย้านหัวใจสิเพม้าง ย้อนหนทางเป็นโตเปลี่ยน
ย้านควมเพียรของฮักเจ้า สิไลร้างดอกห่างหนี
ย้านคนดีหนีไปหน้า ถิ่มหนุ่มนาให่นอนป่วง..เด้น้อ
ย้านฮักลวงหลอกต้ม ขมแล้วกะแส่วกลาย

ย้านควมหมายของฮักแท้ เหมิดทางแหว่แป๋ทางเดิน..
ย้านว่ากายที่เคยเพลิน ถืกเจ้าเมินน้อป๋าไว้
ย้านเจ็บในจนเป็นไข้ เหมิดทางไขใล่ตกป่อง
ย้านว่าเคียดึงจ้องไว้ ทางใจเจ้ากะเหล่าลืม..สั่นแหล๊ว..

อีเกียแดง แห่งรัตติกาล//


{ภาพ..พระเจดีย์ใหญ่ชัยมงคล จังหวัดร้อยเอ็ดครับ..} 
   









 


 หล่านางเอ๊ย..

คำเฮาสัญญาไว้ บ่ลืมไลน้อป๋าปล่อย
ยังคงลอยมาออยเว้า เหลาใจให้ได้คึดนำ
แหม่นถลำห่างไปหน้า ห่างกายาวาจาอยู่..อยู่เด้อ
ป่องประตูบ่ฮู้แย้ม เก็บแซมซู้เข้าอู่ใจ

อันว่าในโลกานี้ มีสาวอื่นอยู่หมื่นแสน..นางเอ๊ย
ใจบ่คลอนแคลนฮัก สลักลงยังคงไว้
อยู่ในใจเสมอหมั่น บ่เคยผันดอกเป็นอื่น
เก็บวันซืนยืนหวนพ้อ รอมื้อให้ได้ไต่คืน..สั่นแหล๊ว..

อีเกียแดง แห่งรัตติกาล


เก็บภาพท่งนาเกาหลีมาฝากครับ









 
หล่านางเอ๊ย..

อันว่าฝนมันหลงฟ้า ชลธามันหลงฝั่ง
ปลาหลงวังอั่งน้ำ บ่หวนหย่อต่อคืน
กระต่ายยืนตื่นจันทร์เจ้า หลงแยงเอาจนว่าป่วง
อ้ายหลงครวญฮ่วนหาเจ้า เทิงยืนเศร้า.เล่าคึดนำ..สั่นแหล๊ว..

อีเกียแดง แห่งรัตติกาล/


เก็บรูปพระจันทร์เต็มดวงจากทางประเทศเกาหลีมาฝากครับ..



วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สายใยไหม สายใยผ้า สายใยแห่งวิถี {โดย..อีเกียแดง แห่งรัตติกาล}













อีเกียแดง แห่งรัตติกาล




















                         วิถีการดำรงชีวิตของชาวอีสานบ้านเฮานั่น ผมต้องยอมรับว่าน่าภาคภูมิใจเหลือหลาย เถิงแม้ว่าแต่ละถิ่นสิดำเนินแนวทางที่แปลกแล้วกะแตกต่างกันออกไป แต่กะถือว่าสวยงามตามแบบฉบับของแต่ละถิ่นจนเกิดเป็นเอกลักษณ์ เป็นวิถีอันทรงคุณค่า ควรแก่การเรียนรู้และอนุรักษ์พร้อมที่สิเก็บเกี่ยวสิ่งดีงามนำมาปฏิบัติแล้วกะบอกเล่าให้คนทั่วไปได้ฮู้กัน

                         ทุกมื้อนี่วิถีหลายๆอย่างเริ่มจาง(ย้อนว่าบ่มีคนสืบทอดนั่นเองบ่แม่นจางย้อนบ่ได้ใส่น้ำปลาเด้อขอรับ แห่ะๆ) มันเริ่มสิลางเลือนหายไปกับกาลเวลา การแข่งขันด้วยเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท กิเลสแห่งการโหยหาสนองความอยากของโตเฮาเองเฮ็ดให้ความสุขในชีวิตของเฮาลดลง ซึ่งผมเองกะยอมรับว่าผมกะยังมีความอยาก อยากได้อั่นนั่นอยากได้อั่นนี่ อยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่ อยากย่างเฮียงผู้นั่นอยากนั่งนำผู้นี่ นั่น!!..มันกะเลยเกิดเป็นความทุกข์บ่เซาย้อนความอยากนี่เอง {เซาดอก.เดี๋ยวผู้ลังคนสิว่ามาจ่มอีหยั๋งให้ฟังหล่ะท้าว} อั่นทีอ้ายต้องแล่งกับจารย์ใหญ่เลาอยากกินอ่อมเณรน้อยอยากกินก้อยรถมอเตอร์ไซด์เลาบ่เห็นปาก นั่งอยู่เค้าเม้าพอปานเสาธง ไคแนต๊ะอ้ายมังกรเดียวดายเอาดินทรายไปโพ๊ะใส่ค่อยสะเดิดสะเดอ..แห่ะๆ


         ผมเคยได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งซื่อว่า "ยายอีสานเถิงหลานฝรั่ง" จากความอนุเคราะห์ของบ่าวลุ่มดอนไข่ มีบทหนึ่งที่เพินเขียนเถิงหลานน้อยหัวแดง อ่านแล้วกะเป็นต๊ะคึดเอาฮ้าย..เพินหล่ะว่า..


        ...ถ้าหลานกลับมาหายายอีกครั้ง หลานอาจจะพบความเป็นอีสานที่แตกต่างไปจากที่ยายเขียน นั่นเป็นเพราะว่าวันเวลาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป

       ..ทุ่งนาหลายแปลงเปลี่ยนเป็นสวนยางพาราและสวนยูคาลิปตัส

       ..รถไถเหล็กนำมาใช้แทนวัวควาย การลงแขกดำนาและเกี่ยวข้าว เจ้าของนาจะต้องจ่ายเงินค่าแรงวันละหลายร้อยบาทต่อคน

        ..หูกทอผ้าไหม ผ้าฝ้ายและเครื่องมือในการทอผ้า กลายเป็นแค่ของประดับตามบ้านหรือร้านอาหาร

         ..เสื้อสายเดี่ยวเกาะอก กางเกงยีนส์รัดรูป นำมาสวมใส่แทนเสื้อผ้าไหม ผ้าฝ้าย ชุดผ้าไหมผ้าฝ้ายกลายเป็นอาภรณ์เฉพาะผู้สูงวัย

        ..ครกกระเดื่องที่ใช้ตำข้าวแทบจะไม่มีให้เห็น บางแห่งยังมีอยู่ แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนนำเครื่องทุ่นแรงบางอย่างมาผสมผสาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานที่เร็วขึ้น

      ..เด็กๆในหมู่บ้านได้รับการศึกษาตามภาคบังคับ และโรงเรียนขยายโอกาสมีทั่วถึง การศึกษาระดับสูงมาถึงบันไดบ้าน แต่ก็น่าแปลกตรงที่ว่าเมื่อเรียนจบแล้ว น้อยคนนักที่จะกลับมาอยู่บ้านเพื่อพัฒนาท้องถิ่นของตน ส่วนใหญ่ไปหากินในจังหวัดใหญ่ๆ

      ..ประเพณีบุญตามฮีตสิบสองยังคงมี แต่หลายอย่างก็แปรเปลี่ยนไปตามสภาพของสังคมและการเมือง

      ..วันนี้ต้นไม้ใหญ่ของคนอีสานไม่แข็งแรงดังเดิม เพราะรากเหง้าอ่อนแอ ยายเองก็ไม่ต่างไปจากต้นไม้ใหญ่ที่นับวันจะโรยราตามกาลเวลา







                      เอาซิ่นไหมป้าหน่อยมาโชว์เกิ่น


                            นั่นหล่ะครับ..อ่านแล้วกะแม่นควมเพินคัก เหลียวให้เห็นภาพนำคำเว้าพอปานเข้ากองถ่าน  ฮีตอีสานบ่อนบั้นสิเป็นแท้หล่ะจั่งได๋น้อ เอ๊า..จักแม่นอีหยั๋งดอกผมหนิกะดาย ว่าสิออกมาสอยจั่งได๋คือออกมาแนวนี่หล่ะ แห่ะๆ..กะเทินได้ออกมาแล้วกะให้สอยสาเนาะ..


  " อั่นสอย สอย แล้วกะสอย.ผู้สาวส่ำน้อยเพินบ่ฮู้จักบ่าวหน่อตั๊วะ พอแต่ถืกจับหย่อ..อุ๊ย))).อ้ายหน่อ เมืองพลาญ ขา)))))))).."

                        อั่นนี้กะว่าสอย บุ๊ย..งวกหลังไปเบิ่งเห็นแต่ป้าหน่อยกำลังสิวีค้อนมาใส่อยู่พุ้น.เซาดอก


              เข้าเรื่องดีกว่าดอก เดี๋ยวหลายคนสิขิว เอาหนังสะติ๊กยิงอีเกียไปตำป่นแทนแมงดา มื้อนี่เป็นมื้อวันพุธกะเลยได้โอกาสเปิดกระทู้อีกจักอันก่อน (เกี่ยวกันหม่องได๋น้อ เพินว่า ..^_^.. )  พอดีว่าผมมานั่งเห็นของเก่าๆเกี่ยวกับวิถีอีสานหลายๆอย่างกะเลยอยากนำมาเว้าสู่ฟัง เถิงแม้ว่าสิมีควมฮู้บ่พอหางอึ่งแต่กะอยากเว้า (..คันมันอยากเว้ากะปล่อยมันเว้าโล้ดสู..ผู้ลังคนว่า ฮ่าๆๆ..) บ่แม่นหยั๋งดอกครับ เห็นแข่งม้อน(โรงเลี้ยงม้อน)  เห็นอัก เห็นฟืม กะเลยไปถ่ายรูปมาให้เบิ่งสั่นเด้ครับ


            ผู้ลังคน : อั่นเว้าอยู่หนิสิเอารูปแข่งม้อนฮ้างมาให้เบิ่งสั่นติ

            อีเกียแดง: แม่นแล้วคับ นอกจากสิได้เบิ่งแข่งม้อนฮ้างแล้วกะยังมีกระจ่อฮ้างกับกระสวยให้เบิ่งเป็นของแถมนำเด้คับ แห่ะๆ ..เห็นว่ากะเบิ่งนำแนถ่อน บ่ได้เอาเงินจ้างเบิ่งคือเมียงูแบบอ้ายปิ่นลมเด้หล่ะ..

         
           เอาหล่ะเนาะครับเข้าเรื่องอีหลีก่อนสิถืกบักกอกป้าหน่อย..ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับโตม้อนหรือการเลี้ยงม้อนไว้แต่กะยังบ่ทันได้มีรูปมาประกอบปานได๋ บัดนี่ไคแนมีรูปจักหน่อยกะเลยหลอยมาลงไว้ ลังเทือโดนไปอาจสิบ่มีให้เบิ่งเพราะว่ามันสิเสื่อมสลายไปกับกาลเวลา ของแต่ละชิ้นเป็นของอี๊แม่ครับ ซึ่งเพินเองกะยังเฮ็ดงานด้านนี้อยู่โดยตลอด เถิงแม้ว่าบรรดาอาๆป้าๆทั้งหลายสิเซาเฮ็ดกันแล้วกะตามที ผมขอเริ่มตั้งแต่การเลี้ยงม้อนใหม่ๆเลยเนาะครับ..ว่าแล้วกะนำมาสิพาไปจอบหลอยกินม้อนสุกสาก่อน แห่ะๆ







  ฝักสีเหลืองทองที่เห็นนี้ฮู้สึกว่าสิคุ้นตาสำหรับอีเกียแดงเป็นอย่างดี เพราะว่าคลุกคลี(แล่นเหล่นม้าก้านกล้วยมานำกันตั้งแต่ยังน้อย แป่ว..แฮ่..^_^..) ป่าวซ๊ะกะหน่อย เคยจับเล่นลูบๆคลำๆขยำๆเหนี่ยงเล่นมาโดยตลอดสั่นดอกครับ  อั่นนี้ทางบ้านผมกะเอิ้นฝักหลอกเด้อครับ คันฝักหลอกที่โตบี้กัดออกมาแล้วกะสิเอิ้นว่าฝักหลอกหลีบ (หรือลีบกะบ่จักครับ..ตามแต่สิเอิ้น)  เคยถามอี๊แม่ว่าไอ้ฝักหลอก(รังไหม)นี้ถ้าเฮาสิอยากจะขยายพันธุ์เลี้ยงเอาเส้นไหมไว้ต่ำผ้าซิ่นนั่นมันต้องใช้กระบวนการจั๊กมื้อค่อยสิแล้วเสร็จ งานนี้ก็เลยได้ข้อมูลมาแบบคร่าวๆปนตรงเป๊ะแน่จั๊กหน่อย(ฮู้สึกว่าแม่เพินสิฮู้ละเอียดยิบเสียด้วยสิขอรับ พอดีแหล่ะเผื่ออ้ายๆหมู่ๆน้องๆคนได๋อยากฮู้เถิงวัฐจักรการเจริญเติบโตของเจ้าฝักสีทองนี้ว่า มันเป็นมาจั่งได๋พออ่านแล้วกะสิได้ฮ้องว่า. อ๋อ ไปพร้อมๆกันด้วย คริ คริ (อั่นนี้ทฤษฎีอีแม่ผมเด้อครับ..บ่แม่นสูตรตายโตทั่วไปเนาะครับ แต่กะของคนอื่นกะอยู่ในเกณฑ์เดียวกันครับ)  บทความนี้สิเป็นการอ้างอิงมาจากอี๊แม่ผมเด้อครับ หม่องอื่นกะอาจสิบ่คือกันครับ



            ตามกระบวนการแล้วพอเฮามีฝักหลอก(รังไหม)สีทองแล้ว ต้องการสิเลี้ยงต่อไปกะต้องคัดเลือกฝักที่สมบูรณ์ งานนี้แม่บอกว่าต้องนั่งสั่น(บ่แม่นนั่งสั่นแบบเจ้าเข้าทรงเด้ครับ แห่ะๆ)แต่คือการจับสั่นเบาๆให้ฮู้เถิงน้ำหนักโตข้างในฝัก ถ้าหนักแม่บอกว่าเป็นโตเมีย ถ้าเบารับรองว่าเจ้านั่นมันเป็นผู้ชายชัวร์ เบ๊ยย..ช่างสังเกตุแท้หล่ะอี๊แม่นี่กะดาย งานนี้ก็ต้องเลือกคละกันทั้งเบาและหนักเพื่อสิเฟ้นหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ชั้นหัวกระทิ เอาแบบเคิ่งต่อเคิ่งเลย เมื่อเลือกแล้วกะปล่อยถิ่มไว้ประมาณ10มื้อ แล้วบักโตที่อยู่ข้างในกะสิออกมาจากฝักเองเป็นโตสีขาวหม่นมีปีกนำ  ทางอีสานเรียกว่าบี้ (บ่แม่นบี้ เดอะสตาร์เด้) พอออกมาเฮากะต้องมาเลือกอีกเทือว่าโตผู้โตเมียมีส่ำกันบ่(เท่ากันไหม)  เกิดมีโตเมียหลายแล้วโตผู้น้อย รับรองว่าไอ้ผู้ชายวินม่องแน่ๆ คริ คริ ฉะนั้นทุกอย่างต้องสมดุลกัน เสร็จแล้วกะถิ่มให้เขาเกี้ยวพาราสีกันตามใจสิเฮ็ดอีหยั๋งกันแบบได๋กะเฮ็ดโล้ด (บ่จอบเบิ่งดอกย้านตาต้อ) เมื่อเสพสมอารมณ์หมายแล้วประมาณ20ชั่วโมงเจ้าบี้โตเมียก็สิเริ่มไข่ หลังจากนั้นเฮาก็เก็บไข่ไว้ในที่มิดชิดผ้าปิดแต่ต้องให้อากาศถ่ายเทได้(บ่ฮ้อนจนเกินไป)





                     (ฮูปโตบี้เนาะครับ ผสมพันธุ์กันก่อนที่สิไข่ออกมา แล้วกะสิกลายเป็นโตหนอนน้อย)
ขอบคุณเจ้าของภาพเพินไปนำเด้อครับ ตามลิ้งค์ในฮูปนั่นหล่ะครับ




 หลังจากไข่ได้10มื้อกะฟักเป็นโตอ่อน แม่บอกว่าเริ่มให้อาหารเลยแม้ว่ามันสิน้อยอยู่กะตาม อาหารกะคือใบมอน ต้องซอยน้อยๆเพื่อให้โตอ่อนมันกินได้ การให้ใบมอนกะต้องเป็นสามเวลาเฉกเช่นกับคนเฮาคือกัน (กินเก่งเนาะม้อนนี่กะดาย) จากนั้นไปอีก5มื้อโตม้อนสิเซากินแล้วกะสิเริ่มนอนหลับทับสิทธิ์บ่สนใจอีหยั๋ง ตอนนี้แม่เลาเอิ้นว่าม้อนนอนขน คือโตม้อนมันนอนเป็นเทือแรกนั่นแหล่ะครับ การนอนของมันกะใช้เวลาประมาณ24ชั่วโมงคือกัน ยามมันตึ่นเฮากะเริ่มให้ใบมอนต่อ แล้วเฮากะต้องคอยสังเกตุการเจริญโตของโตม้อนและคอยคัดแยกออกไปยังกระด้งใหม่เพื่อบ่่ให้แออัด ใช้ผ้าคลุมมิดชิดเด้อครับ ถัดจากนั้นไปอีก3มื้อ ม้อนกะสิเริ่มนอนอีก ตอนนี้แม่เอิ้นว่า ม้อนนอน2 ลักษณะการนอนกะใช้ระยะท่อกัน คือ24ชั่วโมง (มันนอนกะสำบายแน เพราะเฮาบ่ต้องเกีย)





  หลังจากนั้นอีก3มื้อมันก็นอนอีก ฮ่าๆๆ แม่เอิ้นว่าม้อนนอน3 บัดนี้กะเริ่มกระบวนการต่อไปเนาะครับ ถัดกันไปหลังจากนั้นอีก5มื้อ ม้อนกะเริ่มนอนอีกแล้วสิ ตอนนี้แม่เอิ้นว่า ม้อนนอนใหญ่ ตอนนี้โตม้อนสิโตสีเขียวและใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ การกินใบมอนก็หลายขึ้นตามลำดับ เฮาต้องคอยแยกออกใส่กระด้งเพื่อบ่ให้มันแหย่กัน (ช่วงนี้แหล่ะที่อี๊แม่เลาต้องแล่นหาเก็บใบมอนมาให้ม้อนกิน เช้ากลางเว็นแลง มืดส่ำได๋กะขลุกอยู่ในโรงเลี้ยงพุ้นหล่ะครับ หลังจากที่โตม้อนนอนใหญ่ไปได้7มื้อแล้วเฮากะสิเริ่มสังเกตุได้ว่ามันกินหน่อยลง






  แล้วโตมันกะสิเริ่มออกสีเหลืองสุกใส อ่า!!!ม้อนสิสุกแล้วเด้หนิ (อ้ายมังกรเดียวดายเลาบอกว่าม้อนสุกกินได้บ่เป็นขี้กะตืกดอก พะนะ ) จากนั้นโตม้อนกะสิทะย๊อยทะยอยสุกกันจนเหมิด โตสุกเฮาต้องเก็บแยกออกมาใว้ในกระด้งใหญ่หรือทางอีสานเอิ้นว่ากระจ่อนั่นเองคับ 





                          ..สุกแล้วเก็บไว้ใส่จ่อ อย่าเอาไปใส่ปากคืออ้ายมังกรเพินเด้อหล่ะครับ..


กระจ่อครับ


     โตม้อนที่สุกกะสิเริ่มทอเส้นใยสีทองจนเป็นฝักกลมหรือออกในลักษณะกลมหรือรี  ถัดไปสามมื้อเฮากะดึงออก(อั่นนี้ทางบ้านผมเอิ้นถกฝักหลอก) มาลงหม้อน้ำฮ้อนเพื่อให้ได้เส้นไหมซั่นแหล่วครับ



           เส้นทางสู่การสาวหลอก (ไผ๋อยากลองแน.)

   ..ทุกมื้อนี่ต้องบอกได้เลยครับว่า อาชีพที่เป็นภูมิปัญญาของคนท้องถิ่นเฮาเริ่มสิโรยรากันไปหลายเลย เนื่องจากเป็นงานที่ต้องเอาใจใส่หลาย ตื่นเช้ามาต้องขลุกอยู่กับมัน ยามได้ลงมือเลี้ยงต้องเต็มที่กับมัน แฮ่งยามม้อนเริ่มสิใหญ่การให้อาหารมันกะแฮ่งต๊ะขึ้น เช้าไปเก็บใบมอนเถิงตอนบ่าย(คันบ่มีใบมอนของโตเองเพียงพอกะต้องแล่นหาซื้อตาเป็นว้อหล่ะครับ) เก็บมาแล้วกะมานั่งเสียขี้ม้อนออกก่อนสิให้ใบมอน แม่เลาเลี้ยงรุ่นนึงกะแค่ยี่สิบกว่ากระด้ง ส่ำนี่กะเหล่นเอาเมื่อยแล้วครับ การสาวหลอกกะต้องนั่งอยู่กับความฮ้อนตลอด รุ่นนึงกะได้เส้นไหมอยู่ประมาณ1กิโลกรัม (ซึ่งตามท้องตลาดอยู่ที่กิโลกรัมละหนึ่งพันหกร้อยบาทแล้วเด้ตอนนี่) ผู้ได๋กะว่ามันบ่คุ้มค่าเมื่อย เลยเฮ็ดให้อาชีพแบบนี้ค่อยๆเหมิดไป คนส่วนใหญ่หันหลังให้ หันหน้ากับอาชีพอื่นที่มีรายได้หลายกว่ากว่า สำบายกว่า  ส่วนคนที่เฮ็ดอยู่ กะเฮ็ดด้วยใจฮักและบ่มีทางเลือกนั่นเองครับ  หมู่บ้านผมเองกะเว้าได้เลยครับว่ามีเฮ็ดอยู่บ่เถิงสองคน หนึ่งในนั้นก็คืออี๊แม่เพิน..

   เถิงขั้นตอนนี้ที่เอิ้นว่า สาวหลอกแล้วเด้อ(เจ็บบ่..จื่อบ่..เจ็บหล่ะเนาะจื่อหล่ะเนาะน้ำฮ้อนฟ้งใส่บ่เจ็บจั่งได๋ ฮ่าๆๆ)  นี่คือส่วนที่กำลังสิเห็นผล แต่ว่าผู้บ่าวคนได๋ได้(ถืก)สาวหลอก รับรองชีช้ำผักกาดดองไปโดนเลยหล่ะ แห่ะๆ การสาวหลอกเอาเส้นไหมนั้นต้องใช้ความฮ้อนในอุณหภูมิที่พอเหมาะและการดึงต้องเสมอต้นเสมอปลาย เพราะสิมีผลกับเส้นไหมที่เฮาสิได้  ไหมเส้นน้อยเวลาเอาไปต่ำผ้าไหมกะสิละเอียดงาม ส่วนเส้นใหญ่กะสิออกหนาแน (งานนี้ก็แล้วแต่ความมักของแต่ละคนเนาะครับ บางคนมักไหมเส้นน้อยบางคนมักไหมเส้นใหญ่กะว่ากันไป) 






                   อี๊แม่นั่งสาวหลอกแต่เซ้าฮอดค่ำเลยครับ





 ฝักหลอกหมู่นี้ถืกสาวไหมเปลือกนอกออกก่อนครับ แล้วกะสิค่อยทะยอยเอาลงสาวเอาเส้นไหมแบบละเอียด

















     ผลพวงอันแสนแซบถืกปากไผ๋หลายๆคนครับ ดักแด้นั่นเอง





 มาฮู้จักอุปกรณ์การสาวหลอกที่ผู้บ่าวควรมีประจำโตไว้ครับ แฮ่!!  หม้อหลอกหน่วยดำคัก โตที่คีบอยู่เทิงปากหม้อเอิ้นไม้พวงสาว(สิมีฮูสำหรับสอดเส้นไหมพ้อม) แล้วกะไม้ด้ามสีฟ้านั่นเอิ้นไม้บักหืบครับ(สำหรับควบคุมฝักหลอกและเส้นไหม)






 สาวเส้นไหมใส่กระต่าไว้แล้วกะเอามาเหล่งครับ..เครื่องนี้ทางบ้านผมเอิ้นเหล่ง ของเก่าสิเป็นไม้แต่ตอนนี้พัฒนามาเป็นเหล็ก แล้วงานกะไวขึ้นครับ หมุนติ้วๆคักกว่าอ้ายปิ่นอีก



                                                         เลี้ยงหลายกะสิได้เส้นไหมหลายครับ   มีไหมหลายแล้วกะอยากได้ผ้าซิ่นผ้าสโร่งงามๆเด้เนาะครับ ลองนำไปเบิ่งก่อนเนาะ อี๊แม่เลาเฮ็ดแบบได๋แน




                         เอาเส้นไหมไปต้มฟอกกับน้ำยาก่อน ให้ไหมมันขาวแล้วกะอ่อนนิ่ม



หลังจากนั่นกะเอามากวักใส่กงครับ (อั่นนี้เอิ้นกง)  ขอโทษอย่างสูงสุดที่บ่ได้ถ่ายกงเปล่ามาลง คันอยากเห็นถ่าให้หนูแห่นไหมหมู่คาอยู่ในกงนี่ก่อนเด้อ แห่ะๆ



   จากกงกะมาลงสู่อัก อันนี้เอิ้นอักนะค๊ะ  จากอักกะสิเอาไปปั่นใส่หลอด เคียไส้ตันคือหลอดชั้นดีสมัยนั้นครับ ทุกมื้อนี้กะปรับเปลี่ยนเป็นหลอดแนวใหม่ หลอดกะต้องใช้กันกับไน อีกอั่นนึงกะคือถ้วยอีแป้กับโบกไหม(บ้องไม้ไผ่)



                               อันนี้เอิ้นไน


                      ถ้วยอีแป้ สิมีฮูสำหรับสอดเส้นไหมครับ


                                                                                                              โบกไหม



                                โบกไหมรุ่นใหม่



 อุปกรณ์หมู่นี้ต้องประสานงานกันคับ คักหลายเนาะ

           หลังจากเฮาปั่นใส่โบกแล้ว เฮาเอากลับมาปั่นใส่เหล่งอีกเทือ(โอยปวดหมองนำเนาะกว่าสิได้ผ้าไหม) ต๊ะเลี้ยงม้อนกะว่าโดนคักแล้ว ปั่นใส่เหล่งแล้วบัดเทือนี่กะต้องเอาไหมไปย้อมสีหล่ะครับ(สิเอาไปมัดหมี่)ต้องย้อมเหลืองก่อนครับ ย้อมแล้วค่อยสิได้เอาไหมไปค้นหมี่ อั่นนั่นผมอธิบายคือสิยากอยู่ดอก แต่อี๊แม่เพินกะบอกเต็มที่ ผมได้แต่ยกมือสต๊อปพลีสสส..ไอปวดหมอง ฮ่าๆๆ เป็นอั่นว่ามาเบิ่งเครื่องมือและอุปกรณ์ดีกว่าครับ




 สีย้อมครับ มีหลายสีให้เลือก แต่ก่อนกะสิใช้สีจากธรรมชาติครับ ทุกมื้อนี่กะยังมีอยู่ครับ อันนี้ผมขอชื่นชมภูมิปัญญาอีหลี



                        มีหลากหลายสีให้เลือกครับ



  ขวดยาล้างไหมครับ ล้างให้ไหมเป็นสีขาว


     เมื่อล้างแล้วเพินกะสิเอาไปค้นเนาะครับ นั่นคือค้นลำหมี่เพื่อสิได้มัดลายได้ ส่วนลายหมี่นั่นทุกมื้อนี้มีขายให้เลือกเอาแบบแซวซ๊ะ   สำหรับเครื่องค้นขอติดไว้ก่อนเนาะครับ




   แค่นี่กะนำลายได้ครับ


        หลังจากค้นแล้วกะสิมามัดหมี่สั่นแหล่ว เอามาใส่โฮงจัดลำให้ได้ระดับแล้วกะไล่มัดตามลายได้เลย ผมอธิบายยากเนาะครับขั้นตอนนี่




                                   โฮงหมี่ครับ


 หมี่ลายดอกกุหลาบฝีมือพี่สาวอีเกียแดงครับ 85ลำ ย้อมหรือมัดได้แล้วกะเอาเข้ากี่เตรียมต่ำหูกครับ



        อั่นนี่กระสวยไว้สอด มีคุณสมบัตินอกเหนือจากนี่คือ ส่งคนเข้านอนได้พ้อม แห่ะๆ


                                  ลายหมี่ทางต่ำครับ



                    อั่นนี้เอิ้น บักผัง  ติดหัวไม้ทั้งสองข้างเกาะดันผ้าให้ตึงเวลาเฮาต่ำครับ


                                   ไม้ไคว่ครับ




  เหล็กพันเคียหูกสั่นแหล่วครับ พันอยู่หนิแปดเมตรพุ้นแหล่ว ซิ่น4ต่ง


อุปกรณ์เสริมครับ ฮ่าๆๆ แนวหวีหูก (หวีให้ไหมมันเส้นกลม) เคล็ดลับคือใช้ครีมนวดผมผสมข้าวแช่น้ำ ส่วนปูนเอามาก่านไหมครับ




  ช่วงล่างครับ หมาบักมิ๊กทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม เอิ๊กกกๆๆ.. อี๊แม่ซ่างบ่เหยียบหัวเด้เนาะ




    ว่าแล้วกะต่ำ สอดกระสวยไป-มา  นั่น..เห็นลายงามแล้ว แฮ่..



  หรือจะนำไปทอเป็นผ้าซิ่นตีนแดง ผ้าไหมเอกลักษณ์ของชาวอำเภอพุทไธสง-อำเภอนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์    ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็จะได้เห็นผ้าถุงแบบนี้ละลานตาไปหมด ไม่เว้นแต่เด็กๆที่ใส่แล้วดูจะงามตาไปอีกแบบครับ





.. หรือรุ่นสาวๆ ใส่แล้วก็ดูสวยเก๋แบบฉบับเอกลักษณ์ของอำเภอไปเลย ผ้าซิ่นตีนแดงหยอดทอง..สวยมากเลยครับ อำเภอนาโพธิ์ บุรีรัมย์

             ( ภาพนี้ต้องขอบคุณพี่เป๊าะไปด้วยนะครับ)



 น้องยี่..หลานสาวคนโตยืนเป็นแบบให้ กับผ้าซิ่นตีนแดงพุทไธสง บุรีรัมย์ {หกเมตรที่สวมใส่เป็นงานฝีมือคุณแม่ของอีเกียแดง}


ออกมาเป็นผืนผ้าที่สวยงามและน่าภาคภูมิใจนำเนาะครับ จากสายไหมมาสู่ผ้าไหมสวยงาม นี่คืองานที่ผมชื่นชอบเป็นการส่วนโต น่าดีใจอยู่ว่าตอนนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์เพินประกาศให้คนบุรีรัมย์พากันใส่ผ้าไหมออกงานกัน แถมยกอำเภอทางพุทไธสง-นาโพธิ์เป็นผู้นำร่องผ้าไหมดีเด่น นั่นกะคือผ้าซิ่นตีนแดงนั่นเองครับ ไหม คือเส้นสายคือสายใยที่ถักทอเชื่อมโยงสายใยในครอบครัวให้ฮักหมั่นแก่น งดงามเฉกเช่นแสงสีทองของเส้นไหมนั่นเองครับ

                         

                               

            
                                           ด้วยจิตคารวะ

                                   {อีเกียแดง แห่งรัตติกาล}