จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554


         วิถีแห่งลุ่มน้ำโขงในอดีต ความประทับใจที่ไม่เคยลืม สัมผัสกลิ่นไอ วัฒนธรรมที่น่าชื่นชมที่ทุกวันนี้สัมผัสได้ยากเต็มที เที่ยวเมืองลาวในครั้งอดีต
                           โดยอีเกียแดง แห่งรัตติกาล

                     ภาษาที่ใช้เป็นถ้อยคำภาษาอีสานนะครับ

        (ขอขอบคุณภาพสวยๆจากอินเตอร์เน็ตตามเว็บทั่วไปด้วยครับ)

บทความนี้ขอทอดความฮู้สึกดีๆที่เฮาเคยได้ผ่านได้เห็นมาแต่ก่อนเนาะครับ  บ่ว่าสิเป็นชีวิตตั้งแต่เด็กน้อย เรื่องราวที่ประทับใจของแต่ละคน วิถีชีวิตของทางอีสานบ้านเฮา การไปเที่ยวที่ประทับใจ เรื่องดีๆที่ประทับใจ เช่นการต่อสู้ชีวิต ไผ๋มีเรื่องหยั๋งอยากเว้าขอเอามาลงในกระทู้นี่เนาะครับ เป็นการแชร์ความรู้สึกสิ่งดีๆที่ประทับใจที่นึกไปพ้อยามใดอดที่สินั่งยิ้มบ่ได้   บางเทือกะอาจสิเป็นข้อคิดให้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตได้ครับ  







               .......  บ่าวรุทธิ์เคยไปเที่ยวทางประเทศลาว  ประเทศลาวเป็นประเทศที่อยู่ในความทรงจำอันดีของผมมาตั้งแต่เป็นเด็กน้อย กะเลยนำความฮู้สึกตรงนั้นมาถ่ายทอดให่อ่านเหล่นๆกันเน๊าะครับ (ถึงสิผ่านมาเกือบยี่สิบปีแล้วกะตามที)  ผมมีโอกาสได้ขึ้นไปสัมผัสกับวัฒนธรรมของเพิน วิถีชีวิต รวมไปถึงภาพบรรยากาศรอบข้าง เห็นแล้วสดชื่นสดใสไปนำ  ไปแต่น้อยกะบ่แม่นย้อนหยั๋งดอกครับเรียนจบ ป.6 ออกมากะบ่มีโอกาสสิได้เรียนต่อคือหมู่เขา กะเลยคิดว่าอยากบวชเฮียนเขียนอ่านต่อจั๊กหน่อย เลยได้บวชเป็นเณรน้อย กะพอดีหลวงพ่อท่านพระครูเพินกะเลยขอผมไปเป็นเณรอุปฐากเพิน พอดีอีกเทือหนึ่งที่พ่อผมกับหลวงพ่อพระครูเป็นหมู่กันสมัยหนุ่มๆบวชพระพ้อมกัน เมื่อพ่อผมเสียผมกะเลยกลายเป็นลูกบุญธรรมหลวงพ่อพระครูไปโดยปริยาย ตอนนี้หลวงพ่อพระครูเพินกะน่าจะอยู่ที่47พรรษาแล้ว เพราะอายุเพินกะ67แล้วเนาะครับตอนนี้ ผมกะจำบ่ได้ว่าเพินไปมีหมู่อยู่กับหลวงพ่อทางฝั่งเมืองลาวได้จั่งได๋ เพินสิไปยามกันทางลาวผมกะเลยมีโอกาสได้ไปนำ  (ไปไสหลวงพ่อพระครูเพินสิเอาผมไปนำตลอดเลย)  ไปตอนนั้นกะสิไปจั๊ก20กว่าคนได้ เอารถไปสองคันหลวงพ่อพระครูเพินกะเลยถือโอกาสจัดผ้าป่าไปทอดทางวัดเมืองลาวนำเลย ครับกะเอารถไปจอดไว้ที่อำเภอธาตุพนม กว่าสิเข้าไปได้กะยากคือกันครับตอนนั้นบ่สะดวกหลายๆอย่าง ต้องให่ทางนายอำเภอเพินเซ็นต์ผ่านไห่ก่อน กว่าสิแล่นหานายอำเภอพ้อจนว่าเกือบบ่าย4โมง (ไปฮอดธาตุพนมตั้งแต่เที่ยง)

              พอเอารถฝากไว้ฝั่งเมืองไทยแล้ว กะพากันมาลงเรือที่ท่าเรือหน้าพระธาตุเน๊าะครับ หลวงพ่อทางฝั่งลาวเพินเอาเรือมารอถ่าฮับตั้งแต่สี่โมงเช้าแล้ว เป็นเรือทางบ้านเพินสองลำใหญ่เลยครับ ขนของลงเสร็จแล้วกะออกเดินทาง ยอมรับตอนนั้นตื่นตาตื่นใจครับ ผมเป็นเณรน้อยกะบ่เคยเห็น เห็นแม่น้ำโขงสีขุ่น (เป็นตาย้านในความฮู้สึกตอนนั้น) เรือแล่นผ่านสิพ้นน้ำโขงกะสิเข้าลำเซทางฝั่งลาว เป็นภาพที่งามครับกลายเป็นว่าแม่น้ำสองสีไปโดยปริยาย ขุ่นฝั่งนึง ใสฝั่งนึง เรือแล่นเข้าปากเซเรียบร้อยแล้วกะมีต๊ะน้ำใสๆให่เบิ่ง ตื่นตากับธรรมชาติบ้านเพินครับ

                





                 ....เหลียวเบิ่งสองฟากฝั่งของลำน้ำกะเต็มไปด้วยแปลงผัก ที่ชาวบ้านเพินได้พากันปลูกไว้ แนวมันเป็นช่วงยามแลงกะเลยเบิ่งเป็นตาคึกคักแน เทิงเด็กน้อย เทิงผู้สาว เทิงผู้เฒ่า พากันหาบกะคุ หาบบัว ตักน้ำฮดผัก เห็นเด็กน้อยบ้านเพินพากันแล่นกระโดดน้ำอยู่ต้ามๆ เอาโล้ด ผู้สาวกะใส่ซิ่นลงตุ้มเอิกลงอาบน้ำ ย้อนว่าเป็นเณรน้อยกะเลยมีแค่ความคิดไร้เดียงสา (ถ้าเป็นตอนนี้บ่แน่ครับ บ่าวรุทธิ์อีเกียแดงอาจสิกระโดดลงเรือลอยน้ำเข่าไปหา สิไปถามเพินจั๊กคำว่า "ผู้สาวน้ำเย็นดีบ่"5555) เห็นแล้วกะฮู้สึกว่าอิ่มในความฮู้สึกตรงนั่น เห็นวิถีชีวิตตรงนั้น เรือแล่นไปฮอดบ้านได๋กะสิได้ยินเสียงเอิ้นถามข่าวคราวมาเป็นระยะ จากฟากสองฝั่งลำเซ เพินคือมีความผูกพันธ์กันดีเด้น้อ นั่งเรือไปน้ำกะฟ้งใส่จีวรอยู่เรื่อยๆถึงแม้ว่าสิออกเดินทางออกมาตะเช้า จนปานนี้ผมกะบ่มีทีท่าว่าสิง่วงนอน ย้อนตื่นตาตื่นใจกับธรรมชาติสองฝั่งลำน้ำ เสียงคนในเรือกะฮู้สึกว่ามีเว้ากันดังขึ้นเรื่อยๆ มีฮ้องเพลงไปนำพ้อม เอ??????ย้อนหยั๋งน้อ           พอแต่เริ่มสิสังเกตุดีๆ โอ๋มันย้อนอั่นนี่ตั๊วนี่ ไหเหล้าไหบักใหญ่เลยตั๊วนี่พี่น้องทางลาวเพินเอาติดเรือมานำมาไว้ถ่าต้อนฮับว่าซั่น เอาอีกแล้ว ฮ่าๆๆๆ ไปทางได๋กะบ่ม้มเหล้าน้อ ในความคิดตอนนั้นสั่นดอกว๊า   (ตอนนี้อาจสิเปลี่ยนความคิดไปแนจั๊กหน่อย แหะๆๆๆ) เสียงเพลงดังขึ่นจนกลบเสียงเรือ การเบิ่งธรรมชาติสองฝั่งลำน้ำของผมกะเลยมีปัญหาไปนำย้อนบ่มีสมาธิในการเบิ่ง ต้องคอยแนมกลับมาเบิ่งมาฟังเพินฮ้องเพลงอยู่เรื่อยๆ ควันไฟสองฝั่งเริ่มสิมีให่เห็นเป็นจุดๆ เพินดังไฟนึ่งข้าวแลงแล้วตั๊วนี่ บ้านบางหลังกะสร้างหันหน้าออกมาทางลำน้ำ มีซานยื่นออกมาเหลี๋ยวไปกะเห็นยายเลากำลังดังไฟใช้แนวพัดอยู่วี๊หวี่ (ย้านมันบ่ติดสั่นแหล่ว ฮ่าๆๆๆๆ)   บ้านสองฝั่งตามที่ผมสังเกตุเบิ่งสิเป็นบ้านไม้แทบทุกหลัง (บ้านชั้นเดียวยกสูง ข้างล่างปล่อยโล่งมีแต่เสา) แต่ตอนนี้คิดว่าเพินคือสิเปลี่ยนไปหลายแล้วน้อครับ ไฟฟ้ากะยังบ่ทันมีครับ             เรือกะแล่นนำก้นกันไปเรื่อยๆ โตผมเองนั่งอยู่ลำทางหน้า เวลาตอนนี้กะสิ6โมงแล้ว สองฝั่งกะเริ่มสิมืดขึ่นเรื่อยๆ การเบิ่งธรรมชาติของผมกะฮุ้สึกว่าต้องพักไว้แค่นั้น    หันมาให่ความสนใจของนักร้อง ที่ผลัดกันขึ้นผลัดกันลง เดี๋ยวกะพี่น้องทางไทยแน เปลี่ยนไปเป็นพี่น้องทางลาวนำ หลวงพ่อพระครูเพินกะอดสิหัวร่อนำบ่ได้ "จั่งแมนคั๊กเนาะ ฮิ๊วว"   คือโดนฮอดแท้น้อ ในความคิดตอนนั้นนั่งเรือเข้ามาเป็นชั่วโมงแล้ว ฮู้สึกว่าไกลคั๊กแล้วหนา ความมืดกะเริ่มแผ่เข้ามาปกคลุม เรือกะเลยจำเป็นต้องเปิดไฟแนจั๊กหน่อย
ไฟกะบ่แมนไฟหยั๋งเด๊ครับ เป็นไฟฉายกระบอกน้อยๆพอส่องเห็นทาง  (โอ๊ยย งึดเพินหลายกะยั๊งหว่า 5555)  มีปัญหาแน่นอนแท้งานนี่ ฉะนั้นความเร็วของเรือกะถูกลดลงแนจั๊กหน่อย เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร    ....จนเวลาเกือบ6โมง40เรือกะนำพามาฮอดจุดหมายปลายทาง ตอนนี้เหลี๋ยวหยั๋งกะแทบสิบ่เห็นหยั๋งแล้วมืดคั๊กแล้วครับ แต่กะดีอยู่น้อยนึงมีเรือจอดอยู่ท่าลำนึง ซึ่งมีหน้าที่คอยปั่นไฟพอได้ย่างขึ่นไปหาวัดได้แน เรือจอดเห็นแล้วกะฮู้สึกดีใจหลายครับ พี่น้องทางลาวเพินมายืนถ่าต้อนฮับว่าแมนเกือบร้อยคน หลวงพ่อทางลาวกะลงมาฮับหลวงพ่อพระครูเพิน

       "จั๊วน้อย"  ฮ่วยแมนอีหยั๋งน้อบาดนี่ แนมหาต้นเสียงอยู่ ทางเจ้าของต้นเสียงเพินยืนยิ้มอยู่พุ้น พี่เณรน้อยทางลาว เอิ้นผมพ้อมกับกวักมื้อเอิ้น

       "มาทางพี้ๆ"  ฮ่วยมาสิได้หมู่เร็วแท้น้อบาดเนียะ55555
                

                    






                   ผมลงเรือได้กะย่างตรงไปหาเพิน ที่กำลังยืนยิ้มเห็นต๊ะแข่วขาวแพ๊กแว๊กอยู่ เณรน้อยบ้านเพินกะเป็นตาฮักดีเด๊หล่ะเนาะ ฮ่าๆๆๆ

         "เมื่อยบ่ครับ"  เสียงจากเพินถามขึ่นมา

          "บ่เมื่อยดอกครับม่วนหลายกว่า"  ผมตอบเพินกลับพ้อมกับออกอาการยิ้มปนหัวร่อ

          "ป๊ะครับ เอายามไปเก็บไว้ในห้องผม คืนนี้นอนกับผม"  ฮ่วยคือว่าจั่งซี้น้อบาดนี่5555 ผมกะย่างนำหลังเพินไป ทางชาวบ้านเพินกะพากันทยอยขนของขึ่นไปไว้เทิงศาลาใหญ่

          "พี่เณรมื้อวานนี้หลวงตาอยู่นี่เพินตาย" (มรณภาพ) เสียงพี่เณรจากทางลาวบอกผม ฮ่วยงานเข้าผมอีกแล้วมาพ้อผีหลอกแถมเป็นผีหลอกหลวงตาอีก จังแท้น้อแฮงต๊ะเป็นคนย้านผีอยู่ ต๊ะว่าคืนนั้นกะบ่เป็นตาย้านป๋านได๋ครับ ย้อนว่ามีไฟแล้วทางวัดเพินกะเปิดเครื่องเสียงเต็มรูปแบบ ต้องยกผลประโยชน์ให่กับเรือ3ลำที่กำลังเฮ็ดหน้าที่ปั่นไฟอยู่ในลำเซ ตลอดทั้งคืน สรุปแล้วผมกะได้หมู่ไปโดยปริยาย พี่เณรน้อยองค์นั้นกะเป็นเณรอุปฐากหลวงพ่อทางลาวคือกัน หลวงพ่อพระครูผมกะเลยบอกว่าให่มันสองคนมาเป็นเสี่ยวกันพอดีหล่ะสั่นน่ะ

         "เอาเป็นกะเป็นครับ"  5555   คืนนั้นกะเลยได้นอนกับพี่เณรเพิน ส่วนญาติโยมที่ไปนำพี่น้องทางลาวกะพากันดึงไปพักนำบ้านละ2-3คน ดีเด๊หล่ะเนาะ อิ่มใจแทนครับในเรื่องจิตใจ แทนที่สิได้นอนพักรวมกันเทิงศาลาใหญ่ผั่นบ่แม่น เพินพาไปพักอยู่ในบ้านพุ้นน่ะ หาข้าวหาปลาให่กินอย่างดีเลย คืนนั้นกะหลับดีขนาดครับ

                 ......มิ๊งงงงงงงง.......มิ๊งงงงง........

         "เอ๊าพี่เณรแจ้งแหล่วบ่ครับ"   ผมถามพี่เณรลาวหลังจากตื่นย้อนได้ยินเสียงระฆังดังตอนเซ้า

         "ครับ ไปล้างหน้าเตรียมโตบิณฑบาตได้แล้วครับ"  เพินตอบกลับ ผมกะเลยพากันลุกไปล้างหน้า ตอนนั้นกะฮู้สึกสีหนาวๆแนเพราะไปกันสิช่วงหน้าหนาวครับ เรียบร้อยแล้วกะเตรียมโตมายืนถ่าหลวงพ่อใหญ่  (แต่ทางพุ้นคล้ายเพินเอิ้นว่า เจ้าญาครู เจ้าหัวซา ผิดจั่งได๋ขออภัยครับ)  พี่เณรทางลาวเพินกะเป็นผู้หาบาตรมาให่ผม วัดนี่มีพระเกือบ10องค์ เณรน้อยองค์นึง ไปบิณฑบาตกะต้องแยกไปสองสาย ฉะนั้นผมเลยต้องแยกกันกับพี่เณรคนละทาง

          "ป๊ะจั่วน้อยไปได้แล้ว"เสียงหลวงพี่ทางลาวเอิ้นบอกผม จั่งได๋อีกน้อ หลวงพ่อพระครูกะไปคนละเส้นกับผม

           "ไปหล่าไปกับหลวงพี่เพิน"   เสียงหลวงพ่อพระครูบอกผม ผมอุ้มบาตรได้กะแล่นนำก้นหลวงพี่เพินไปต้อยๆ5555
  




  

                   ...... อากาศยามเซ้าเฮ็ดให่ผมมีความฮู้สึกสดชื่นหลาย อากาศกะหนาวๆแน แต่กะบ่มีปัญหาสำหรับผมในตอนนั้น ผ้าจีวรผืนเดียวสามารถกันความหนาวของภายนอกได้ดี ผมกะย่างไปนำก้นหลวงพี่ต้อยๆ แสงสว่างของดวงอาทิตย์กำลังเริ่มทอแสงออกมาให้เห็น (มื้อนี่เป็นเซ้าที่สดชื่นเด๊ ผมคิดในใจ) อิ่มตาไปกับสิ่งรอบข้างที่เริ่มเห็นเต็มตาภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า บ้านเพินตอนนั้นเป็นแบบรูปข้างบนเลยครับ ฝาข้างบ้านกะใช้ไม้ไผ่จักสานเป็นแผ่น แปลกตาดีแท้

        "ปุ๊ก ชะอุ๊ย"   เสียงบาตรผมซนเข้ากับหลังหลวงพี่ เบรคกะบ่บอกผมน้อ  ผมหล่ะคาตะเหลียวเบิ่งแนวอื่นอยู่ บ่สำรวมเลยผมนี่กะดาย ฮ่าๆๆๆ ข้าวก้อนแรกกำลังสิตกลงมาก้นบาตรผม โยมเพินออกมารอใส่บาตรอยู่สองสามคน แถมหม่องที่เพินนั่งถ่าอยู่กะมีกองไฟดังไว้ผิงแก้หนาวนำ มีผู้เฒ่ากับเด็กน้อยนั่งเฝ้ากองไฟ จี่ข้าวไปนำทาไข่เหลืองอุ่ยหุ่ยอยู่ ฮ่วย?? คิดฮอดบุญข้าวจี่บ้านผมเด้บาดนี่ เมื่อโยมใส่บาตรแล้วหลวงพี่เพินกะให่พร  (เอ๊า เพินกะเทศน์ว่าความเดียวกันกับเฮาอยู่ตั๊วนี แต่สิแปร่งๆแนจั๊กหน่อย)  เสร็จแล้วหลวงพี่กะพาย่างต่อ กะมีโยมออกมาใส่บาตรเป็นระยะๆ ใส่ข้าวเหนียวกะมีบางบ้านกะใส่ข้าวจ้าวในบาตรผมตอนนี้ว่าแมนข้าวหัวหงอก5555


            .....อู๊ดๆๆๆๆ เหอะๆๆๆผมหล่ะเหลียวหาต้นเสียงอยู่ หมูกระโดนครับสามสี่โตกำลังย่างมาทางหลวงพี่กับผม เอ๊า??เพินคือปล่อยออกมาจั่งซี้ผมคิดในใจ หลวงพี่เพินว่าหมูเขาบ่ขัง ปล่อยเลี้ยงแบบซี้เลยบ่มีหนีบ่มีเสียปลอดภัยพะนะ (แมนแหล่วครับปลอดภัยหมูแต่บ่ปลอดภัยผม ย้านมันแล่นมาดุด มาตำแนวเจ้าของแฮ่งเหลืองเหมิดชุดอยู่)

          "เร็วจั๊วน้อยเดี๋ยวหมูสิไล่เด๊"  เสียงหลวงพี่บอก ไหย่โล้ดแหล่วผมหลวงพี่ถ่าผมแน555   ย้อนว่าเป็นหมู่บ้านใหญ่เติบพุ้นหล่ะครับบิณฑบาตเลยแบ่งเป็นสองสาย เพื่อให้ทั่วเถิงตามศรัทธาชาวบ้านเพิน ยอมรับครับเพินเฮ็ดบุญดีเด็กเล็กเด็กน้อยผู้แส่ผู้สาวมีให่เห็นตลอด คือสิถืกปลูกฝังมาแบบนี้เห็นแล้วชื่นใจแท้ และแล้วการบิณฑบาตของผมในเซ้านั่นกะจบลงด้วยการย่างเมือยหลายเติบ ฮ่าๆๆๆ   เอาบาตรไปตั้งไว้เทิงศาลาผมมาฮอดก่อนหลวงพ่อพระครูเพิน สักพักกะค่อยเห็นเพินย่างเข้ามาผมตอนฟ้าวแล่นไปฮับบาตรเพินอีก

              ....สวย(สาย)ออกมาจั๊กหน่อยโยมกะเริ่มหิ้วกะต่ากับข้าวมาวัดครับ "คือกันกับบ้านเฮาเด๊หล่ะเน๊าะ กะพอประมาณครับผมเป็นเณรน้อยฉันบ่หลายดอก สิมักแนต๊ะขนมนั่นหล่ะ555  จ่งไว้ให่ผมหลายๆแน อาหารการกินกะบ่ต่างกันกับบ้านเฮาปานใด๋  ให้ศีลให่พรกะบ่ต่างกัน นี่ตั๊วที่เพินว่าพี่ไทย น้องลาวเน๊าะ หนีกันบ่ไกลครับ แต่สิ่งที่ผมประทับใจหลายกะคือคำเว้าเพิน เพินคือเว้าม่วนแท้น้อ ..










           .......หลังจากฉันภัตตาหารเซ้าแล้วๆ การฉันเพลกะตามมา ย่างเข้าช่วงเที่ยงฮู้สึกว่าตอนนี้สิเริ่มคึกคักแนเป็นพิเศษ เพราะโยมเพินพากันออกมาเตรียมงานซอยกันซึ่ง ในตอนนี้มีอยู่สองงานต้องให่ปวดสมอง งานหนึ่งกะคืองานศพหลวงตา(ซึ่งตอนนี้ได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศลอยู่ศาลาพักศพไว้ฝั่งหนึ่ง)ซึ่งเพินสิฌาปนกิจมื้ออื่น (คำว่ามื้ออื่นเพินนั่นกะคือเที่ยงคืนหรือ6ทุ่มบ้านเฮานี่เอง เพินสิฌาปนกิจศพตอนคืนพะนะ ผมกะพึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยกะว่าได้) ส่วนอีกงานหนึ่งกะคืองานทอดถวายผ้าป่า กะเป็นการจัดโฮมใส่กันเลยครับ คือฌาปนกิจกับเก็บกระดูกแล้วยามเช้า(ผมขอใช้คำพื้นบ้านเฮาเน๊าะครับ) กะสิเป็นการทำบุญตักบาตรทอดถวายผ้าป่านำเลย ผมกะบ่เข้าใจคือกันแต่เพินจัดจั่งซี้อีหลีกะยังงงๆอยู่ว่า งานเศร้ากับงานแบบซี้คือจัดฮวมกัน  ฝ่ายโยมฝั่งหนึ่งกะขมักเขม้นพากันส่างเมรุจำลองที่สิใช้ฌาปนกิจศพหลวงตาคืนนี้  อีกฝ่ายหนึ่งอยู่เทิงศาลาใหญ่กะยุ่งอยู่กับการจัดต้นเงิน ไว้ให้ชาวบ้านมาร่วมเฮ็ดบุญนำ หลวงพ่อ หลวงพี่ เณรน้อยวัดไกล้ๆกันกะเริ่มทะยอยเดินทางมาฮ่วมงานในคืนนี้ทั้งจากบ้านนี่รวมไปฮอดบ้านไกล้ๆที่ได้ยินข่าวกะมา  จนฮู้สึกว่าหนาตาหลายแล้วครับ

          "จั๊วน้อยเจ้าย้านผีบ่"  เสียงเณรน้อยฝั่งลาวถามผม ฮ่วยมาแนวใด๋อีกน้อถามแบบมีเลศนัยอีกแล้ว

          "บ่ครับ"  กัดแข่วเว้าย้านเสียฟอร์มฮ่าๆๆๆ

          "อยู่บ้านขนาดเพินผูกคอตายอยู่ใต้ต้นบักม่วงผมยังบ่ย้านแล่นไปเบิ่งเสยเลย"  นี่ผมคุยเกทับไปอีก

          "ถ้าจั่งซั่นเฮาไปซอยเพินทางพุ้นป๊ะ"  เณรน้อยทางลาวเว้าพ้อมกับซี้มือไปทางศาลาพักศพ  (งึดหลายเด๊ ผมคิดในใจ)

          "อยู่ซอยเพินจัดต้นเงินทางนี้ดีแล้วครับ ผมบ่เคยเห็นว่าเพินเฮ็ดจั่งใด๋แนอยากเห็นแบบซี้ ผีหลอกผมเห็นจนชินแล้ว พะนะ"  5555เกทับไปอีก  รอดโตไปแล้วผมเกือบหาทางออกบ่พ้อ ดีที่พี่เณรทางลาวตามใจผมกะยังหว่าถ่าบ่จั่งซั่นเหมิดเลยฟอร์มผม


                

             ค่ำมืดเข้ามาแฮงต๊ะคึกคักครับเมรุจำลองกะถืกส่างเป็นที่สำเร็จพร้อมสิทำการฌาปนกิจในเวลา6ทุ่มของคืนนี้ ด้านศาลาใหญ่แฮ่งต๊ะคึกคัก เครื่องขยายเสียงเปิดแข่งกัน มีของขายปานงานบ้านเฮาเอาโล้ด และจุดหลักที่สิเฮ็ดให่งานมีสีสันในคืนนี้กะคือ "หมอลำกลอนครับ"  เป็นหมอลำที่หลวงพ่อพระครูจ้างมาจากทางบ้าน อำเภอนาเชือก มหาสารคามนี่เอง ซึ่งกะเดินทางมานำรถคันเดียวกันกับผม ประกอบไปด้วยหมอลำฝ่ายซาย ฝ่ายหญิง แล้วกะหมอแคน ซึ่งราคาจ้างตอนนั้นรวมแล้ว7,000บาทครับ (โทรไปถามหลวงพ่อพระครูมื้อก่อนเพินว่าเจ็ดพันว่าซั่นครับ)  ถือว่าจ้างได้ถืก ซึ่งทางหมอลำกะฮู้จักกับหลวงพ่อพระครู เลยถือเป็นการซอยทำบุญและถือโอกาสไปเที่ยวนำเลย หมอลำเริ่มลำตอนทุ่มกว่าๆครับ งานครึกครื้นหลายเพินพากันแห่มาฟังลำ ผมกับพี่เณรฝั่งลาวกะบ่ต่างกันกับเพินไปยืนฟังลำนำ ยืนได้บ่พอคราวพี่เณรกะดึงไปทางต้นสอยดาว

          "ลองเบิ่งครับผมให่เงินเอง"  พี่เณรลาวบอก บุ๊ยซาบซึ้งเด๊บาดนี่ฮ่าๆๆๆๆ จกสอยดาวสั่นแหล่วบาดนี่ได้เบอร์หยั๋งกะจำบ่ได้โดนแล้วครับ

          "เอาไปให่เพินตรวจเบิ่ง"  พี่เณรลาวบอก ตรวจแล้วสรุปว่าได้เกิบคู่หนึ่งพี่เณรทางลาวดีใจเต้นอยู่ด๊องด่องอยู่ งึดหลายฮ่าๆๆๆผมกะเลยให่เพินไปซ้ำ ออกจากสอยดาวเพินกะลากผมใส่เซียมซี ทางลาวกะมีความเชื่อด้านจิตใจแบบซี้คือกัน งานนี่ผมกะบ่พลาดอีกแล้ว เสี่ยงเซียมซี ให่พี่เณรอ่านให่ฟังเพินหล่ะว่า

         "ดีหลายจั๊วน้อย  "แถมยกโป้ให่ผมอีก จั่งแม่นเพินคั๊กฮ่าๆๆๆ งึดอีกอย่างนึงเพินหล่ะพาผมซื้อไอติมฉันอยู่จนแน่นท้องเอาโล้ด

        "เอ๊าถ้าไอติมบักถั่วดำเด๊ครับ"  ผมแย้ง

        "หย่ำโล้ดบ่มีไผ๋เห็นดอก" ฮ่าๆๆๆๆ

        "ฉันได้เป็นน้ำบ่ผิดศีลดอกว่าซ้าน"    5555


               หมอลำหยุดลำตอนห้าทุ่มหน่อยๆกะเลิกครับ เพราะตอนเที่ยงคืนกะสิได้เวลาฌาปนกิจศพหลวงตา แต่กะยังบ่เงียบทีเดียวยังเปิดเพลงกันอยู่ เฮ็ดให่บรรยากาศบ่เงียบวังเวงปานได๋
                 .....ตุ้ม...ตุ้ม...ตุ้ม...ตุ้ม..ตุ้ม.ตุ้มเสียงรัวกลองดังส่งสัญญานขึ้นแล้วครับคือสิฮอดเวลาแล้ว

          "ป๊ะจั๊วน้อยไปได้แล้ว"  เสียงพี่เณรทางลาวบอกผมแล่นครับงานนี้.... 


  

                 
           ......การเตรียมโตตอนนั้นกะฮู้สึกสิวุ่นวายอยู่ครับ(สำหรับผม)ห่มผ้าแล้วๆต้องแล่นไปหาหลวงพ่อพระครูอีก แล่นไปถือย่ามให่เพิน

        "พากันไปไสมาหล่าคือซ้าแท้หล่ะ คาต๊ะเหล่นหลายแหมะ"   น้านถืกจ่มซ้ำฮ่าๆๆๆ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ทางฝั่งลาว หลวงพี่ พีเณร ต่างกะไปรวมกันอยู่ในศาลาพักศพ ซึ่งศพนี้เพินสิได้ฌาปนกิจเอาขึ้นเมรุที่ถืกส่างขึ้นในช่วงเที่ยง (เว้าง่ายๆกะคือเผาทั้งศพเผาทั้งเมรุเลยพะนะ แป่ว!!!!) ผมกะหัวต๊ะเคยเห็นอีกแล้ว (สมัยก่อนบ้านเฮาเวลาเผาศพสิเผาเทิงกองฟอน (กองไม้) เน๊าะครับ เพราะยังบ่มีเมรุ เวลาไผ๋เซาหายใจ (ตาย)  สิเผาตอนบ่าย ตอนเซ้ากะสิมีคนเข็นรถเข็นน้ำเก็บฟืนนำทุกครัวเรือน ซึ่งชาวบ้านสิฮู้หน้าที่ดีพากันเอาออกมาวางไว้ให่คนละด้น ผู้มีหน้าที่เก็บกะรวบรวมเข็นไปวัด เฮ็ดพิธีโยนไข่ไก่เลือกสถานที่พอได้แล้วกะกองไว้แบบที่เวลาวางแล้วโลงบ่คว่ำปิ้นลงมา (ผมเป็นเณรน้อยกะมักไปยืนเบิ่งประจำแฮ่งงานศพพ่อผมผมไปยืนเบิ่งจนเลาไหม้ไปต่อหน้าต่อตาเลยครับ)

           ....ณ ตอนนี้ชาวบ้าน โยมมากันเต็มศาลา ผู้อยู่นอกศาลากะหลายย้อนงานนี้เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่แนเลยคนหลายครับ พิธีการต่างๆเริ่มดำเนิน อาราธนาศีล ให่ศีล มีสวดอภิธรรม มีสวดมาติกาบังสุกุล ทอดถวายผ้า เอ????พิธีกรรมต่างๆจั่งแม่นบ่ต่างกับทางเฮาหลายเน๊าะคล้ายๆกันครับ เทศน์กะคล้ายแต่กะบ่เถิงกับแม่นเหมิดมีแปร่งๆอยู่จั๊กหน่อย เมื่อเถิงเวลาครับกะเป็นการเชิญไปประจำเมรุครับ แบบบ้านเฮาคือกันครับมีพระเถระเพินจูงนำหน้าวนรอบเมรุคือกันแล้วโยมกะพากันยกไปไว้ข้างบนเมรุจำลอง เพื่อเตรียมพร้อมสิฌาปนกิจ การดำเนินงานผ่านไปด้วยดีครับตอนนี้ไฟกำลังลุกโชติช่วง ชาวบ้านทะยอยกันกลับบ้าน กะมีผู้เฝ้าคอยทำหน้าที่ประจำคอยดูแลให่ศพไหม้ให่เหมิด แล้วช่วงนั่นกะมีลมนำแนครับเลยต้องระวัง หลวงพ่อพระครูเพินกะไปจำวัด(นอน) ผมกับพี่เณรกะไปนอนคือกันหลับเร็วหลายกะยังหว่า

       "จั๊วน้อยตื่นๆๆๆ"  พีเณรทางลาวปลุกผม

        "แจ้งแล้วบ่" ผมถามกลับ "

        "บ่ครับ ตี5แล้ว" เพินตอบ

        "เอ๊าคือตื่นเร็วแท้มันแฮ่งหนาวอยู่" ผมถามกลับไปอีก

        "ผมนอนบ่หลับลุกไปผิงไฟป๊ะจั๊วน้อย"  พี่เณรทางลาวเว้าพ้อมกับดึงแขนผมให่ลุก

        "ไปผิงไสหล่ะครับ"ผมตอบพ้อมกับสีขี้ตา

        "ไปผิงหม่องเผาศพหลวงตานั่นเด๊"  พีเณรลาวบอก

         "หม่องได๋เก๊าะ"    ผมฮ้องถามขนาดอยู่ไกล้ๆ

         "บ่ต้องเว้าหลายมาเลย" เพินเว้าแล้วกะดึงแขนให่ผมลุกนำในทันทีเลย (มาซังคนเด๊ คิดในใจ) เณรน้อยผีบ้า ฮ่าๆๆๆ


                 ....ผมจำเป็นต้องได้ลุกนำเพินไปอย่างหลีกเลี่ยงบ่ได้ เมื่อไปฮอดกะมีหลวงพี่อยู่หั่นสององค์กับโยม4-5คน (ไคแน ผมคิดในใจ) ซึ่งตอนนี้บ่เหลือสภาพเมรุให่เห็นแล้ว มีแต่กองไฟกองน้อยๆที่ชาวบ้านกำลังเขี่ยต้อมให่ไหม้ให่เหมิด เหลียวเข้าไปเห็นแต่กระดูกเป็นชิ้นเป็นอัน "นี่หล่ะน้อครับชีวิตคนเฮาบ่มีอีหยั๋งหลาย เกิด แก่ เจ็บ ตาย หลีกเลี่ยงบ่พ้นจั๊กคน"มีแค่นี้อีหลี๋ครับ ผมถามหลวงพี่เพินบอกว่าสิเก็บดูกเกือบๆ7โมงเซ้า แล้วตักบาตร ทอดถวายผ้าป่าต่อเลย จากกองไฟเฮ็ดให่ความหนาวบ่บังเกิดขึ่นกับโตของผม งึดหลายผิงหม่องใด๋บ่ผิงมาผิงอยู่หม่องจั่งซี้

          "เป็นใด๋หล่าหนาวบ่"  เสียงหลวงพ่อพระครูเพินถามพ้อมกับย่างเข้ามาหามีหลวงพ่อทางลาวมาพ้อม

         "ไคแนอยู่ครับหลวงพ่อ ย้อนมีไฟผิง"  ผมตอบฮ่าๆๆ




                    สวย (สาย) มาจั๊กน้อยทางหลวงพี่เพินตีกลองเอิ้นชาวบ้านออกมาวัดเพื่อสิเฮ็ดพิธีเก็บกระดูก(ผมขอใช้คำพื้นบ้านเน๊าะครับแล้วกะขออภัยท่านผู้ฮู้นำ) ชาวบ้านกะออกมาครับแล้วกะมีกะต่าข้าวแนวกินมาพ้อม สิตักบาตรตอนเช้านำ ซึ่งใซ้วิธีลัดคือไฟบ่มอดดีใช้น้ำดับเอาเลยว่าซ้าน การเก็บกระดูกผ่านไปซึ่งโยมชาวบ้านกะไปรวมกันอยู่เทิงศาลาใหญ่สิได้เฮ็ดพิธีทำบุญตักบาตรต่อไป เห็นแล้วปลื้มแทนครับศรัทธาทางเพินหลายคั๊ก เต็มศาลาเอาโล้ด มีการตักบาตรเงิน ข้าวสารอาหารแห้ง สุดท้ายกะค่อยเป็นข้าวครับ และการทอดผ้าป่าในตอนนั้นกะได้เงินไป สี่หมื่นกว่าบาท ในตอนนั้นกะถือว่าได้หลายอยู่ครับ(คิดเป็นเงินบ้านเพินกะบ่หน่อยเลยทีเดียว) การเฮ็ดบุญสองงานจบลงด้วยดีด้วยความร่วมมือร่วมใจ ด้วยความชื่นมื่น หลวงพ่อพระครูพาผมฉันเพลแล้วกะสิเดินทางกลับครับ ต่างกะพากันขนของลงเรือสองลำคือเก่า กล้วยเป็นเครือ บักพร้าวเป็นทะลาย ถืกขนลงเรือเป็นของฝากจากทางลาว หลวงพ่อพระครูบ่ให่เอาหลายรถสิขนไปบ่เหมิดพะนะ โยมทางไทยที่ไปนำได้เสี่ยวกะหลายคน เรือออกจากท่าหน้าวัดเวลาเที่ยงซึ่งพี่น้องทางลาวกะมาส่งอยู่ท่าแน่นขนัดเลยทีเดียว การเดินทางกะเริ่มขึ้นครับ เรือเริ่มออกจากท่าห่างออกเรื่อยๆๆๆๆจนเหลียวบ่เห็นผู้ทีมายืนส่ง

         "จั๊วน้อยเจ้าอย่าลืมคิดฮอดข่อยเด้อ" เสียงพี่เณรทางลาวดังขึ้นเพินมาส่งผม

         "ครับ ผมบ่ลืมดอกเดี๋ยวสิมายามอีก" ผมเว้าแต่ความเป็นจริงจั๊กสิมีโอกาสได้มาอีกบ่บุ๊ (ซึ่งกะเป็นจริงผมบ่มีโอกาสได้กลับไปอีกเพราะผมได้สิกขาลาเพศ ทางพุ้นหลวงพ่อพระครูเพินถามข่าวไปกะได้ควมว่าเพินกะสึกไปแล้วตอนนี้จั๊กไปเฮ็ดงานไส กะเหลือไว้เป็นความทรงจำดีๆครับ)   มาฮอดธาตุพนมตอนบ่ายกว่าๆโยมต่างกะพากันขนของขึ้นมาจากเรือ และกะไปเอารถหม่องที่ฝากไว้พ้อมกับขนของขึ้นเทิงรถเป็นที่เรียบร้อยพ้อมที่สิออกเดินทางกลับพุทไธสงแล้ว หลวงพ่อฝั่งลาวเพินกะลากันกับหลวงพ่อพระครู พี่น้องทางลาวกะลาพี่น้องทางไทย สำหรับโตผมเองตอนนั้นเป็นความฮู้สึกประทับใจหลายพี่เณรทางลาวเพินเข้ามากอดผม

        "จั๊วน้อยอย่าลืมกลับมายามแนเด้อ"  เป็นความฮู้สึกที่ฝังเข้ามาในสมองผมจนซูมื้อนี่ยังจำบ่ลืมครับ เถิงสิพ้อกันบ่พอคราวแต่ความฮู้สึกมันผูกพันธ์เหลือหลายเหลือเกิน




                    หลวงพ่อพระครูเพินพาไหว้พระธาตุพนมก่อนกลับอีกเทือครับ แล้วกะยังพาแวะเที่ยวตลาดอินโดจีน มุกดาหารนำอีกเป็นอันว่าการเดินทางผมกะจบลง เที่ยวเมืองลาวในรูปแบบผมบ่แม่นเที่ยวเบิ่งสิ่งนั่นสิ่งนี่ทั่วไป แต่เป็นการเที่ยวแบบวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ได้เห็นในสิ่งแบบพื้นบ้าน การใช้ชีวิต น้ำจิตน้ำใจคนทางพุ้น          


  
ท้ายสุดเน๊าะครับ สังคมเฮาซูมื้อนี่พัฒนาไปไกล ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ไผ๋นำบ่ทันกะหาว่าล้าหลัง บ่พัฒนา ในความฮู้สึกผมมันกะแม่นอยู่ครับสังคมซูมื้อมันเป็นสังคมแห่งการแข่งขันกัน แต่ผมอยากให่พากันหวนมาคิดแนว่าเทคโนโลยีมันพัฒนาแล้วอยากเห็นใจเฮาพัฒนานำ อยากเห็นความฮัก สามัคคี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่พัฒนาขึ้นมานำ (ลางคนอยู่กรุงเทพฯบ้านอยู่ติดกันเป็นปีแล้ว กะยังบ่ฮู้จั๊กกันกะมีอยู่ นี่คือเรื่องจริงที่ผมเคยเห็นเน๊าะครับ)โลกแฮ่งเจริญท่อใด๋ น้ำใจแฮ่งต๊ะหายไปเรื่อยๆ   ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะอ่านกระทู้นี่เน๊าะครับ เป็นความฮู้สึกจากคนๆหนึ่งที่อยากเห็นสังคมเฮากลับมาแบบเก่า(ในเรื่องจิตใจ)ครับ

  

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554





                                        { รวมกลอนออนซอนคัก}
                                      แต่งโดย สมาชิกชมรมอีสานจุฬาฯ
                                     http://www.isanchula.com/
                                      {เรียบเรียงโดย อีเกียแดง แห่งรัตติกาล}

 อันไหนี้ มีค่า กว่าไหผี ( ปิ่นลม)
คือไหคำ ชั้นดี มิสงสัย (บ่าวหน่อ)
เป็นไหคำ ร้อยล้าน หรืออย่างไร(อีเกียแดง)
หรือข้างใน มีเบ้าคำ อันสำคัญ (ต้องแล่ง)

อันว่าไห มีไว้ใส่ สำมะปิ ( ปิ่นลม )
ลองใช้ซิ ท่านจะได้ หายสงสัย (ลุ่มดอนไข่)
ใช้ทุกวัน ต้องควักล้วง อยู่ร่ำไป (อีเกียแดง)
เมื่อเลิกใช้ ล้างเสร็จ เช็ดให้ดี (ต้องแล่ง)

ทุกวันนี้ ใครบางคน ชอบเฝ้าไห (อีเกียแดง)
คงหมายถึง จารย์ใหญ่ ท่านฤาษี
วรรคต่อไปให้ลงท้าย ด้วยสระ "อี" (ปิ่นลม)
ด้วยกลอนนี้ ทนไม่ได้ ต้องโผล่มา (จารย์ใหญ่)

เรื่องไหนี้ ตัวข้อย เชี่ยวชาญนัก (บ่าวหน่อ)
ด้วยรู้จัก ใช้แต่เล็ก จนเติบใหญ่ (ลุ่มดอนไข่)
ไม่มีไห ใร้ปลาร้า น่าเศร้าใจ (จารย์ใหญ่)
เป็นเรื่องใหญ่ คนอีสาน บ้านของเฮา (บ่าวหน่อ)

เอามันไปเผา เอามันไปเผา เอามันไปเผา (ปิ่นลม)
เอาลงเตา เผาปั้น เป็นไหหม้อ (ปิ่นลม)
มีข้าวหวาน ยัดลงไป ให้เฝ้ารอ (จารย์ใหญ่)
ไม่นานก็ ได้ปั้นน้ำ สำราญกัน (สาวส่าฯ ขอแจมนำแน่)

อดีตกาล ไหนี้ เป็นไหผี (บ่าวหน่อ)
คนมั่งมี ใส่ทรัพย์สิน ฝังดินไว้ (ลุ่มดอนไข่)
วันนี้เปลี่ยน ข้าวหวานใส ใส่ลงไป (จารย์ใหญ่)
ปิดปากไว้ ซ่อนให้ดี ที่ลับตา (ลุ่มดอนไข่)

อนิจจา ข้าวหวานข้า ออกรสเปรี๊ยว (ต้องแล่ง)
อีกนิดเดียว คงบูดเน่า ไม่เข้าท่า (จารย์ใหญ่)
เพราะมีคน หลอย "ปั้นขี้" ก่อนเวลา
ยังไม่ผ่าน้ำเลย ย่องมาซิม (ปิ่นลม)

ยกไหริน สายตาจ้อง พ้องสงสัย (อีเกียแดง)
มีอะไร ปนออกมา น่าฉงน (ลุ่มดอนไข่)
บวกกับกลิ่น ที่คละคลุ้ง แสนพิกล (อีเกียแดง)
ผมอีกคน คงไม่กิน มันเน่าเอย (จารย์ใหญ่)

ขอเอื้อนเอ่ย เผยกลอนเล่า เรื่องข้าวหวาน (จารย์ใหญ่ - ต้องแล่ง- ..)
เป็นตำนาน พันผูก ช่างสุขสม
ฝีมือของ ท่านปีโป้ บ่าวปิ่นลม
คนชื่นชม คือจารย์ใหญ่ เทียวไปชิม ....... (จารย์ใหญ่ - ต้องแล่ง- ..)

จารย์ท่านมา ปรึกษา เรื่องฤาษี (ปิ่นลม)
ไม่ได้มีเจตนา เรื่องข้าวหวาน (ปิ่นลม)
แวะมาคุย ประสาคนศีลทาน (ปิ่นลม)
อันข้าวหวาน ส่วนประกอบ โดยชอบกัน ( ปิ่นลม )

ทั้งไหนั้น ไหนี้ มีที่มา (จารย์ใหญ่)
ใส่ปลาร้า หมักสาโท โอ้สวรรค์ (จารย์ใหญ่)
เก็บหน่อไม้ ใส่น้ำปลา สารพัน (ลุ่มดอนไข่)
เป็นฉันใด ก็ฉันนั้น หรือฉันเพล (ต้องแล่ง)

ท่านฤาษี จารย์ใหญ่ ไม่ฉันเช้า (บ่าวหน่อ)
แต่ฉันข้าว ที่กรองกลั่น จนน้ำใส (อีเกียแดง)
ฉันทุกวัน ฉันทุกมื้อ อยู่ร่ำไป (อีเกียแดง)
สุขหรือไร ใครไม่รู้ คู่น้ำเมา (จารย์น้อย)

ไหที่เก่า มีคุณค่า น่าจำจด (อีเกียแดง)
ลายงามงด มีคุณค่า น่าสะสม (ลุ่มดอนไข่)
ของดีดี ใครได้เห็น ต้องชื่นชม (อีเกียแดง)
ซุกไหล้ม ไยไม่แตก แปลกจริงจริง (บ่าวหน่อ)

หรืออาจเป็น ไหหิน เช่นถิ่นลาว (ต้องแล่ง)
มีผู้สาว นอนกอดไห ก่อไฟผิง (บ่าวหน่อ)
เหลือบยุงกัด ทากบืนไต่ ไม่ติงคีง (มังกรเดียวดาย)
แม้โสติง เดินผ่าน ไม่ย้านเลย (มังกรเดียวดาย)

เคยได้ยิน คำกล่าว เขาเล่าไว้  (จารย์น้อย)
ว่ามีไห สัญจร เดินร่อนเร่ (จารย์น้อย)
หลวงพระบาง ผ่านเวียงจันทน์ ยันปากเซ (แต้งล่อง)
อย่าไขว้เขว คิดว่าถิ่น แดนภูเวียง (อีเกียแดง)

ได้ยินเสียง เจรจา ช่างน่ารัก (อีเกียแดง)
โอ้งามนัก สาวฝั่งเวียง อยากเคียงขวัญ (อีเกียดำ)
เธออุ้มไห ปลาแดก แบกทั้งวัน (มังกาย)
เดินเฉิดฉัน ส่งสายตา หาอีเกีย (มังกาย)

เคยเห็นไห ลายมังกือ ถือลูกแก้ว (แต้งล่อง)
นั่งกินแห้ว หย่ำก๊วดก๊วด นวดหัวเสือ (บ่าวหน่อ)
ขนตางอน หงอนสีฟ้า ตาสีเนื้อ (ลุ่มดอนไข่)
ก่อนจะเชื่อ โปรดใช้จิต คิดไตร่ตรอง (ลุ่มดอนไข่)

ไหมังกรฯ เคยได้ยิน จากถิ่นเหนือ (อีเกียแดง)
ว่ามีเชื้อ เปล่งแสงได้ คล้ายถ่านหิน (อีเกียแดง)
แถวก้นบ่อ เมืองอุบล เห็นจนซิน (หนุ่มมหาน้อย)
ใส่ทรัพย์สิน ในไห ไว้บูชา (บ่าวหน่อ)

อยากรู้ว่า ไหทางใต้ ใช้ทำไหร๊ (อีเกียแดง)
หากท่านใด ที่รับรู้ อย่าอยู่เฉย (ลุ่มดอนไข่)
ไหทางใต้ เอาไว้ใส่ กุ้งเคย ( ปิ่นลม)
กลิ่นไม่เหย ออกจากไห ได้อารมณ์ (บ่าวหน่อ)

เขาต้องบ่ม ไว้กี่วัน จึงฉันได้ (อีเกียแดง)
อันนี้ไม่ รู้แจ้ง แถลงไข ( ปิ่นลม)
แล้วมีใคร รู้บ้าง ขอบอกไป(ลุ่มดอนไข่)
ออกนอกไห ถามจีกหลีก จอกหลอกจัง (ปิ่นลม)

ชมรมเรา มีเซียนกลอน มากมายนัก (บ่าวหน่อ)
มีเพื่อนรัก มีพี่น้อง ลองเข้าหา (จารย์น้อย)
ภาษาอีสาน บ้านเกิดเรา ร่วมสนทนา(ลุ่มดอนไข่)
ตายหละหวา นี่มันกลอน อะไรกัน (บ่าวหน่อ)

มีทั้งคน มักเมา และมักมันส์ (ปิ่นลม)
อยู่นำกัน เบ็ดเสร็จ ผสมผสาน (อีเกียแดง)
เบิ่งมุ่นเอ้เล้ บ่อจั๊กนั่ง ฮึจั๊กคลาน (ป้าหน่อย)
บ่าวขี้คร้าน ชอบนอนเว็น ก็ยังมี ( อีเกียแดง)

วันนี้คิด ว่าจะไป หาแม่ค้า (บ่าวหน่อ)
ฝากด้วยหนา ฝากความรัก ให้ยาหยี ( อีเกียแดง)
จะไปซื้อ เหล้าขาวซัก ซาวดีกรี (บ่่าวหน่อ)
ถ้าหากมีลาบงัว ฝากเอามา(ปิ่นลม)

เปิดคอมมา จักแม่นสิ เล่นอีหยัง (บ่าวหน่อ)
ฟังทางนี้ มีเท็กซัส จัดให้เล่น (บ่าวน้อย)
มีกติกา ว่าอย่างไร แจงชัดเจน(ลุ่มดอนไข่)
ไม่เคยเห็น เหมียนกัน ฉันกะดาย (ต้องแล่ง)

เชิญอ้ายซาย นามต้องแล่ง แยงเฟคบุ๊ค (บ่าวส่ำน้อย)
สาวสวยสุด อยู่ทางนั้น ช่างมากหลาย (บ่าวส่ำน้อยคอยรัก)
เทิงย่างหนี เทิงย่างเลาะ เทิงย่างกลาย (อีเกียแดง)
ฮ่วยตาลาย ขอยาดม ให้ผมแหน่ (ลุ่มดอนไข่)

ขอยาดม เอาไป ไว้เฮ็ดหยัง [บ่าวหน่อ]
ไว้ยัดดัง ยามวิงเวียน อาเจียนไหล [ต้องแล่ง]
ยามปวดหัว ตัวร้อน หรืออ่อนใจ [อีเกียแดง]
ติดตัวไว้ ได้พึ่งพา ยาสามัญ (ลุ่มดอนไข่)

พูดเรื่องไห จนปวดหัว ทั้งตัวร้อน (ผู้มาใหม่)
ฟันผุกร่อน ขนคิ้วร่วง ขนตาหาย (อีเกียแดง)
กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ตับไตวาย (ลุ่มดอนไข่)
อุ๊ย.ต๊ายตาย ตายแน่แน่ แย่จริงจริง (อีเกียแดง)

ชะเอยอิง....เลียดดัง..ถั่งออกมา ( ปิ่นลม )
เหมือนกับว่า น้ำพุร้อน ทะลักไหล (อีเกียแดง)
มีคนงาม ตามห้ามเลือด คือสิไค (ลุ่มดอนไข่)
แม่นสิไหล เหมิดโต กะซางมัน (อีเกียแดง)

อันพวกท่าน เขียนกลอน ออนซอนหลาย (บ่าวน้อย)
ผู้คนกลาย เข้ามา ได้หาอ่าน (ลุ่มดอนไข่)
สุขอุรา บานตะไท ใจเบิกบาน (อีเกียแดง)
ไม่กลัวคน รำคาญ ก็ตามใจ (บ่าวหน่อ)

จะลำคลาน หรือคลานลำ สำราญจิต (ต้องแล่ง)
ไม่ได้คิด ขอแค่มี บักน้ำใส (อีเกียแดง)
เชิญทุกท่าน สนุกสนาน สำราญใจ (ลุ่มดอนไข่)
เอ๊ะจารย์ใหญ่ หายไปใส คือบ่มา(บ่าวหน่อ)

ได้ข่าวว่า กำลังวุ่น ครุ่นคิดหนัก (อีเกียแดง)
กำลังพัก ฟื้นหัวใจ ให้กล้าแกร่ง (ลุ่มดอนไข่)
กลับไปบ้าน เป๊กสองซาว ทุกเซ้าแลง (บ่าวหน่อ)
กำลังแข่งไล่แย้ คันแทนา ( ปิ่นลม )

หาผักเม็ก เก็บผักติ้ว หิ้วผักหวาน [ลุ่มดอนไข่]
ไม่สำราญ เหมือนอยู่กรุง ดั่งเคยฝัน (อีเกียแดง)
ไพ่เทกซัส จั่วกันได้ ทุกวี่วัน [บ่าวหน่อ]
ทิปไม่อั้น ให้ผู้สาว คราวหลายพัน {อีเกียแดง}

อยู่ดอนตาล บ้านเฮา ดีกว่าเยอะ [บ่าวหน่อ]
กลับมาเถอะ อยู่บ้านนา พาสุขสันต์ [ลุ่มดอนไข่]
คั่วกุดจี่ ไต้แมงเม้า กินหมกมัน [บ่าวหน่อ]
ดูแสงจันทร์ แสงหิ่งห้อย จิตปล่อยวาง [ลุ่มดอนไข่]

กลับมาสร้าง ก่อความฝัน ที่บ้านเกิด {อีเกียแดง}
กลับมาเถิด ช่วยพัฒนา อย่าหนีห่าง {ลุ่มดอนไข่}
กลับมาร่วม กันสรรสร้าง อย่าปล่อยวาง {อีเกียแดง}
ร่วมเดินทาง ไปด้วยกัน สู่ฝันเรา {ลุ่มดอนไข่}

ฝันเหงาเหงา ฝันอีกครั้ง ต้องพึ่งเธอ { อีเกียแดง}
อย่าให้เพ้อ อยู่คนเดียว แบบหงอยหงอย { อีเกียแดง}
มาเด้อหล่า มาเด้อ อ้ายยังคอย [บ่าวหน่อ]
นอนคนเดียว ใจดวงน้อย คอยแต่เธอ [บ่าวหน่อ]

ถึงยามกิน พี่ถวิล หานวลน้อง (ลุ่มดอนไข่)
สุดหม่นหมอง นองน้ำตา มาเสมอ (ลุ่มดอนไข่)
โอ้เธอจ๋า เธอจ๋า จ๋าจ๋าเธอ [บ่าวหน่อ]
ทำไมเหรอ สุดที่รัก เรียกทำไม (ค๊ะ) {อีเกียแดง}

ย้อนคึดฮอด จั่งอ้อนออด รำพันถึง (ลุ่มดอนไข่)
ย้อนฮักจึง ส่งหัวใจ มาชิดใกล้ (ลุ่มดอนไข่)
ย้อนอยากแอบ แนบสนิท ชิดดวงใจ (อีเกียแดง)
ย้อนบ่ไหว ซอยยายแหน่ ยายเจ็บแอว (บักหล่า) [บ่าวหน่อ]

แหม่นผู่ได๋ มาเฮ็ดให้ แอวยายเจ็บ (ลุ่มดอนไข่)
ไผเอาเล็บ หยุมเนื้อยาย หยายเป็นแถว (ลุ่มดอนไข่)
บ่ได้หยุม เป็นย้อนยาย ผิดมันแกว (ต้องแล่ง)
งงเป็นแถว ผิดแบบไหน ไขความดู (อีเกียแดง)

ไหปลาร้า ไหหมักปลา ไหปลาแดก (ไผกะซ่าง)
ลายแปลกแปลก มีให้เลือก หลากสีสัน (อีเกียแดง)
ไปฮอดไส ยังวกมา หาไหกัน (ลุ่มดอนไข่)
คันจั่งซั้น หนีจากไห ไปไสดี.. (อีเกียแดง)

หนีจากไห ซวนกันไป หาขัวหอย (ลุ่มดอนไข่
คงอร่อย แสนเข้าท่า น่าสุขสม {อีเกียแดง}
หอยอีหยัง หม่นอ๊อกรอก เกียกขี้ตม (บ่าวหน่อ)
เอ่อ..หอยขม หรือหอยจูบ นั่นไงเอย.. {อีเกียแดง}

หนีจากหอย ออกจากป่า ไปหากบ (บ่าวหน่อ)
ร้องอ๊บอ๊บ เสียงดังลั่น นั่งอยู่ไหน. (อีเกียแดง)
แหมบฮิมห้วย ฮ่วย...ฮั่นกบ โตบักใหญ่ (ลุ่มดอนไข่)
โดดเข้าใส่ ที่ไหนได้ ม่ายช่ายเล๊ยย.. (อีเกียแดง)

เสียงเยาะเย้ย หัวเราะลั่น ดังจากกบ {อีเกียแดง}
ที่นั่งหลบ อยู่กอหญ้า ข้างหน้าฉัน {อีเกียแดง}
บักผีบ้า ตาบ่มืน ฮึได๋กั๋น.. {อีเกียแดง}
ในมือนั้น มันคืองู ชูให้ดู (บ่าวน้อย)

จะเป็นกบ หรือว่างู กะซางเถาะ (บ่าวหน่อ)
คือสิเหมาะ ขั่นงูนั้น เป็นงูสิง (ลุ่มดอนไข่)
อ๊ะ.แขนสั่น ขาก็สั่น ใจประวิง (อีเกียแดง)
เจอของจริง สิงดง เป็นลมเลย (ป้าหน่อย)

โอ้ละเหย ลอยมา กาคาบหนี.. (อีเกียแดง)
เพราะอย่างนี้ จึงไม่มี ที่ประจำ (จารย์ใหญ่)
งึดคนเด้ แต่งมาได้ สระอำ (บ่าวหน่อ)
สุดชอกช้ำ คนเฮา เอาไงดี (บ่าวหน่อ)

หนีเข้าป่า มาอยู่ดง คงหายซ้ำ (จารย์ใหญ่)
ถึงผิวคล้ำ แต่ขาวด้วย จิตผ่องศรี (บ่าวหน่อ)
วรรคต่อไป โปรดลงท้าย ด้วยสระอี (บ่าวหน่อ)
ยากเต็มที คนจะต่อ รอคอยดู (ผู้ข้าเอง)

สระอี หลายอีหลี สมัยนี้ (โต่งโล่ง)
มาทั้งที คนผีบ้า เล่นเอางง (ป้าหน่อย)
แม่นสิหลาย ชายที่แก่ ได้แต่ปลง (ต่องอ่อง)
ลอยโอ่งลง เป็นตางึด ฟึดจริงเชียว (บ่าวหน่อ)

กลอนต่อไป ให้ลงท้าย ด้วยสระอำ (บ่าวหน่อ)
กินปิ้งหม่ำ ตำหมากหุ่ง กับข้าวเหนียว (ลุ่มดอนไข่)
จกหมกหม่ำ คำข้าวจ้ำ นำคำเดียว (บ่าวหน่อ)
ยกเพียวเพียว ไฮ่ลงท้อง ก่อนแล้วกัน (อีเกียแดง)

โอ้สวรรค์ แห่งบ้านนา ช่างผาสุข (อีเกียแดง)
แสนสนุก สุขสบาย ไม่วายวุ่น (ลุ่มดอนไข่)
ประเพณี สิบสองเดือน ล้วนงานบุญ (ลุ่มดอนไข่)
คือต้นทุน เสริมสร้าง คุณความดี..(อีเกียแดง)

ทุกถิ่นที่ วัฒนธรรม น่าจำจด (อีเกียแดง)
ล้วนงามงด ประเพณี ไม่มีหมอง (ป้าหน่อย)
ช่วยสืบสาน รักษาไว้ ตามครรลอง (อีเกียแดง)
คนแซ่ซ้อง ดูเพลิดเพลิน จำเริญใจ (ลุ่มดอนไข่)

บุญบั้งไฟ ถิ่นอีสาน แสนสนุก.. {อีเกียแดง}
สืบสานต่อ ปู่พ่อลูก หลานเหลนโหลน (บ่าวหน่อ)
จุดบั้งไฟ ไม่ขึ้นฟ้า ปาด้วยโคลน (ลุ่มดอนไข่)
ฤกษ์เริ่มต้น ก่อนทำนา พี่น้องเฮา (บ่าวหน่อ)

บุญบั้งไฟ สำเร็จ เสร็จลุล่วง (ลุ่มดอนไข่)
อีสานกว้าง ประเพณี ไม่มีเหงา (บ่าวหน่อ)
ฮอดเดืิอนเจ็ด บุญซำฮะ เด้อพวกเฮา (บ่าวหน่อ)
พรรษาเข้า เพ็ญเดือนแปด บุญต่อไป (จารย์ใหญ่)

ถึงเดือนแปด เข้าพรรษา พี่ลาบวช (ลุ่มดอนไข่)
ถือศีลสวด บวชไม่นาน นะจ๊ะน้อง (จารย์ใหญ่)
เพียงสามเดือน เท่านั้นเอง นะเนื้อทอง..{อีเกียแดง}
อย่าหม่นหมอง โปรดรักษา สัญญาเรา (ลุ่มดอนไข่)

ฮอดเดือนเก้า อ้ายยังบวช สึกบ่ได้..[บ่าวหน่อ]
สึกจั่งได๋ กลางพรรษา อย่าหาเว้า [ลุ่มดอนไข่]
เคยมีคน ทำแบบนี้ เป็นบ้าเอา [บ่าวหน่อ]
คงร้อนเร่า ตัดไม่ขาด อนาถใจ..(เฮ้อ.) {อีเกียแดง}

เดือนสิบเอ็ด ออกพรรษา ลาพระเจ้า {อีเกียแดง}
คือบอกผ่าน เดือนเก้า ไปจั่งใด๋ [บ่าวหน่อ]
พวกสิบนำ เพิ่นสิบอก ว่าน้อยใจ [บ่าวหน่อ]
บอกกะได๋ บุญเดือนเก้า เว้าสู่ฟัง (ลุ่มดอนไข่)

ฮอดเดือนเก้า เป็นบุญข้าว ประดับดิน (ลุ่มดอนไข่)
โฉมยุพิน เตรียมสำรับ จัดคาว-หวาน (อีเกียแดง)
ตื่นแต่เช้า ทำจิต ให้เบิกบาน (อีเกียแดง)
มอบเป็นทาน คนไร้ญาติ ได้อยู่กิน (บ่าวหน่อ)

เถิงเดือนสิบ ประเพณี บุญข้าวสาก (อีเกียแดง)
เฮ็ดสลาก ประเพณี ประจำถิ่น (ลุ่มดอนไข่)
ทุจริต คนสาปแช่ง แย่งเปรตกิน (แต้งล่อง)
คนหนอคน ไม่หมดสิ้น กินกันตาย (บ่าวหน่อ)

เดือนสิบเอ็ด ออกพรรษา หน้ากฐิน (ลุ่มดอนไข่)
ขอยุพิน รอสิกขา อย่าหนีหาย (ลุ่มดอนไข่)
อีกเจ็ดวัน พี่จะสึก ไปอย่างไว (บ่าวหน่อ)
โปรดเตรียมใจ ให้คงหมั้น วันวิวาห์ (ลุ่มดอนไข่)

เดือนสิบสอง ล่วงเข้า ใกล้หน้าหนาว (จารย์ใหญ่)
ทั้งหนุ่มสาวต่างคลอเคลีย กระทงไหล ( บ่าวแก่นนคร + ปิ่นลม )
ส่วนทางสงฆ์ จัดงานวัด กฐินใหญ่ (บ่าวแก่นนคร + ปิ่นลม )
โอ้หัวใจ มาคิดฮฮด น้องนวลปราง ( ปิ่นลม )

ไหนบอกว่า น้องจะมา ออกพรรษา (ปิ่นลม)
ล่วงเลยมา ฮอดกฐิน ถวิลร่ำ (ปิ่นลม)
อ้ายนั่งหงอย เพราะเจ้านั้น มา"ปี้นคำ" (ปิ่นลม)
ฮ้องไห้นำ เลาะฮั้ววัด ดวงจำปา ( ปิ่นลม)

คำสัญญา เหมือนยาพิษ คิดทำหนอ {อีเกียแดง}
เงินค่าดอง ยังไม่พอ มาขอหนา (บ่าวหน่อ)
ต้องเก็บเงิน คายเทศน์ หลายเพลา (บ่าวหน่อ)
ก็กะว่า อีกสิบงาน คงพอดี (บ่าวหน่อ)

ถึงเดือนอ้าย สงโฆย้าย ไปเข้ากรรม [ลุ่มดอนไข่]
แม่งามขำ ยังคงรอ แต่หลวงพี่ (บ่าวหน่อ)
ชาติที่แล้ว หรือน้องเกิดเป็น "ลีลาวดี" [บ่าวหน่อ]
เกิดชาตินี้ จงคอยรอ อย่าท้อใจ [ลุ่มดอนไข่]

ฮอดเดือนยี่ บุญคูณลาน สู่ขวัญข้าว (อีเกียแดง)
เคยพาเจ้า ญ่างคันแท ไปแลหนัง (ปิ่นลม)
หมื่นคันนา หัวสัก น้ำตาพัง (ปิ่นลม)
พี่ก็ยัง ช่วยงัดเกิบ จากเขิบดิน (ป่มลิน)

สิ้นเดือนยี่ บุญข้าวจี่ ยังรอถ้า (แก่นนคร)
พี่มหา ยังไม่สึก จากพระสิ้น [บ่าวหน่อ]
แม่งามขำ นั่งหน้าง้ำ น้ำตาริน {อีเกียแดง}
ชาตินี้คง จะไม่สิ้น ดิ้นบนคาน[บ่าวหน่อ]

ฮอดเดือนสี่ บ้านเฮามี บุญผเวส [ลุ่มดอนไข่]
ฟังพระเทศน์ มหาชาติ กัณต์สิบสาม [บ่าวหน่อ]
แห่กันหลอน เดินเคียงคู่ ผู่สาวงาม [ลุ่มดอนไข่]
อดีตรัก สังฆทาน เผิ่นพาว่า [แก่นนคร]

กลางเดือนห้า บุญสงกรานต์ ทุกทั่วถิ่น {อีเกียแดง}
แม่ยุพิณ เล่นสาดน้ำ บ่าวบ้านใต้ [บ่าวหน่อ]
เมือบ้านท่ง สรงน้ำพระ ก่อกองทราย [ลุ่มดอนไข่]
ทั้งหญิงชาย ร่วมกุศล ผลนำพา {(อีเกียแดง}

นี่ก็ผ่าน มาหลายเดือน แล้วหลวงพี่ {บ่าวหน่อ}
ฮ่วย!! ..เป็นแบบซี้ ผู้สาวหนี แท้หล่ะหนา {อีเกียแดง}
ไม้ต้องรอ หลวงพี่แล้ว นะแก้วตา{ลุ่มดอนไข่}
เข้ามาเว๊บ "อีสานจุฬาฯ" หาเอาเลย [บ่าวหน่อ]

อีสานนี้ มีของดี อีกหลายอย่าง (ลุ่มดอนไข่)
หากท่านว่าง เชิญแวะมา อย่าเมินเฉย [ลุ่มดอนไข่]
ผ่านกลางดง ลำตะคอง อย่าละเลย  {อีเกียแดง} 
อยากเป็นเขย ชาวอีสาน เชิญท่านมา [ลุ่มดอนไข่]

สู่ขอนแก่น เสียงแคนเพราะ เสนาะหู  (อีเกียแดง)
เชิญมาดู วัฒนธรรม อันล้ำค่า (ลุ่มดอนไข่)
ดูผูกเสี่ยว เที่ยวงานไหม ให้เต็มตา (ลุ่มดอนไข่) 
เขาลือว่า นางไหสวย เสียด้วยเชียว  (อีเกียแดง)

ขับเลาะเลี้ยว มุ่งตรงสู่ กาฬสินธุ์  (อีเกียแดง)
สวรรค์ของ ชาวดิน ถิ่นสีเขียว (บ่าวหน่อ)
แดนโปงลาง ไหมแพรวา เชิญมาเที่ยว (ลุ่มดอนไข่)   
หิ้วประเป๋า ใบเดียว เชิญเข้ามา (บ่าวหน่อ)

เลาะมาหา สารคาม จังหวัดใหญ่  (อีเกียแดง)
มีสาวสาว มหาลัย งามหนักหนา (บ่าวหน่อ)
บ่าวหน่อมัก  ไปเฝ้าจอบ ถึงชายคา   (ป้าหน่อย)
เอ้า!!!! คนเหล่านั้น มีปัญญา มันน่ามอง .....เด้หล่ะ(บ่าวหน่อ)

มองแบบไหน ทำไมแอบ อยู่ในรถ  (อีเกียแดง)
คงแอบตด อยู่คนเดียว กลัวใครเห็น (ปิ่นลม)
ย้อนว่ายืง ถั่วต้ม โอ๊ย...ซางเป็น (บ่าวหน่อ)
โถลำเค็ญ หลูโตนดัง จังพ่อคุณ (อีเกียแดง)

สู่ร้อยเอ็ด พลาญชัย บึงใหญ่กว้าง  (อีเกียแดง)
ต้องลาร้าง ห่างไกล ใจอาวรณ์ (จารย์ใหญ่)
ทุ่งกุลา กว้างใหญ่ ไกลขจร (บ่าวหน่อ)
น่าออนซอน ข้าวรวง เขียวขจี (จารย์ใหญ่)

กลับมาที่ อีสานใต้ ถิ่นกำเนิด    (อีเกียแดง)
อย่าเตลิด ปราสาทหิน ถิ่นผ้าไหม   (อีเกียแดง)
บุรีรัมย์ เมืองรื่นรมณ์ สุขสมใจ   (อีเกียแดง) 
เชิญแวะได้ ต้อนรับมิตร จิตชื่นบาน   (อีเกียแดง)

สู่เส้นทาง เมืองสุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่    (อีเกียแดง)
ถิ่นผ้าไหม เนียงละออ บองเจิ๊ดเจิ๊ด (บ่าวหน่อ)
ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม พร้อมชูเชิด  (อีเกียแดง)
ยินดีเปิด ต้อนรับท่าน เข้ามาเยือน  (อีเกียแดง)

ทั้งลือเลื่อง วัฒนธรรม อันมากหลาย  (อีเกียแดง) 
คนผู้ฮ้าย หาไม่ได้ ณ ที่นี่ (บ่าวหน่อ)
ถิ่นปราสาท เก่าก่อน สังขระบุรี (บ่าวหน่อ) 
ทั้งมากมี ประคำสวย เสียด้วยเชียว  (อีเกียแดง)

ขับเลาะเลี้ยว สู่นคร ศรีลำดวน  (อีเกียแดง)
นั่งรถด่วน ติดแอร์ หาชมเที่ยว (บ่าวน้อย)
หลบกระสุน ปืนเขมร ว่าแล้วเชียว (บ่าวหน่อ)
ก่อนจะเลี้ยว ล้อรถ ไปอุบล (บ่าวหน่อ)

สำรวจค้น ล้วงกระเป๋า ดูตังค์ก่อน (บ่าวน้อย)
อยากจะกิน ไก่ร้อนร้อน กับข้าวเหนียว (บ่าวหน่อ)
ร้านไก่ย่าง ข้างทาง เเซบจริงเชียว (บ่าวน้อย).....ลงนี้ละยากหลาย หิว
สักประเดี๋ยว จะเลาะเที่ยว เมืองอุบลฯ  (อีเกียแดง)

ถิ่นของคน มากนักปราชญ์ ฉกาจเหลือ (อีเกียแดง)
ล้วนเหลือเฟือ ของดีๆ มีให้ชม  (ป้าหน่อย)
ใครได้ไป บอกด้วย ให้ชวนผม (หนุ่มน้อย กาฬสินธุ์)
เดชอุดม พิบูลมังสาหาร บ้าน(ป้า)หน่อยเอง....อิอิ (บ่าวหน่อ)

ไม่ต้องเกรง ใจกัน คนโคราช (อ๊อดโนนสูง)
เมืองหญิงกล้า เก่งกาจ เมืองแม่ย่า (บ่าวหน่อ)
ลำตะคอง แวะริมท่า มีย่างปลา (บ่าวน้อย)
ยามพลบค่ำ สนธยา ฟ้ามืดลง (บ่าวหน่อ)

เลาะเลียบทุ่ง ไปกินลวก ดอกกระเจียว (บ่าวหน่อ)
ป่าภูเขียว ภูแลนคา อย่าเดินหลง (ลุ่มดอนไข่)
มอหินขาว ทุ่งหินงาม ลืมไม่ลง (ลุ่มดอนไข่)
ช่างสุขสม ชมป่าใหญ่ ดอกไม้งาม  (อีเกียแดง)

ชัยภูมิ เมืองคนกล้า น่าเกรงขาม  (อีเกียแดง)
ผู่สาวงาม ทอผ้าขิต โนนเสลา (ลุ่มดอนไข่)
แหล่งผ้าไหม ที่เลื่องลือ ชื่อบ้านเขว้า (ลุ่มดอนไข่)
กระติบข้าว กระเป๋าถือ เลื่องลือนาม  (อีเกียแดง)

อีกไก่ย่าง และแหนมห่อ รสสะเด็ด  (อีเกียแดง)
ทั้งแกงเห็ด ปิ้งปลา หาผักหวาน (บ่าวหน่อ)
ชัยภูมิ มีรถยนต์ วิ่งมานาน (บ่าวต้น)
เล่นน้ำตก สงกรานต์ ที่ตาดโตน (บ่าวหน่อ)

สู่สวรรค์ ของชาวดิน เมืองถิ่นขอน (อีเกียแดง)
แล้วจะย้อนไปขอนแก่น ทำไมนี่ (บ่าวหน่อ)
หรือว่าเรา กำลังจะไป อุดรธานี  (บ่าวหน่อ)
ช่วยบอกกล่าว อีกที เดี๋ยวโชเฟอร์ลืม  (บ่าวหน่อ)

ว่าสิคืน เข้าขอนแก่น เริ่มต้นใหม่  (อีเกียแดง)
แล้วมุ่งไป ที่เมืองเลย อย่าเฉยไฉ  (อีเกียแดง)
กลับหนองบัว เข้าอุดร เป็นขั้นไป  (อีเกียแดง)
สู่หนองคาย จังหวัดใหม่ ในบึงกาฬ (สั่นดอกว๊าครับ)  (อีเกียแดง)
                  ผมว่าสิไล่ไปแบบซี้แหม๋ครับ..หมู่สิว่าจั่งได๋น้อ

เอายังไง โปรดว่าไป ตามใจมุ่ง (ลุ่มดอนไข่)
เที่ยวทั่วทุ่ง เลาะทั่วไพร ในอีสาน  (ลุ่มดอนไข่)
ไปทุกถิ่น พร้อมหมู่มิตร จิตชื่นบาน  (ลุ่มดอนไข่)
สุขสำราญ เมื่อได้ยล มนต์ตรึงตรา (ลุ่มดอนไข่)

เป็นอันว่า กลับมาสู่ เมืองขอนแก่น  (อีเกียแดง)
แดนเสียงแคน ดอกคูณสวย รวยผ้าไหม (อีเกียแดง)
ยินเสียงแคน ดังกล้อง มาแต่ไกล (บ่าวหน่อ)
แม่นจารย์ใหญ่ ไปทำอะไร ที่นั่นรือ  (บ่าวหน่อ)

ไปผูกเสี่ยว เที่ยวงานไหม กับใครนั่น (ลุ่มดอนไข่)
ดูสารภัณญ์ นั่งฟังลำ กับใครหรือ (ลุ่มดอนไข่)
ไปไหว้พระ วัดหนองเเวง ประณมมือ (จารย์ใหญ่)
ที่ยึดถือ น้อมนำ ประจำใจ (จารย์ใหญ่)

ถึงภูเวียง ถิ่นลือเลื่อง ไดโนเสาร์ (ลุ่มดอนไข่)
ผานกเค้า ภูผาม่าน เคยผ่านใกล้ (ลุ่มดอนไข่)
หอมไก่ย่าง เขาสวนกวาง มาแต่ไกล(บ่าวหน่อ)
คิดฮอดสาว บ้านไผ่ อำเภอพล   (บ่าวหน่อ)

แล้วดั้นด้น สู่เมืองเลย แดนดอกฝ้าย  (อีเกียแดง)
จุดมุ่งหมาย ที่ใฝ่ฝัน รำพันถึง  (อีเกียแดง)
ประเพณี ผีตาโขน ยังตราตรึง (บ่าวหน่อ)
หวนคิดถึง สาวด่านซ้าย ที่อ้ายปอง   (บ่าวหน่อ)

ภูกระดึง พึ่งไปมา ผาหล่มสัก (ลุ่มดอนไข่)
ศรีสองรัก แก่งคุดคู้ คู่เคียงน้อง (ลุ่มดอนไข่)
ขึ้นเขาสูง เดินกอดเกี่ยว ดังใจปอง (อีเกียแดง)
ยืนซบน้อง มองไอหมอก บนภูเรือ    (อีเกียแดง)

คิดถึงวัน เมื่อคราว ไปร้อยเอ็ด (จารย์ใหญ่)
กินลาบเป็ด อ่อมหอยจูบ ซุบมะเขือ (มังกรเดียวดาย)
ในวันนี้ ยืนซบน้อง บนภูเรือ (มังกรเดียวดาย)
น่าเหลือเชื่อ ต้องจรจาก พรากกันไกล (จารย์ใหญ่)

สาวเมืองเลย พี่ขอเอ่ย ว่าลาก่อน (ลุ่มดอนไข่)
จำจากจร โอกาสหน้า จะมาใหม่ (ลุ่มดอนไข่)
ต้องลากพราก จากกันลา ไม่ไปไกล (บ่าวหน่อ)
สู่เมืองใหม่ ไม่ไกลใกล้ แถวนี้เอง (บ่าวหน่อ)

ความรักเคว้ง จากเมืองเลย ใจหดหู่ {อีเกียแดง}
สู่หนองบัว ลำภู ดีกว่าหนา  {อีเกียแดง} 
แผ่นดินธรรม หลวงปู่ขาว น้อมนำพา  {อีเกียแดง}
สุขอุรา พระธรรมเลิศ ประเสริฐใจ { อีเกียแดง}

อุทยาน ภูเก้า ภูพานคำ {อีเกียแดง}
ที่เหลื่อมล้ำ แบ่งเขตแดน เมืองแก่นขอน {อีเกียแดง}
ตั้งตระหง่าน ขวางกั้น กับอุดร { อีเกียแดง}
น่าสะออน ธรรมชาติ อันงามตา { อีเกียแดง}

ศาลสมเด็จ นเรศวร ชวนมาไหว้ (ลุ่มดอนไข่)
งามจับใจ แหล่งโบราณ ภูผายา (ลุ่มดอนไข่)
เลาะชมเที่ยว พิพิธภัณฑ์ แสนตื่นตา  { อีเกียแดง}
ที่เขาว่า หอยเป็นหิน ถิ่นล้านปี  {อีเกียแดง}

สู่อุดี ธานอน ออนซอนหลาย  {อีเกียแดง}
กินข้าวงาย กุมภวาปี  มีแฮงท้อง  (ปิ่นลม)
แวะบ้านเชียง บรรพบุรุษ มุดลำคลอง (บ่าวหน่อ)
ลองไปมอง และแยง ไหพันปี ( ป่มลิน )

อีกกี่โล ถึงหนองคาย เยี่ยมป้าหน่อย (จารย์ใหญ่)
ข่อย บ่มีซิง ( ตราชั่ง)  มาด้วยเด้อ (ปิ่นลม )
หากเดินไป หน้าก็คงเหลือง เอ้อเห้อ (ปิ่นลม)
หน้าอำเภอ ศรีธาตุ   นั่งคอยนาง ( ป่มลิน)

เพื่อไม่ให้ กลอนตัน มันต้องต่อ (จารย์ใหญ่)
ใกล้ละหนอ เลี้ยวซ้าย บ้านในซอย  (จารย์ใหญ่)
ใช่ป้าหน่อย อยู่ริมรั้ว มายืนคอย (จารย์ใหญ่)
ไม่ใช่ซะหน่อย ให้ไปรับ   ก็ว่ามา (ป้าหน่อย)

ดูเวลา นาฬิกา ตีสองแล้ว   (บักริวฝากมา)
ฤาษีแถว มุกดาหาร ไปอยู่ไส  (ริวน้อย)
แม่นหลงทาง แม่นเลาะเหล่น หรืออย่างไร  (ริวน้อย)
ป้าหน่อยไหย่ แล่นนำหา จนว่าป่วง.. อึหึ๊..   (บักริวฝากมา..)  

คงไปควง แม่ฮ้างน้อย เจ้าเสน่ห์  {อีเกียแดง}
หรือไปเท่ห์ ยืนแอ็คชั่น ริมฝั่งโขง  {อีเกียแดง}
ชมสะพาน มิตรภาพ กับโฉมยงค์  {อีเกียแดง}
แล้วก็ตรง เข้าไปสู่ อินโดจีน {อีเกียแดง}  

ไหว้ขอพร พ่อพระใส ให้มีโชค (ลุ่มดอนไข่)
จะทุกข์โศก โรคภัย  ให้สร่างหาย   (ป้าหน่อย)
กุศลนำ กรรมไม่ต้อง ผ่องใจกาย {อีเกียแดง}
อีกที่หมาย ศาลาแก้วกู่ อยู่ไม่ไกล (ลุ่มดอนไข่)

ชมบั้งไฟ พญานาค ริมฝั่งโขง  {อีเกียแดง}
หลายชั่วโมง นั่งเคียงคู่ ดูชิดใกล้ (ลุ่มดอนไข่)
หาวหวอดหวอด เอ๊ะนั่น มันลูกไฟ (บ่าวหน่อ)
ต๊กกะใจ ไทฝั่งลาว ปล่อยโคมลอย (บ่าวหน่อ)

ด้วยเวลา อันมีน้อย ที่มาเยี่ยม (บ่าวน้อย)
สุดเเสนเปี่ยม เต็มไป มิตรไมตรี (บ่าวน้อย)
ถึงเวลา จำเอ่ยว่า ขอลาที  (บ่าวน้อย)
จงสุขี สุขสันต์ ทุกวันคืน (ลุ่มดอนไข่)

ความชื่นมื่น แห่งรอยยิ้ม อิ่มเปรมนัก {อีเกียแดง}
ได้หยุดพัก บ้านป้าหน่อย ไม่ผิดหวัง  {อีเกียแดง}
มิตรภาพ อันอบอุ่น ก่อพลัง   {อีเกียแดง}
จุดที่ฝัน เดินทางต่อ ก็บึงกาฬ   {อีเกียแดง}

"แก่งอาฮง" เล่นน้ำโขง ตรงโขดหิน (ลุ่มดอนไข่)
แม่ยุพิน เกาะแขนเกี่ยว เสียวลื่นไหล..  {อีเกียแดง}
มองเรือน้อย ลอยตามน้ำ ช่างสุขใจ (ลุ่มดอนไข่)
โอบชิดใกล้ บรรจงกอด พรอดรำพัน    {อีเกียแดง}

"บึงโขงหลง" เรานั่งลง ตรงริมฝั่ง (ลุ่มดอนไข่)
ใจไหลหลั่ง ดั่งสายน้ำ ที่ลอยไหล (บ่าวต้น)
โอ้สายน้ำ เปรียบดั่งเช่น สองหัวใจ       {อีเกียแดง}
มารวมไหล เป็นหนึ่งเดียว เกลียวสัมพันธ์  {อีเกียแดง}

โอ้"ภูทอก" บอกให้รู้ ดูงามงด (ลุ่มดอนไข่)
สวยหมดจด ธรรมชาติ ช่างเสกสรรค์ (ลุ่มดอนไข่)
ใครได้เห็น ต่างชมชื่น รื่นรำพัน  {อีเกียแดง}
ดั่งสวรรค์ ปั้นแต่ง แห่งจินตนา {อีเกียแดง}

ถึง “ภูวัว” อย่านึกกลัว เลยน้องเจ้า (ลุ่มดอนไข่)
มาปืนเขา  ชมนกไม้ ไต่หน้าผา (ลุ่มดอนไข่)
เหนื่อยแค่ไหน ก็ยิ้มได้ นะกานดา  { อีเกียแดง}
บนหน้าผา ยื่นเกาะเกี่ยว เลาะเที่ยวชม {อีเกียแดง}

จากบึงกาฬ เลาะเลียบโขง ลงทางใต้ (ลุ่มดอนไข่)
สู่ที่ใด ใช่สกลฯ หรือเปล่าหนา {อีเกียแดง}
แวะไปไหว้ "ธาตุพนม" ชมพารา (ลุ่มดอนไข่)
แล้วค่อยวก ลงมา เมืองสกลฯ...(เนาะ) (ลุ่มดอนไข่)

ฝ่าสายฝน ขับรถตรง เข้าพระธาตุ {อีเกียแดง}
ได้ก้มกราบ มงคลเลิศ ประเสริฐศรี  {อีเกียแดง}
ด้วยศรัทธา ลูกจึงมา พึ่งบารมี (ลุ่มดอนไข่)
คุณความดี โปรดคุ้มครอง ป้องกันภัย (ลุ่มดอนไข่)

ชมงานไหล เรือไฟ สวยงามยิ่ง {อีเกียแดง}
แนบซบอิง สาวผู้ไท ริมฝั่งโขง {อีเกียแดง}
ด้วยสายใย ผูกใจรัก ถักเชื่อมโยง (ลุ่มดอนไข่)
บุญหนุนส่ง ให้พบเจ้า สาวเรณู (ลุ่มดอนไข่)

โฉมพธู โสภานัก สลักจิต  {อีเกียแดง}
ได้ใกล้ชิด ดูดไหอุ คู่จอมขวัญ {อีเกียแดง}
นั่งมองหน้า ก้มดูดอุ หัวชนกัน (บ่าวหน่อ)
แสนสุขสันต์ วันเดินเที่ยว "ภูลังกา" (ลุ่มดอนไข่)

วกกลับมา จังหวัดใหญ่ อันลือเลื่อง  {อีเกียแดง}
พระธาตุเนือง ได้กราบไหว้ ใจสุขสม {อีเกียแดง}
“ธาตุเชิงชุม” อยู่คู่บ้าน มานานนม (ลุ่มดอนไข่)
พับเพียบก้ม บรรจงกราบ ซาบซึ้งคุณ (ลุ่มดอนไข่)

พระตำหนัก ภูพาน งามสง่า (ลุ่มดอนไข่)
ตระการตา ปราสาทผึ้ง พึ่งเคยเห็น (ลุ่มดอนไข่)
ชมหนองหาน กับผู้สาว ในยามเย็น {อีเกียเเดง}
เลาะเดินเล่น เกาะแขนเกี่ยว เที่ยวชมเมือง {อีเกียแดง} 

หรือว่าชาติที่แล้ว อ้ายเกิดเป็น ท้าวผาแดง (บ่าวหน่อ)
จึงเป็นแรง โน้มน้าวใจ ให้คิดถึง  (ลุ่มดอนไข่)
 สาวภูไท เมืองสกล สวยสุดซึ้ง (ลุ่มดอนไข่)
เฝ้าคำนึง ถึงน้องนาง มิวางวาย (ลุ่มดอนไข่)

สู่ที่หมาย บ้านท่าแร่ แวะไปเยี่ยม  {อีเกียแดง}
ชมภาพเขียน ประวัติศาสตร์ ผาผักหวาน {อีเกียแดง}
ภูผาเหล็ก ภูผายล เขาภูพาน (ลุ่มดอนไข่)
แวะหมู่บ้าน แหล่งขุนโค โพนยางคำ (ลุ่มดอนไข่)

แหล่งน้ำดำ  กาฬสินธุ์   ยินคำลือ   (..ป้าหน่อย )
งามขึ้นชื่อ ไหมแพรวา หลากสีสัน {อีเกียแดง}
เขื่อนลำปาว นั่งตกปลา กับใครกัน  {อีเกียแดง}
อ๋อ..จอมขวัญ เจ้าคนดี ของพี่ไง {อีเกียแดง}

เสียงแว่วใส ใช่โปงลาง หรือเปล่านะ {อีเกียแดง}
ใช่แล้วจ้า น้องคนนี้ นั่งดีดไห (บ่าวหน่อ)
ดีดไหโน้น ดีดไหนี้ ดีดไหใคร  (..บ่าวหน่อ)
ถามทำไม ดีดต่อไป ท่าสวยดี (บ่าวน้อย)

ที่บ้านน้อง ก็มีนะ ไดโนเสาร์  (บ่าวหน่อ)
ภูกุ้มข้าว สหัสขันธ์ ไปกันไหมพี่  (..บ่าวหน่อ)
แวะภูค่าว เข้าภูสิงห์ ด้วยก็ดี (ลุ่มดอนไข่)
ไหว้เจดีย์ ธาตุยาคู ที่คู่เมือง (ลุ่มดอนไข่)

จากกาฬสินธุ์  ไปเยือนถิ่น “มุกดาหาร” (ลุ่มดอนไข่)
ต้นตำนาน “ลำผญา” ส่าลือเลื่อง (ลุ่มดอนไข่)
คือมรดก วัฒนธรรม อันแน่นเนือง {อีเกียแดง}
ช่วยประเทือง สร้างความรู้ คู่ชุมชน {อีเกียแดง}

เมืองนักมวย มุกดาหาร มารดาฮุก (บ่าวหน่อ)
แสนสนุก เยือน“หอแก้ว” แล้วคลายหม่น (ลุ่มดอนไข่)
เข้าไปป่า หาไล่แย้ กับหน้ามล (บ่าวหน่อ)
นั่งงอยโพน หลบแดดฮ้อน นอนกลางเว็น (ลุ่มดอนไข่)

สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่สอง อยู่ที่นี่ (บ่าวหน่อ)
เป็นสิ่งที่ ประทับใจ ได้มาเห็น (ลุ่มดอนไข่)
ดูอาทิตย์ ลาลับฟ้า เวลาเย็น {อีเกียแดง}
คืนเดือนเพ็ญ นั่งฮิมของ* มองแสงจันทร์ (ลุ่มดอนไข่)  *ฮิมของ=ริมแม่น้ำโขง*

แสนตื้นตัน ได้มาพบ ประสบเห็น {อีเกียแดง}
น้ำในแก้ว ใสเย็น ดุจสวรรค์ (บ่าวหน่อ)
มาเมืองมุกฯ แสนสนุก ลืมทุกข์พลัน (ลุ่มดอนไข่)
สิ่งละอัน พันละน้อย ได้พลอยชม {อีเกียแดง}

แวะตลาด อินโดจีน อันเลื่องชื่อ (บ่าวหน่อ)
เดินจูงมือ พูดออดอ้อน ป้อนขนม (ลุ่มดอนไข่)
สายสัมพันธ์ ไทยลาวยวน น่าดูชม (บ่าวหน่อ)
รักเกลียวกลม สามัคคี มีน้ำใจ  (ลุ่มดอนไข่)

แวะเข้าไป ที่ดอนตาล บ้านจารย์ใหญ่ {อีเกียแดง}
กินต้มไก่ ใส่ใบมอญ น้ำลายไหล (บ่าวหน่อ)
น้ำข้าวหวาน เอามาแผ่ง แบ่งเร็วไว (ลุ่มดอนไข่)
หมดแปดไห เรียกจารย์ใหญ่ เอามาเติม (บ่าวหน่อ)

จารย์ร้องบอก เหลือแต่ขี้ ไม่มีน้ำ (ลุ่มดอนไข่)
บุ๊ย..ย่างไปตาม เอาไหใหม่ ใกล้อาศรม ..พุ้นหน่ะ  {อีเกียแดง}
หมดได้ไง    จารยใหญ่    เพิ่งติดลม ..(ป้าหน่อย) 
เอ๊ะ!! หลังบ้าน ทิดปิ่นลม มีมากมาย (บ่าวหน่อ)

สู่ที่หมาย เมืองยโส เสียก่อนท่าน  {อีเกียแดง}
มาร่วมงาน "บั้งไฟโก้" แตงโมหวาน (ลุ่มดอนไข่)
หมอนผ้าขิต ก็ขึ้นชื่อ ระบือนาม {อีเกียแดง}
ล้วนสวยงาม สาวยโส โก้น่ายล (ลุ่มดอนไข่)

ที่น่าสน นั้นคือข้าว มะลิหอม (ปิ้นกลับ แห่ะๆ)  อีเกียแดง 
ตั้งจิตน้อม กราบ“ถ้ำพระ” ละความหม่น (ลุ่มดอนไข่)
สวนสาธารณะ พระญาแถน ก็น่าชม {อีเกียแดง}
อาจเกียกตม  เพราะบั้งไฟ  ไม่ขึ้นเอย (ต้องแล่ง)

อย่าไปเลย เดี๋ยวขี้ตม สิติดเอา (สั่นหน่ะ) {อีเกียแดง}
ขับรถเข้า บ้านสิงห์ท่า ดีกว่าหนา {อีเกียแดง}
เมืองโบราณ ประวัติศาสตร์ ที่ผ่านมา (อีเกียแดง)
เดินเลาะหา เที่ยวดูชม สุขสมใจ (อีเกียดำ)

แล้วก็ไป ที่สุดท้าย เสียให้ครบ (ริวน้อย)
จุดนับพบ ที่อำนาจฯ นั่นแหล่ะหนา (ริวน้อย)
ชมเกาะแก่ง เขาแสนสวย ตระการตา (อีเกียแดง)
สุขอุรา ก้มกราบพระ ประจำเมือง (อีเกียแดง)

แหล่งรุ่งเรือง เจ็ดลุ่มน้ำ ที่งามงด (อีเกียแดง)
เลอค่าสด สีผ้าไหม ที่สวยสม (อีเกียดำ)
ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ สุดตระการ ต้องแวะชม (ริวน้อย)
แสนสุขสม ได้เลาะเที่ยว อีสานเรา (ริวน้อย)
              
    ขอขอบคุณเหล่าสมาชิกที่ร่วมกันแต่งกลอนในครั้งนี้ด้วยนะครับ
                                   ด้วยจิตคารวะ
                              อีเกียแดง แห่งรัตติกาล

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 19



                                                                กรรมลิขิต


                                                           ตอน เส้นทางเดิน 7




แสงอรุณยามเช้าทอประกายสีทองปลุกเร้าให้สรรพสิ่งรอบกายขยับตื่นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง กรุงเทพมหานครรวมไปถึงเขตรอบนอกในยามเช้าดูหนาแน่นไปด้วยรถที่เบียดเสียดแย่งกันทำความเร็วเพื่อให้ทันต่อภาระกิจหน้าที่การงานของแต่ละคน พ่อแม่บางคนต้องขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนในตอนเช้าก่อนที่จะเลยไปที่ทำงานของตัวเอง บ้างก็อาศัยแท็กซี่ รถเมล์หรือแม้แต่รถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง การแข่งขันในสังคมเมืองหลวงนั้นเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้อยู่ในขั้นที่รุนแรง การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่นก็แทบจะมีให้เห็นได้น้อยมาก ความเห็นแก่ตัวดูจะมีมากขึ้นเป็นเท่าตัวเพราะนี้คือการเอาตัวรอดเพื่อให้ตัวเองได้ยืนอยู่บนสังคมยุคไอทีที่นับวันจะเดินหน้าไปไกลสุดกู่จนทำให้ละเลยและลืมนึกถึงด้านจริยธรรมสิ่งที่ดีงามไป สังคมทุกวันนี้เป็นสังคมที่น่าตกใจพอสมควร ความเจริญในด้านวัตถุเปลี่ยนไป ทำให้ความเจริญในด้านจิตใจของคนเราขยับเปลี่ยนตามไปด้วย ซึ่งถือว่ามันเป็นสิ่งที่ควรหันมาตระหนักและให้ความสนใจกันมากขึ้นก็คงจะดี  การเปรียบเทียบสังคมที่ดูจะแตกต่างกันอยู่บ้างนะครับ เมื่อหันกลับมามองดูแล้วผมในนามผู้เขียนต้องขอเลือกสังคมชนบทดีกว่าครับเพราะดูแล้วมันสามารถเข้าถึงความสงบสุขได้มากกว่ากันเป็นไหนๆ..


   ค่านิยมสังคมเมือง
            1. ชอบหรูหรา ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
            2. นิยมสินค้า Brand name จากต่างประเทศ
            3. ยกย่องผู้มีอำนาจเงินทอง
            4. นิยมในเรื่องวัตถุ
            5. เห็นแก่ตัว มีการแข่งขันกันมาก
            6. เชื่อในเรื่องหลักการเหตุผล
            7. ชอบเสี่ยงโชค
            8. ร่วมงานหรือพิธีกรรมทางศาสนาน้อย
            9. ชีวิตอยู่กับเวลา แข่งขันกับเวลา
           10. ขาดความมีระเบียบวินัย
           11. ไม่ชอบเห็นใครเหนือกว่า เห็นแก่ตัว

         ค่านิยมสังคมชนบท
          1. ประหยัด อดออม เศรษฐกิจพอเพียง
          2. นิยมภูมิปัญญาไทย สิ้นค้าไทย
          3. ยกย่องคนดี ความมีน้ำใจ
          4. นิยมเรื่องคุณงามความดี มีจริยธรรม
          5. เสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นแก่ส่วนรวม
          6. เชื่อโชคลาง ไสยศาสตร์
          7. ชอบเล่นการพนัน
          8. ชอบทำบุญ ร่วมพิธีกรรมทางศาสนามาก
          9. ชีวิตขึ้นอยู่กับธรรมชาติ อาศัยธรรมชาติ
         10. พึ่งพาอาศัยกันและกัน
         11. มีความสันโดษ พอใจในสิ่งที่มีอยู่












อำเภอสามพราน  จังหวัดนครปฐม..



 เกียรติศักดิ์นักเรียน  โรงเรียนนายร้อยตำรวจนั้นยิ่งใหญ่
เราเทอดเหนือดวงใจเรานี่               
สู่เกียรติศักดิ์สมัครมาเพื่อรักษาหน้าที่  น้อมนำดวงจิตสถิตย์ความดี
ความยุติธรรมเรามี เราพร้อมที่จะพลีชีวา         

    เมื่อทรชนใจบาปหยาบช้ามาประจัญ
ทุกคนจะสู้ไม่รู้ไหวหวั่น เพื่อสุขสันต์ประชา                                 
เราอุทิศชีวา เพื่อสถาพรชัย
สิ้นชีพสูญไป  ให้โลกเชิดชู                                                 

    พวกเราทุกคนมีจิตเป็นมิตรประชา
ผองชนเป็นสุข  เราทุกข์ไม่ว่า  จะรักษาให้คงอยู่                                               
เกียรติของเราเทียบเท่าชีวิต เราต้องคิด กอบกิจเชิดชู
ทุกคราวเราจะสู้    เพื่อผองชน





                       เสียงเพลงเงียบลงพร้อมกับการแยกย้ายขบวนแถวที่มองดูด้วยสายตาแล้วยังเป็นภาพที่น่าชมยิ่ง ความเป็นระเบียบวินัยของกลุ่มนักเรียนนายร้อยตำรวจนั้นถูกปลูกฝังลงรากลึกด้วยครูผู้ฝึกที่มากด้วยประสบการณ์  ความรู้คู่คุณธรรมคือสิ่งสำคัญยิ่งที่จะสามารถเป็นผู้นำได้

              “ ขวัญชัย “  นักเรียนนายร้อยชั้นปีที่2 เขาได้เลือกเส้นทางที่ตัวเองชอบและใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก ตลอดระยะเวลาของการก้าวย่างเข้ามาสัมผัสตรงจุดนี้เขาได้รับการฝึกสอนในหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง  การทดสอบและเพิ่มทักษะความพร้อมในด้านร่างกายควบคู่ไปกับการอบรมในด้านสภาวะจิตใจเพื่อให้เป็นบุคคลที่มีประสิทธิภาพ ปีแรกของการก้าวเข้ามา ณ.โรงเรียนแห่งนี้ ขวัญชัยและกลุ่มเพื่อนๆต้องถูกฝึกให้รู้จักถึงความอดทนอดกลั้นและความวิริยะอุตสาหะเป็นพิเศษ เพื่อให้รู้จักการฟันฝ่าอุปสรรคให้ตลอดรอดฝั่ง แต่สำหรับในปีนี้สิ่งที่เขาและบรรดาเพื่อนๆร่วมชั้นเดียวกันต้องเรียนรู้นั่นก็คือการเรียนรู้ การวินิจฉัยพิจารณาสิ่งต่างๆ รู้จักการวางตนต่อผู้บังคับบังชาและผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ขวัญชัยและบรรดาเพื่อนๆต่างก็น้อมนำพร้อมที่จะเรียนรู้ให้ถึงรากลึกแก่นแท้เพื่อที่จะได้นำไปใช้ในชีวิตจริงและมันคงจะช่วยพัฒนาสังคมให้น่าอยู่เป็นยิ่งนัก

             การที่ต้องอยู่ห่างบ้านคือสิ่งที่เขาต้องสัมผัสมาโดยตลอด มีหลายๆครั้งที่เขาต้องนั่งอยู่เงียบเหงาโดยปล่อยความคิดให้ล่องลอย ภาพวิถีแห่งความเป็นอยู่ที่เขาสัมผัสมาตั้งแต่เด็กมันยังตราตรึงและสร้างความสุขให้ทุกครั้งเมื่อยามที่คิดถึงมัน การเข้าบรรพชาสามเณรทำให้เขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆฝึกความแกร่งภายนอกแต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนอยู่ภายใน มาวันนี้เขาสามารถที่จะเผชิญกับโลกภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ มิตรภาพและความจริงใจคือสิ่งที่เขาได้รับจากบรรดาผองเพื่อนและครูผู้ฝึกสอนและนี่คงเป็นเพราะความอ่อนน้อมถ่อมตนที่เขามีให้กับบรรดาเพื่อนๆก่อนนั่นเอง..

 “ ขวัญ..เข้าห้องเรียนได้แล้ว มัวนั่งคิดอะไรอยู่ว๊ะ..”  พิทักษ์..เพื่อนร่วมชั้นร้องเตือนเมื่อมองเห็นว่าขวัญชัยกำลังนั่งก้มหน้าอยู่บนม้าหินอ่อนใต้ต้นหูกวางสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง  เสียงร้องเตือนมันทำให้ชายหนุ่มต้องเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับขยับกายลุกขึ้น สายตาจ้องมองเพื่อนรักต่างถิ่นพลางนึกขอบคุณกับความเอื้ออาทรที่เพื่อนคนนี้มีให้เขาโดยตลอด

 “ ไม่มีอะไรมากหรอกพิทักษ์แค่เรารู้สึกว่าคิดถึงบ้านนิดหน่อยเพื่อน ..ป๊ะ..ไปกันได้แล้วหว่ะ “   ตอบเพื่อนไปพร้อมกับเดินตามหลังเพื่อนรักขึ้นไปข้างบนในทันที









                บ่ายคล้อยในย่านรามคำแหงพลุกพล่านไปด้วยรถยนต์และผู้คนสัญจร  ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าน้อยใหญ่ถูกสร้างเรียงรายอยู่ฟากสองฝั่งถนนเพื่อรองรับเม็ดเงินจากการจับจ่ายใช้สอยของผู้คนในย่านนั้นหรือในย่านใกล้เคียง มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐเป็นมหาวิทยาลัย “ตลาดวิชา”  ซึ่งรับบุคคลเข้าศึกษาโดยไม่ต้องสอบการคัดเลือกและไม่จำกัดจำนวน ทำการเรียนการสอนแบบตลาดวิชาคือ มีการเรียนการสอนในชั้นเรียนเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยปกติทั่วไปแต่ไม่ได้บังคับเข้าชั้นเรียน  จึงทำให้เป็นที่นิยมของผู้คนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นวัยที่อยู่ในช่วงการศึกษาจริงๆ รวมไปถึงวัยที่พร้อมทำงานแล้วก็ยังสามารถมาลงศึกษาต่อได้ ในย่านรามคำแหงนั้นนักศึกษาเกินครึ่งจะมาจากแดนสะตอปักษ์ใต้ จึงทำให้ร้านค้าและร้านอาหารของภาคใต้แถบนั้นดูจะมีมากเป็นพิเศษเพื่อรองรับกับบรรดานักศึกษาแดนสะตอได้เข้าถึงกลิ่นไอของความเป็นใต้บ้านเกิดของเขาได้มากยิ่งขึ้น


                                                           ณ ร้านอาหารเสบียงเล 



“ แหม..เจ้าป่าน..นกพึ่งจะรู้ว่ารสชาติอาหารจากใต้มันเป็นอย่างไรก็วันนี้แหล่ะ..เผ็ดเล่นเอานกหน้ามืดหูชาเลยนะเเก..อูยย..แสบร้อนไปหมดแล้วอ่ะ “  เสียงขวัญชนกสาวสวยจากเมืองหมอแคนเอ่ยกับสายป่านเพื่อนรัก หน้าตาของเธอเหยเกเล็กน้อยเมื่อโดนอานุภาพความเผ็ดร้อนจากอาหารที่ขึ้นชื่อของปักษ์ใต้ “ คั่วกลิ้งและน้ำพริกกุ้งเสียบ “  สองรายการนี้คงสร้างความตราตรึงให้เธอจดจำไปนานแสนนานทีเดียวเพราะนอกจากมันจะอร่อยแล้วยังมีความสามารถทำให้หูของเธออื้อชาได้อีกด้วย



“ คริ..คริ.. แหมก็นกเป็นคนบอกเราเองไม่ใช่เหรอ อยากจะทานอะไรที่มันจัดจ้านหูตาจะได้สว่างเสียที..แล้วเป็นไงหล่ะทีนี้สว่างขึ้นบ้างยัง “   สายป่านพูดเย้าเพื่อนรักพร้อมกับอดขำท่าทางของขวัญชนกไม่ได้



“ ก็นกพูดเปรียบเปรยเล่นเฉยๆไม่นึกว่าป่านจะสั่งเผ็ดแบบนี้มาให้..รู้งี้ไม่สั่งก็ดี “   เธอบอกแล้วยื่นมือไปยกแก้วน้ำขึ้นมากระดกลงคอเพื่อให้คลายความเผ็ดร้อนลงไปบ้าง



“ ก็ไม่หรอกจ้านก สองเมนูนี้เขาจะเผ็ดอยู่แล้วไง แม่ค้าเขารู้ว่าป่านเป็นคนใต้ก็เลยจัดมาให้แบบสูตรใต้เป๊ะเลย  วันนี้ป่านพานกมาชิมอาหารทางใต้แล้วนะ คราวหน้านกต้องพาป่านไปชิมอาหารอีสานบ้างหล่ะ “   รอยยิ้มอาบใบหน้าบวกคิ้วหนาตาโตจ้องมองเพื่อนรักต่างถิ่นด้วยความสงสาร


“ จ้า..เดี๋ยวนกจะพาไปกินลาบกะปอมก้อยไข่มดแดงแล้วก็คั่วแม่เป้งก็แล้วกัน คริ..คริ..”   เสียงหัวเราะใสๆดังขึ้นมาบ้างหลังจากที่นั่งซี๊ด..ปากอยู่นาน คำพูดของเธอมันทำให้สาวจากเมืองตรังทำสีหน้าเอ๋อเล็กน้อย สมองกำลังนึกภาพตามอยู่ว่าเจ้าสามรายการที่ว่านี้มันมีหน้าตาแบบไหนกัน



“ กลับกันเถอะป่าน บ่ายคล้อยแล้วเดี๋ยวต้องกลับไปทำรายงานอีก ช่วงนี้นกชอบจะปวดหัวบ่อยๆด้วยสิ สงสัยพักผ่อนไม่เพียงพอมั้ง “   ขวัญชนกเอ่ยชวนเพื่อนรักซึ่งทำให้สายป่านผุดลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปจ่ายค่าอาหารในมื้อนี้พร้อมกับเดินตามหลังเพื่อนออกมาจากร้านในทันควัน


“ ปุ๊ก..อุ๊บบ..โอ๊ยย..”   เสียงดังเกิดขึ้นห่างกันไม่ถึงเสี้ยววินาที มันเกิดจากการเดินชนประทะกันเข้าเต็มๆเนื่องจากการเร่งรีบไม่ทันได้ระวังทำให้ร่างของสายป่านต้องผงะหงายเสียหลักล้มเซแบบหมดท่า หนังสือในมือของเธอหล่นกระจาย  แต่มือของชายหนุ่มผู้ถูกชนประสานเมื่อครู่ดูจะว่องไวน่าให้คะแนนความสามารถนักเชียว เมื่อเขาช้อนเอาร่างที่สวยสมส่วนไว้ได้ทันก่อนที่ตัวเธอจะสัมผัสลงกับพื้น  และมันกลับสร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มบนความไม่ระวังให้กับชายหนุ่มขึ้นมาอีกครั้งเมื่อน้ำหนักตัวเธอดึงกระชากให้เขาล้มตามลงไปอยู่ที่พื้นด้วยในสภาพที่โดนโอบกอด ดีที่ว่าท่อนแขนอันแข็งแกร่งของเขากันศรีษะของเธอให้พ้นจากรัศมีของแรงกระแทกไว้ได้ทัน



“ เอ่อ..ผมขอโทษครับคุณ..เป็นไงบ้างครับเจ็บมากไหม “  ไผ่ศธรเอ่ยตะกุกตะกักสีหน้าเจื่อนเล็กน้อย เขาใช้ท่อนแขนโอบพยุงเธอให้ลุกขึ้นนั่ง ซึ่งตอนนี้มีสายตาเกือบสิบคู่กำลังจ้องมองมารวมไปถึงสายตาของขวัญชนกเพื่อนรักที่กำลังมองดูแบบงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเพื่อนของเธอถึงลงไปนอนอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มคนนั้นได้



“ เอ่อ..ป่านไม่เป็นไรค่ะ..ขอบคุณค่ะ “   เสียงเธอกล่าวขอบคุณเขาแต่ภายในใจพาลนึกว่า ” คนบ้าอะไรก็ไม่รู้เดินไม่รู้จักมอง..แถมยังถือวิสาสะมากอดเฉยเลย ”   เธอพยุงตัวลุกขึ้นยืนโดยที่ชายหนุ่มเป็นผู้เก็บหนังสือที่วางกระจัดกระจายยื่นส่งให้



“ นี่ครับ..หนังสือของคุณ..ผมต้องขอโทษอีกครั้งที่เดินไม่ระวังเองเลยทำให้คุณต้องเจ็บตัวฟรี “   ไผ่ศธรกล่าวขอโทษเธออีกครั้งพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มอันสดใสถูกตอบสนองคืนมาเล็กน้อยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เมื่อครู่นี้เธอคงจะไม่เจ็บมากมายนัก



“ ไผ่..ไผ่ตินั่น..แม่นอีหลี..”  เสียงร้องทักจากขวัญชนกพร้อมแสดงอาการดีใจเมื่อมองดูแล้วว่าชายหนุ่มคนนี้คือเพื่อนที่เคยเรียนอยู่ในวัยเด็กด้วยกัน



“ อ้าว..เพินนก..นึกว่าแม่นผู้ได๋.โอ๊ย..ดีใจแท้..นกมาเรียนอยู่นี่ติ “  ไผ่ศธรเป็นฝ่ายแปลกใจบ้างเมื่อรู้ว่าเป็นใคร เขาไม่ได้เจอกับเธอมานานมากทีเดียว จำได้ว่าเคยเจอเธอเมื่อครั้งล่าสุดเมื่อ6ปีที่แล้วซึ่งตอนนั้นเขายังบวชเป็นสามเณรอยู่



“ จ้าไผ่..แม่นแล้ว..นกมาเรียนอยู่รามฯนี่หล่ะ พอดีว่าเอื้อยของนกเพินมาเฮ็ดงานอยู่บางกะปินกกะเลยมาพักอยู่นำเพิน ..ไผ่เด้..อยู่ไสหนิ..”



“ ไผ่เฮ็ดงานอยู่แถวบางกะปิคือกัน..พอดีว่ามื้อนี้มาหาย่างเบิ่งของหน้ารามฯ  ต้องถือว่าเป็นเรื่องดีคักที่ได้มาพ้อนก “  ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ



“ จ้า..นกกะดีใจคือกัน ต่อไปกะสิได้พ้อกันเรื่อยๆอยู่เนาะ เอ้อ..นี่ป่าน..หมู่นกเอง “  ขวัญชนกชี้มือไปที่เพื่อนรักซึ่งมันทำให้ชายหนุ่มต้องเผลอยิ้มขึ้นมา พลางนึกในใจว่าโลกกำลังเล่นตลกอะไรกับเขาหรือเปล่าเมื่อสาวสวยที่เขาเดินชนเมื่อครู่นี้คือเพื่อนรักของขวัญชนกเพื่อนของเขาในวัยเด็ก



“ ครับ..ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะครับคุณป่าน..” ชายหนุ่มทักทายพร้อมส่งประกายยิ้มให้กับเธอ..
    

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 18

  กรรมลิขิต


                                                            ตอน เส้นทางเดิน 6



                                 ความฝันและความหวัง คนเราทุกคนมักจะมีความฝันและความหวังควบคู่กันอยู่เสมอ การมีความฝันนั้นไม่ได้แปลว่าเราต้องอยู่ในโลกแห่งความฝันเสมอไป  เราสามารถใช้ประโยชน์จากความฝันเพื่อเป็นแรงผลักดันให้เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง.. คนเราทุกคนต่างก็ต้องต่อสู้เพื่อการมีชีวิตรอดตามสัญชาตญาณ.ยกเว้นนอกเสียจากผู้ที่หมดสิ้นแล้วซึ่งความฝันและความหวัง.. ความสุขภายในที่บังเกิดขึ้นมาคือการที่เราได้พยายามทำเพื่อความฝัน เมื่อได้ทำแล้วก็เหมือนได้ทำเพื่อตนเองถึงแม้ว่าบางครั้งจะล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่าแต่ก็มีความสุขที่ได้พยายามแล้ว ไม่มีอะไรเสียเปล่าถ้าได้ลงมือกระทำ ความสุขอยู่ที่ใจ ทำเท่าที่เราทำได้ ชีวิตคงไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้...
                               ความเป็นจริงกับความฝันบางความฝัน ยังมีปัจจัยที่ห่างกันเยอะ ถึงแม้ปัจจัยในตัวของเราจะมีโอกาสเป็นไปได้สูง แต่ปัจจัยสิ่งแวดล้อมอาจจะไม่ส่งผลให้ความเป็นไปได้นั้นเกิดขึ้นมา สิ่งที่ต้องทบทวนอยู่รอบแล้วรอบเล่าคือ เมื่อเราต้องรับภาพจินตนาการแห่งความฝันนั้นออกมา การประเมิณค่าจากประสบการณ์ที่ด้อยกว่าอาจจะทำให้เราทำได้แค่ เกาะฝัน  เป็นฝันที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นจินตนาการโดยที่มองไม่เห็นแสงสว่างเอาเสียเลย  การที่ไม่มีฝันก็เหมือนชีวิตมันสิ้นหวัง  แต่ฝันบางฝันก็เป็นได้แค่อยู่ในจินตนาการเพียงเท่านั้น..ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกความฝันให้เป็นไปในทิศทางไหน

                               ..เกมส์ชีวิต.. มิใช่เกมส์ชีวิตในสวน (เกมส์ที่กำลังนิยมในเฟคบุ๊ค) การเล่นเกมส์ทั่วไปต้องเดินตามแนวทางที่ระบบได้ถูกสร้างไว้ เกมส์ชีวิตในสวนก็เช่นกันต้องทำการเร่งปลูกพืชทำแต้มขยับเรเวลเพื่อไล่กวดตามหลังกลุ่มเพื่อนๆให้ทัน ดูเป็นการแข่งขันที่ดูเร้าใจน่าหวาดเสียวตื่นเต้นเล็กน้อยถึงปานกลาง เมื่อซื้ออะไรเข้ามาไม่ชอบใจก็จัดการโล๊ะทิ้งไปแบบไม่เสียดาย แล้วก็เริ่มสร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และคงจะเดินหน้าทำแต้มไปเรื่อยๆจนกว่าจะสิ้นสุดที่ระบบได้ตั้งไว้  นี่คือเกมส์ชีวิตในสวนทั่วๆไป             

   แต่เกมส์ชีวิตจริงมิได้เป็นเช่นนี้ ทุกสิ่งอย่างอยู่ที่ระบบการควบคุมจากสภาวะจิตของเราโดยตรง การก้าวไปข้างหน้าจึงต้องแตกต่างกับเกมส์ชีวิตในสวนอย่างสิ้นเชิง การที่จะไปวิ่งตามใครๆเช่นนั้นมันคงจะไม่เข้าทีนัก การเดินเกมส์ต้องเป็นไปด้วยความแน่วแน่และมั่นคง เพราะเมื่อใดที่เราเดินพลาดขึ้นมามันจะกระทบกับตัวเราเข้าเต็มๆ  ทุกข์จริง สุขจริง  มีร้องไห้จริง หัวเราะจริง เพราะมันคือเกมส์ชีวิตแห่งความเป็นจริง สุขทุกข์อยู่ที่ใจเป็นตัวกำหนด การเดินเกมส์ชีวิตที่ใช้สภาวะของจิตนำทางดูจะเป็นเรื่องที่ดีมากที่เดียว จิตที่สะอาดบวกด้วยความเชื่อมั่นที่จะก้าวเดินคือหลักประกันให้เราได้มีชัยไปเกินกว่าครึ่ง  ความฝันและความหวัง ที่ตั้งไว้คงจะดูไม่ไกลสำหรับความเป็นจริงแน่นอน..{ เป็นกำลังใจให้พี่ๆเพื่อนๆน้องๆทุกคน..ให้ประสบผลสำเร็จกับความฝันและความหวังที่ตั้งไว้นะครับ...

                                                                 {จากใจ..รุทธิ์ อีเกียแดง}



                  



                       สายลมโชยพัดโบกกิ่งไม้ให้ไหวเอนไปตามแรง ก้อนเมฆที่ดูสีดำทะมึนจนน่ากลัวถูกสายลมพัดพาเข้ามาให้จับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน มองดูแล้วคล้ายกับว่าเป็นรูปภาพของเหล่าภูตปีศาจอสูรกายกำลังแยกเขี้ยวจ้องมองลงมายังเบื้องล่างแบบเขม็งเกลียวเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อมนุษย์ผู้ที่ไม่สามารถละจากบ่วงพันธะให้หลุดพ้นได้

   "  ครืนน..ครืนนน…ฮึ่มม.. " เสียงร้องดังโหยหวนอยู่เป็นระยะๆเหมือนจะส่งสัญญาณเตือนให้ผู้คนที่อยู่เบื้องล่างสำเหนียกถึงความเกรงกลัวตามพวกมัน..และเตรียมความพร้อมกับการรับสายน้ำตาหลากหลายล้านเม็ดของพวกมันที่กำลังจะกลั่นออกมา ซึ่งตอนนี้พวกมันกำลังสำนึกตัวถึงสิ่งที่พวกมันได้ก่อขึ้นมาโดยที่แก้ไขอะไรตอนนี้ไม่ได้เลย ทำได้ดีที่สุดตอนนี้ก็คือคราบน้ำตาแห่งความเสียใจเพียงเท่านั้น ..ผงธุลีทรายเบื้องล่างถูกอำนาจของกระแสลมโอบอุ้มขึ้นจนฟุ้งกระจายไปทั่วอาณาบริเวณ เสียงลมพัดกิ่งไม้ไหวเอนไปตามแรงจนเกิดเสียงดัง “ วิ๊ววว..วิ๊ววว..”  เล่นเอากลุ่มคนที่อยู่เบื้องล่างต้องร้องตะโกนโหวกเหวกส่งสัญญาณรับมือในทันควัน

           วัวควายอยู่กลางทุ่งนาถูกไล่ต้อนเข้ายังหมู่บ้านก่อนเวลากำหนด คนแก่ที่อยู่ลานหน้าบ้านก็ใช้ไม้เท้ายันพื้นขยับตัวเข้าสู่ภายในบ้านซึ่งถือเป็นที่คุ้มภัยได้ดีที่สุด เสียงลูกเล็กเด็กแดงร้องไห้อยู่เป็นจุดๆสลับกับเสียงร้องอันโหยหวนของเหล่าปีศาจที่อยู่ข้างบน ซึ่งอีกไม่นานนักเหล่าปีศาจพวกนี้คงสุดที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่และคงจะปล่อยลงสู่เบื้องล่างให้ผู้คนได้สัมผัสถึงกลิ่นไอที่มาพร้อมกับอุณหภูมิที่ดูจะแตกต่างก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง..

   " แม่ว่าแล้ว..มันฮ้อนผิดสังเกตุมาสองมื้อแล้ว คิดอยู่ว่าจั่งได๋มันกะต้องตกมื้อนี้แท้ๆเลย "  เสียงป้าไหมเอ่ยกับสายใยผู้เป็นลูกสาวขณะที่ตัวแกกำลังสาละวนเร่งกระจายใบหม่อนให้ทั่วกระด้งโดยที่มีตัวหนอนน้อยกำลังนอนรออาหารของมันอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

   " โอ้…ปีนี้ฟ้ามันคือห่าวแท้น้อ ลมกะแฮ๊งแฮงเว๊ย..ใยเอ๊ยใย..ออกไปฮับบักนันแนเด้อ..มันสั่งความมานำลุง "  เสียงลุงจวนร้องตะโกนฝ่าสายลมที่พัดโหมกระหน่ำ ควาย3ตัวถูกแกไล่ต้อนอย่างเร่งรีบเพื่อให้ถึงบ้านก่อนที่ฝนจะเทลงมา

   “ จ้าลุงจวน เดี๋ยวใยสิออกไปเดี๋ยวนี้หล่ะจ้า… “  เธอตอบลุงจวนกลับไป

   “ แม่เบิ่งหลานนำแนเด้อ..ใยออกไปฮับอ้ายนันเพินจักคราวก่อน “  สายใยบอกแม่พร้อมกับวางงานที่ทำอยู่ก่อนจะรีบแจ้นออกไปยังทุ่งนาที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าใดนัก

       สายฝนกระหน่ำเทลงมาหลังจากที่นันและสายใยต้อนควายกลับเข้ามาถึงบ้านไม่ถึง10นาที เสียงเม็ดฝนห่าใหญ่ที่ปนมาพร้อมกับลูกเห็บกระทบเข้ากับสังกะสีหลังคาบ้านจนเกิดเสียงดังอึงมี่  เสียงเด็กน้อยร้องตะโกนแข่งกับเสียงลมและฝนแสดงอาการดีใจตื่นตากับก้อนน้ำแข็งใสๆขนาดเล็กที่ตกมาจากฟากฟ้าโดยที่ไม่นึกกลัวเอาเสียเลยจนผู้เป็นแม่ต้องออกมาดึงแขนให้กลับเข้าไปข้างในบ้าน “ ครืนนน..ครืนนน..ฮึ่มมม..”  เสียงฟ้าร้องอยู่เป็นระยะพร้อมกับกระแสลมที่ยังคงโหมอยู่ไม่ขาดระยะ สายฝนกระหน่ำเทลงมาพราวพร่างจนทำให้มองไม่เห็นวิสัยทัศน์แม้จะอยู่ในระยะห่างไม่กี่เมตรก็ตามที   ผืนดินแห่งความแห้งแล้งตอนนี้กำลังถูกอาบชะโลมด้วยคราบน้ำตาของกลุ่มเมฆาที่ชาวบ้านมองว่าเป็นน้ำทิพย์จากเบื้องบนประทานมาให้ อีกไม่นานเกินรอพวกเขาก็จะได้เริ่มวิถีทางอาชีพที่พวกเขาใช้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตมาตั้งแต่รุ่นอดีตกาลนานนม..รอยยิ้มแห่งความเปรมปรีย์เริ่มจะบังเกิดขึ้นมาหลังจากที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้มาเสียนานเลย…



                  



           เสียงข่าวยามเช้าจากบ้านของกำนันชมยังทำหน้าที่เป็นข่าวสารให้แก่ลูกบ้านของแกด้วยดีตลอดมา  ในระยะเวลาที่แกเข้ามารับตำแหน่งกำนันประจำตำบลหนองนางามที่ผ่านมานั้น ถือว่าแกทำหน้าที่เป็นผู้นำชุมชนในการพัฒนาหมู่บ้านได้ดีเยี่ยม โครงการหลากหลายโครงการเห็นเป็นรูปธรรมขึ้นมาด้วยฝีมือที่มุ่งมั่นและทุ่มเท ทำให้แกกลายเป็นที่รักของลูกบ้านไปโดยปริยาย  และลูกบ้านทั้งหลายก็คงยินยอมพร้อมใจมอบความเชื่อมั่นให้แกเป็นผู้นำของหมู่บ้านต่อไปจนจะครบวาระแห่งการเกษียณอายุราชการของแกแน่นอน…

           แสงอาทิตย์ทอประกายสีทองผ่องอำไพ สาดส่องท้องทุ่งนาอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา น้ำฝนที่ตกมาเมื่อคืนทำให้ท้องทุ่งดูจะมีความชุ่มชื่นขึ้นมาในทันควันซึ่งดูจะแตกต่างก่อนหน้านี้มากมายนัก เสียงนกน้อยร้องขับขานกระโดดโลดเต้นจับกิ่งไม้เล่นกิ่งแล้วกิ่งเล่าอย่างอารมณ์ดี  นกเอี้ยงสองตัวยืนคุยกันเล่นอยู่บนหลังเจ้าทุยอย่างออกรส โดยที่เจ้าทุยไม่นึกรำคาญเอาเสียเลย มันยังคงก้มหน้าเลาะเล็มหญ้าพร้อมกับสูดดมเอากลิ่นความหอมสดชื่นจากผืนดินที่ถูกอาบไปด้วยน้ำฝนก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง  

“ ใยเอ๊ย..บักไผ่มันติดต่อส่งข่าวมาแนบ่นางเอ๊ย..เห็นบักขวัญบอกว่าช่วงนี้มันบ่ค่อยได้ติดต่อกันปานได๋กะเลยบ่ค่อยฮู้ว่ามันอยู่กินจั่งได๋ “  เสียงของลุงจวนนั่นเองแกพึ่งกลับมาจากนำควายไปล่ามให้เลาะเล็มหญ้าอยู่ชายทุ่ง  ร่างสูงผอมที่มีผ้าขาวม้าพาดที่บ่าด้านซ้ายอยู่ตลอดจนมองเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของแกไปเสียแล้ว มีบ่อยครั้งที่แกจะโดนสายใยแซวว่าแกคงจะอยากเหมือนนักร้องคนดัง ไมค์ ภิรมย์พร ที่มีอัลบั้มชุดผ้าขาวบนบ่าซ้ายจนดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองไทย ซึ่งทำให้ลุงจวนถึงกับต้องหัวเราะออกมาชอบใจ

   “ น้องมันกะติดต่อมาตลอดนั่นหล่ะลุง ยังส่งเงินกลับบ้านอยู่บ่ขาด เห็นว่าอีกบ่โดนกะสิไปสมัครเรียนรามฯนำหมู่เขาอยู่ว่าซั้น “ สายใยบอกยิ้มๆพลางนึกถึงใบหน้าของน้องชายอันเป็นที่รักของเธอ

   “ เอ้อ..ดีแล้วๆ จั่งได๋กะอย่าให้มันคือบักจักรเด้อ ..ลุงได้ยินอาวเลิศกับอาอ้อยจ่มอยู่ตลอดว่าลูกซายเลาบ่ได้ส่งเงินกลับมาบ้านเลย แถมข่าวคราวกะเงียบบ่ยอมติดต่อมาให้ฮู้ “  

   “ จ้าลุง ใยกะได้ยินอยู่ว่าบักจักรตอนนี้ติดหมู่คักหลาย บอกกะบ่ค่อยฟังปานได๋ว่าซั้นน้องมันว่า  แนวหมู่เคยอยู่นำกันมาแต่น้อยเนาะกะเลยต้องบอกเตือนกันแต่บอกแล้วมันกะบ่ค่อยฟังกันกะจักสิว่าจั่งได๋ บ่คือบักขวัญน้อลุง อีกจักหน่อยกะสิได้เป็นเจ้าคนนายคนมีกระบี่ห้อยข้างติดดาวโก้เลย ลูกซายลุงจั่งแม่นเก่งคักเนาะ “ สายใยเอ่ยชื่นชมถึงขวัญชัยลูกชายสุดที่รักของลุงจวน ซึ่งทำให้แกต้องยืนภูมิใจกับความสามารถของลูกชาย

  “ เป็นวาสนาของมันหล่ะนางเอ๊ย “ ลุงจวนบอกสายใยพร้อมกับส่งประกายยิ้มออกมา




                




                        แสงไฟภายในร้านอาหารอีสาน “ สกาวเดือน “ ตอนนี้ดูอึมครึมสลัวๆ  นี่เป็นการสร้างบรรยากาศให้กับลูกค้าที่มานั่งลิ้มรสความแซบกับหลากหลายเมนูที่ขึ้นชื่อของทางอีสาน ความสว่างที่มากเกินไปบางครั้งก็อาจทำให้สิ่งรอบข้างดูจะไม่งามตานักทีเดียว เสียงเพลงดังอยู่เป็นระยะๆสลับเปลี่ยนหมุนเวียน นักร้องชาย-หญิงของทางร้านสกาวเดือนมีอยู่แค่ห้าคน  เพลงลูกทุ่งดูจะเน้นมากเป็นพิเศษเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของความเป็นอีสานซึ่งลูกค้าส่วนมากก็เป็นคนอีสาน หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับภาระกิจการงานในช่วงกลางวันแล้ว ก็แวะมาเติมแรงทางกายด้วยรสชาดอาหารที่อร่อยพร้อมกับเติมความสุขทางใจกับเสียงเพลงไปด้วย

                   ค่ำคืนนี้ไผ่ศธรทำหน้าที่ของเขาด้วยความราบรื่นอีกครั้ง มีบ่อยครั้งที่เขาต้องเจอกับสภาวะทางอารมณ์ของลูกค้าหลากหลายคนแตกต่างกันไป  ความเมาของลูกค้าดูจะเป็นอันดับต้นๆที่มักจะเกิดขึ้นกับเขาในด้านหน้าเวที ไม่เว้นแต่วริศราหรือเอิญ นักร้องสาวดาวเด่นประจำร้านที่มักจะโดนลูกค้าที่เมาควบคุมตัวเองไม่ได้ลวนลามอยู่ด้านหน้าเวทีเป็นประจำ แต่เขาและเธอต่างก็ต้องยอมรับแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้และเข้าใจดีว่านี้คืออาชีพที่พวกเขาเลือกเอง สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็คือการยิ้มสู้และคอยให้กำลังซึ่งกันและกันหลังจากที่การแสดงของพวกเขาผ่านพ้นไปแล้วนั่นเอง..

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 17



{นิยายกรรมลิขิต}

ตอน เส้นทางเดิน 6










การเดินทางของชีวิต


"เวลาไม่ใช่เงินฝากที่ใครๆจะสามารถถอนออกมาใช้ได้ตามอำเภอใจ" ท่านที่กำลังนั่งอ่านบทความอยู่ในตอนนี้มีความคิดเห็นว่าอย่างไรบ้างเอ่ย...ถ้าเวลามันสามารถนำไปฝากไว้ได้เหมือนกับเงินทั่วๆไปก็คงจะดีเป็นแน่แท้เลยนะครับ เพราะเมื่อใดที่เราไม่อยากจะนำเวลาที่เรามีอยู่ไปใช้แบบสุรุ่ยสุร่าย อยากหยุดพักไว้ เราก็สามารถนำเข้าไปฝากไว้ที่ธนาคาร โดยมีสาวสวยนั่งยิ้มแป้นรอรับอยู่หน้าเคาน์เตอร์ พร้อมกับมีสมุดบัญชีเล่มสวยให้ โดยพิมพ์เป็นตัวหนังสืออยู่ด้านหน้าว่า (สมุดฝากเวลาของชีวิต..ประเภทออมชีวิต.) สิ้นปีมามีดอกเบี้ยของเวลาให้เรานำไปใช้ต่อได้และดอกเบี้ยเหล่านี้มันคงจะสามารถยืดชีวิตของการเดินทางของเราให้ยาวออกไปได้อีกเยอะเลย คิดภาพตามแล้วมันคงจะมีอะไรให้ทำมากมายขึ้นเยอะแยะเลยนะครับ คิดอยากพักตอนไหนก็พักได้เพราะเวลาของเรามันยังมีเหลือเฟือ

บางท่านอาจจะมีแย้งมาว่า..ยืดออกไปทำไม..เบื่อแล้ว..อยู่นานก็ทุกข์นาน ก็ใช่ครับแต่ก็ต้องมองโลกในแง่ดีสิเอ้อ..ฮ่าๆ ..{คิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้วน้อ} ..เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้นี่เองผมถึงต้องเก็บมาคิดอยู่บ้าง ชีวิตของคนเราเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่มีความจีรังยั่งยืน จึงทำให้นึกว่าเราควรจะใช้เวลาของเราให้ให้คุ้มค่าและควรใช้ชีวิตแห่งการเดินทางด้วยความไม่ประมาทจะดีกว่า " การเดินทางของชีวิต " อาจช่วยให้เราพบเจอสิ่งต่างๆในชีวิตมากมายขึ้น แม้ว่าบางครั้งต้องสัมผัสกับเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทั้งสุขและทุกข์หลากหลายอารมณ์ต่างกัน ตัวผมเองให้มุมมองกับสิ่งเหล่านี้ว่า " สีสันของชีวิต " คือเจอหลากหลายสี ทั้งสีขาว{ด้านดี}ทั้งสีดำ{ด้านมืด}และอีกมากมายหลากหลายสี ต้องก้าวฟันฝ่าสัน{สันเขา}หรือสันอะไรก็แล้วแต่ ล้มลุกคลุกคลานครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดการเดินทางของชีวิตอยู่เนืองๆ การเดินทางนั้นต้องฝ่ามรสุมของชีวิตลูกแล้วลูกเล่ามันช่างเป็นประสบการณ์อันหวานหอมและหวานอมขมกลืนในบางครั้งใช่หรือเปล่าครับ แต่สิ่งเหล่านี้มันทำให้เกิดความแกร่งขึ้นมากมาย จงเก็บร้อยเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตเป็นความทรงจำน้อมนำสิ่งที่ดีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในช่วงชีวิตของการเดินทางที่เหลืออยู่เสียดีกว่าเนาะ ผมเชื่อว่าชีวิตของคนเราส่วนมากคงมีความฝันเหมือนกันทุกๆคน ถ้าใครไม่มีความฝันก็คงแปลกน่าดู {หรือเปล่า}





" ความฝันและจุดหมายปลายทาง " คือจุดยืนที่ตัวผมเองก็ชอบตั้งไว้เช่นกันครับ แต่การฝันและจุดหมายปลายทางนั้นอย่าได้ไปตั้งไว้แบบยิ่งใหญ่หรือไกลเกินกำลังที่เราจะเดินไปถึงได้ แค่ฝันเล็กๆมันก็สร้างความสุขให้เกิดขึ้นมาในจิตของเราได้เช่นกันนะผมว่า ขอให้มีความฝันเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเองชีวิตก็มีสีสันขึ้นแล้ว เต็มที่กับฝันของเราดีกว่านะครับ เดินไปตามฝันบนเส้นทางของจุดหมายที่เราตั้งไว้ด้วยความมุ่งมั่น ดีกว่าปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรมเพราะมันจะทำให้จิตใจของเราหดหู่อยู่ตลอด ท้อแท้อยู่เรื่อยๆจนเกิดความเคยชินจนฝังรากลึก มาสร้างสีสันให้กับชีวิตกันดีกว่าไหมเอ่ย ชีวิตจะได้กระชุ่มกระชวยขึ้น ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มเสียแต่ตอนนี้เลยดีกว่าครับ ไปพร้อมๆกันเล๊ย..












….สองปีต่อมา….

แสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันเปล่งประกายเจิดจ้าแผ่รังสีความเร่าร้อนให้กับสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องล่างกระทบกับผืนป่าใหญ่ที่สำคัญของทางฝั่งภาคใต้ของประเทศไทย “ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด “ ผืนป่าใหญ่ที่มีเนื้อที่เกือบแปดแสนไร่มีพื้นครอบคลุม4จังหวัดของภาคใต้คือ พัทลุง ตรัง สตูล และสงขลา ถือเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์อีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย เนื่องด้วยเป็นแนวเขาที่มีความสลับซับซ้อนบวกกับผืนป่าที่หนาแน่นเลยทำให้มีสัตว์ป่าและนกนาๆชนิดเข้ามาอาศัยในผืนป่าแห่งนี้อยู่เป็นจำนวนมาก และสิ่งเหล่านี้มันก็คือวัฐจักรที่สร้างความสมดุลให้กับผืนป่า ทำให้เพิ่มเสน่ห์แห่งความตราตึงเพิ่มมนต์ขลังดึงดูดให้ผู้คนที่ห่างไกลจากธรรมชาติต้องลุ่มหลง เฝ้าฝันที่จะได้มาเยี่ยมชมสัมผัสกับกลิ่นไอของความร่มรื่นที่ธรรมชาติเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา และเมื่อได้มาสัมผัสแล้วก็ทำให้ต้องมนต์เสน่ห์จากธรรมชาติของผืนป่าแห่งนี้จนต้องแวะเวียนกลับมาสำผัสอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า








 เสียงสายน้ำไหลเซ็นกระเซาะเข้ากระทบกับกลุ่มหินน้อยใหญ่ที่ผุดขึ้นมาอยู่เป็นจุดๆจนทำให้เกิดเป็นคลื่นเกลียวเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา-วกวนไปมา เมื่อไหลผ่านจนสุดแนวหินแล้วก็ไหลตกลงไปกระทบกับแอ่งเบื้องล่างเสียงดังสนั่นก้องไปทั่วผืนป่า ละอองแห่งความชื่นฉ่ำถูกสาดกระทบจนเกิดเป็นฟองคลื่น เมื่อต้องสำผัสกับแสงทองที่สาดส่องลงมาทำให้เกิดประกายแห่งสายรุ้งงาม เป็นสิ่งที่น่ายลน่าพิสมัยดึงดูดสายตาเหล่านักท่องเที่ยวที่เข้าไปดื่มด่ำความเย็นชุ่มฉ่ำของ “น้ำตกสายรุ้ง” อยู่ตลอด น้ำตกสายรุ้งเป็นน้ำตกที่สวยงามและขึ้นชื่อของจังหวัดตรัง ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด อำเภอย่านตาขาว แม้ชื่อเสียงของน้ำตกสายรุ้งจะไม่โด่งดังเท่าน้ำตกอื่นๆ ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัดเหมือนเช่น น้ำตกโตนเต๊ะและน้ำตกโตนตก แต่ความสวยงามในช่วงสายรุ้งพาดผ่านตัวน้ำตกและบรรยากาศเย็นสบายเงียบสงบไม่แพ้กันนั้น ล้วนเป็นเสน่ห์ที่มากพอจะเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง เทือกเขาบรรทัด มียอดเขาหลักเป็นยอดเขาที่สูงที่สุด และยังเป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารที่ไหลมารวมกันสู่ทะเลสาบสงขลาหล่อเลี้ยงประชากรในพื้นที่ 4 จังหวัด  น้ำตกสายรุ้ง มีทั้งหมด 4 ชั้น แต่ละชั้นมีความสวยงามแตกต่างกัน แต่จุดเด่นของน้ำตกแห่งนี้คือ ยามบ่ายหากอากาศดี ละอองน้ำจากน้ำตกทำมุมกับแสงแดดปรากฏเป็นประกายรุ้งงดงามจึงเป็นที่มาของชื่อน้ำตกสายรุ้งนั่นเอง 







 
   ก้อนหินน้อยใหญ่ผุดแซมต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ยืนต้นเป็นแถวยาวขนานไปกับสายน้ำตก ซึ่งมันก็ให้ร่มเงากับบรรดานักท่องเที่ยวที่เข้ามาสัมผัสกับธรรมชาติได้ดีนัก นักท่องเที่ยวส่วนมากจะนิยมออกมาเที่ยวน้ำตกช่วงสายๆพร้อมกับนำสำภาระ อาหารการกินมาทำกินกันอยู่ริมสายน้ำตกเลยทีเดียว ไม่เว้นแม้แต่ป้าอรที่กำลังขะมักเขม้นจัดเตรียมอาหารอยู่บนเสื่อผืนใหญ่ เพื่อรองรับกับสมาชิกในครอบครัวและกลุ่มญาติๆที่ตอนนี้กำลังเล่นน้ำตกกันอยู่อย่างสนุกสนาน

   “ ป่าน..เจ้าป่านเอ๊ย..พากันขึ้นมากินข้าวได้แล้วมั้ง จวนจะบ่ายโมงแล้ว ไม่ใช่เล่นกันจนตัวเขียวแล้วเหรอ “ เสียงป้าอรร้องเรียกลูกสาวคนสวยให้ขึ้นมาจากน้ำหลังจากที่เธอลงไปนั่งแช่ ดำผุด ดำว่าย เล่นอยู่เป็นเวลานานกับบรรดาน้องสาวและญาติๆของเธอ เสียงคุยกันอย่างออกรสตามมาด้วยเสียงหัวเราะอยู่เป็นระยะจากกลุ่มของเธอทำให้ป้าอรถึงกลับต้องแอบยิ้มอยู่ลึกๆพร้อมกับนึกภูมิใจกับความสวย ฉลาดเก่งของลูกสาวคนนี้และแกก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าต่อไปในวันข้างหน้าจะได้เห็นเธอประสบความสำเร็จในถนนสายชีวิต
 






“ จ้าแม่ เดี๋ยวป่านจะขึ้นไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ “ เสียงใสของเธอร้องตะโกนตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มอิ่มเต็มใบหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัว เธอหันไปเอ่ยชวนกลุ่มเพื่อนและน้าๆของเธอให้ขึ้นจากน้ำ เมื่อมองขึ้นไปเห็นผู้เป็นแม่กวักมือเรียกซ้ำอีกที ใบหน้าและรูปร่างที่สวยอยู่แล้วเมื่อมาอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นเสื้อยืดมันดูจะเพิ่มเสน่ห์ให้กับตัวเธอมากขึ้นอีก สังเกตุได้ว่าบรรดาชายหนุ่มหรือสาวๆในจุดนั้นต้องแอบมองมายังกลุ่มของเธออยู่ตลอด 

       ความสวยและความมั่นใจคือจุดเด่นที่เธอมีอยู่เต็มเปี่ยม ป่านหรือสายป่านเป็นสาวใต้จากอำเภอวังวิเศษ จังหวัดตรัง ว่าที่บัณทิตคณะศึกษาศาสตร์จากรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง {กรุงเทพมหานคร} สาวสวยผู้มีความมั่นใจในตัวเองสูงแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนภายใน จิตใจเอื้ออารีและเป็นคนที่จริงใจดีเยี่ยมกับเพื่อนๆ

  “ คริ คริ “ เสียงหัวเราะเบาๆจากเธอดังขึ้นหลังจากเดินลุยน้ำผ่านหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่กำลังเล่นน้ำอยู่ เพราะชายหนุ่มคนนั้นเผลอมองตามเธอเล่นเอาสาวเจ้าที่นั่งอยู่ข้างๆกดเล็บเข้าไปที่ต้นแขนจนชายหนุ่มต้องร้องออกมา

  “ โห..แม่น่าหรอยจัง “ เสียงใสๆออกสำเนียงทองแดงเล็กน้อยดังขึ้นเมื่อเธอมองเห็นสิ่งที่ผู้เป็นแม่เตรียมไว้รอ

  “ ปลาทูทอดก็มี หมูทอดก็มี ไก่ย่างก็มี น้ำพริกก็มี แถมมีข้าวเหนียวเตรียมไว้ให้พร้อมเลยนิ “ เสียงใสยังพูดไม่หยุดทำให้ป้าอรต้องยิ้มพร้อมกับใช้มือลูบหัวเธอเล่นด้วยความรักและเอ็นดู อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างรอยยิ้มให้กับเธอนั่นก็คือส้มตำ ที่ผู้เป็นแม่ยกอุปกรณ์เครื่องครัวและเครื่องปรุงทุกอย่างมาบรรเลงอยู่ตรงนี้เลย เป็นเวลานานพอสมควรที่เธอไม่ได้ลิ้มลองรสชาติฝีมือของผู้เป็นแม่ หลังจากที่ทางมหาวิทยาลัยปิดเทอมจึงเป็นโอกาสเหมาะเจาะได้กลับลงมาเยี่ยมบ้าน ความรักความห่วงหาเอื้ออาทรสิ่งดีๆที่ทุกๆคนเคยมีให้กับเธอนั้นก็ยังมีให้เธอได้สัมผัสได้เช่นเดิมและก็ไม่เคยลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด สายป่านพยายามเก็บเกี่ยวสิ่งที่เธอขาดหายไปให้กลับเข้ามาในความรู้สึกให้ได้มากที่สุด เพื่อนำสิ่งเหล่านี้เติมเต็มเติมแรงฝันในยามที่เธอเกิดอาการท้อแท้ อ่อนล้า ความรักความห่วงใยเอื้ออาทรและกำลังใจจากผู้ที่อยู่ข้างหลังคือสิ่งที่สำคัญเพราะเมื่อใดที่เธอเกิดอาการเหล่านี้ขึ้นมา..เธอสามารถมีแรงสู้ต่อและผ่านมันไปได้ทุกทีเมื่อนึกถึงภาพของบุคคลอันเป็นที่รักเหล่านี้..








แสงตะวันยามบ่ายคล้อยสาดส่องลอดหน้าต่างเข้ามา ทำให้ชายหนุ่มต้องขยับร่างลุกขึ้นเพื่อให้พ้นจากไอของความร้อน แสงสว่างที่เจิดจ้าทำให้ชายหนุ่มถึงต้องปิดเปลือกตาลงอีกครั้งเพื่อให้สายตาได้ปรับตัวให้เข้าที่กับแสง อาการง่วงนอนนั้นดูเหมือนว่าจะยังคงมีอยู่ สังเกตุได้จากที่เขานั่งตัวโอนเอนไปมา แล้วก็ล้มแผละลงกลับไปนอนอีกครั้ง..ไม่นานนักก็ผุดลุกขึ้นกลับมานั่ง แม้ว่าเปลือกตาเขาจะยังปิดอยู่แต่ในสมองของเขาตอนนี้กำลังก่อเกิดเป็นมโนภาพเมื่อครั้นตอนที่เป็นสามเณร มันเหมือนกับหนังม้วนเดิมๆที่กำลังฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียแต่ว่าต่างวาระและต่างสถานที่เท่านั้น

ไผ่ศธรค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับพยุงตัวให้ลุกขึ้นจากเสื่อผืนเล็กๆ ..ใช่แล้ว.. นี่คือจุดที่เขาใช้ซุกหัวนอน ห้องเช่าสี่เหลี่ยมเล็กๆที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอยู่ไม่กี่อย่างมันคงจะดูไม่เข้าทีนักในสายตาคนระดับชั้นกลางๆทั่วไป แต่ในความรู้สึกของเขามันยังคอยย้ำเตือนให้อดทนสู้อยู่เสมอ ถึงแม้ว่ามันจะไม่สุข อิ่มเอิบเหมือนที่บ้านนักก็ตามแต่ อย่างน้อยการอดทนของเขาคนเดียวมันก็ทำให้หลายๆชีวิตอิ่มเต็มมากขึ้นและเขายังมีรายได้จากส่วนนี้ไปขยับวุฒิบัตรด้านการศึกษาได้ด้วย ไผ่ศธรลงสมัครเรียนเทียบเท่าในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย(ทก) ที่เปิดการเรียนการสอนเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น เทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายแล้วด้วย เขาใช้ระยะเวลาเรียนไม่นานนักเพราะเขาใช้วุฒิการศึกษาด้านที่ผ่านมาเมื่อครั้งเป็นสามเณรมาเทียบโอนเพิ่มหน่วยกิต จึงทำให้ย่นระยะเวลาลงได้มากโข

การเลือกเส้นทางเดินของไผ่ศธรมันไม่ได้สวยงามไปอย่างที่ฝันเท่าใดนัก เขาต้องอดตาหลับขับตานอนแทบทุกคืน ต้องทำหน้าที่ภายในร้านแทบทุกอย่างตั้งแต่หน้าที่เสริฟรวมไปถึงการขึ้นจับไมค์ร้องเพลงบนเวที ถึงแม้ว่าบางคืนมันแสนจะเหนื่อยล้าเต็มทีแต่ก็สร้างรอยยิ้มให้เขาได้ในบางหนกับผลตอบแทน ทิปพิเศษจากการร้องเพลงด้านหน้าเวทีทำให้รายได้ของเขาเพิ่มขึ้นมาบ้าง เส้นทางเดินของเขานั้นมันช่างแตกต่างกับขวัญชัยมากมายเหลือเกิน ขวัญชัยเพื่อนรักอีกคนดูเหมือนว่ากำลังแห่งผลบุญและวาสนากำลังหนุนส่งในทุกๆด้าน หลังจากลาสิกขาบทเมื่อปลายปีเขาก็ได้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชอบและใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก ไผ่ศธรแอบยิ้มกับความก้าวหน้าของเพื่อนคนนี้อยู่ลึกๆ คำว่าเพื่อนยังติดตราตรึงอยู่ในใจเสมอ ในเมื่อเพื่อนไปได้ดีเขาก็ต้องยินดีด้วยเป็นธรรมดา

“ เฮ้อ..“ ไผ่ศธรต้องลอบถอนหายใจออกมาเมื่อคิดถึงเพื่อนรักอีกคน วีรจักรเส้นทางเดินของเขานั้นดูจะย่ำแย่กว่าเขาด้วยซ้ำ งานโรงงานเล็กๆมันไม่ได้ทำให้ความเป็นอยู่เขาดีขึ้นมากมายเท่าใดนัก แต่มันกลับย่ำแย่ลงไปอีกเมื่อวีรจักรทำตัวเองให้ตกต่ำลงไปยิ่งกว่าเดิม การคบเพื่อนคือสิ่งสำคัญอันดับแรกในมงคล38ประการ การใช้ชีวิตที่ผิดคบเพื่อนที่ไม่ดีทำให้เขาต้องเจอปัญหาอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าไผ่ศธรจะกล่าวเตือนเพื่อนรักด้วยความห่วงใยและหวังดีแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าอกุศลกรรมในอดีตชาติกำลังขับเคลื่อนให้เขาเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งวิบาก ที่กำลังนับวันจะก่อตัวขึ้นเพื่อนำตัวเขาไปสู่ยังอบายภูมิต่อไป…..