จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554


         วิถีแห่งลุ่มน้ำโขงในอดีต ความประทับใจที่ไม่เคยลืม สัมผัสกลิ่นไอ วัฒนธรรมที่น่าชื่นชมที่ทุกวันนี้สัมผัสได้ยากเต็มที เที่ยวเมืองลาวในครั้งอดีต
                           โดยอีเกียแดง แห่งรัตติกาล

                     ภาษาที่ใช้เป็นถ้อยคำภาษาอีสานนะครับ

        (ขอขอบคุณภาพสวยๆจากอินเตอร์เน็ตตามเว็บทั่วไปด้วยครับ)

บทความนี้ขอทอดความฮู้สึกดีๆที่เฮาเคยได้ผ่านได้เห็นมาแต่ก่อนเนาะครับ  บ่ว่าสิเป็นชีวิตตั้งแต่เด็กน้อย เรื่องราวที่ประทับใจของแต่ละคน วิถีชีวิตของทางอีสานบ้านเฮา การไปเที่ยวที่ประทับใจ เรื่องดีๆที่ประทับใจ เช่นการต่อสู้ชีวิต ไผ๋มีเรื่องหยั๋งอยากเว้าขอเอามาลงในกระทู้นี่เนาะครับ เป็นการแชร์ความรู้สึกสิ่งดีๆที่ประทับใจที่นึกไปพ้อยามใดอดที่สินั่งยิ้มบ่ได้   บางเทือกะอาจสิเป็นข้อคิดให้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตได้ครับ  







               .......  บ่าวรุทธิ์เคยไปเที่ยวทางประเทศลาว  ประเทศลาวเป็นประเทศที่อยู่ในความทรงจำอันดีของผมมาตั้งแต่เป็นเด็กน้อย กะเลยนำความฮู้สึกตรงนั้นมาถ่ายทอดให่อ่านเหล่นๆกันเน๊าะครับ (ถึงสิผ่านมาเกือบยี่สิบปีแล้วกะตามที)  ผมมีโอกาสได้ขึ้นไปสัมผัสกับวัฒนธรรมของเพิน วิถีชีวิต รวมไปถึงภาพบรรยากาศรอบข้าง เห็นแล้วสดชื่นสดใสไปนำ  ไปแต่น้อยกะบ่แม่นย้อนหยั๋งดอกครับเรียนจบ ป.6 ออกมากะบ่มีโอกาสสิได้เรียนต่อคือหมู่เขา กะเลยคิดว่าอยากบวชเฮียนเขียนอ่านต่อจั๊กหน่อย เลยได้บวชเป็นเณรน้อย กะพอดีหลวงพ่อท่านพระครูเพินกะเลยขอผมไปเป็นเณรอุปฐากเพิน พอดีอีกเทือหนึ่งที่พ่อผมกับหลวงพ่อพระครูเป็นหมู่กันสมัยหนุ่มๆบวชพระพ้อมกัน เมื่อพ่อผมเสียผมกะเลยกลายเป็นลูกบุญธรรมหลวงพ่อพระครูไปโดยปริยาย ตอนนี้หลวงพ่อพระครูเพินกะน่าจะอยู่ที่47พรรษาแล้ว เพราะอายุเพินกะ67แล้วเนาะครับตอนนี้ ผมกะจำบ่ได้ว่าเพินไปมีหมู่อยู่กับหลวงพ่อทางฝั่งเมืองลาวได้จั่งได๋ เพินสิไปยามกันทางลาวผมกะเลยมีโอกาสได้ไปนำ  (ไปไสหลวงพ่อพระครูเพินสิเอาผมไปนำตลอดเลย)  ไปตอนนั้นกะสิไปจั๊ก20กว่าคนได้ เอารถไปสองคันหลวงพ่อพระครูเพินกะเลยถือโอกาสจัดผ้าป่าไปทอดทางวัดเมืองลาวนำเลย ครับกะเอารถไปจอดไว้ที่อำเภอธาตุพนม กว่าสิเข้าไปได้กะยากคือกันครับตอนนั้นบ่สะดวกหลายๆอย่าง ต้องให่ทางนายอำเภอเพินเซ็นต์ผ่านไห่ก่อน กว่าสิแล่นหานายอำเภอพ้อจนว่าเกือบบ่าย4โมง (ไปฮอดธาตุพนมตั้งแต่เที่ยง)

              พอเอารถฝากไว้ฝั่งเมืองไทยแล้ว กะพากันมาลงเรือที่ท่าเรือหน้าพระธาตุเน๊าะครับ หลวงพ่อทางฝั่งลาวเพินเอาเรือมารอถ่าฮับตั้งแต่สี่โมงเช้าแล้ว เป็นเรือทางบ้านเพินสองลำใหญ่เลยครับ ขนของลงเสร็จแล้วกะออกเดินทาง ยอมรับตอนนั้นตื่นตาตื่นใจครับ ผมเป็นเณรน้อยกะบ่เคยเห็น เห็นแม่น้ำโขงสีขุ่น (เป็นตาย้านในความฮู้สึกตอนนั้น) เรือแล่นผ่านสิพ้นน้ำโขงกะสิเข้าลำเซทางฝั่งลาว เป็นภาพที่งามครับกลายเป็นว่าแม่น้ำสองสีไปโดยปริยาย ขุ่นฝั่งนึง ใสฝั่งนึง เรือแล่นเข้าปากเซเรียบร้อยแล้วกะมีต๊ะน้ำใสๆให่เบิ่ง ตื่นตากับธรรมชาติบ้านเพินครับ

                





                 ....เหลียวเบิ่งสองฟากฝั่งของลำน้ำกะเต็มไปด้วยแปลงผัก ที่ชาวบ้านเพินได้พากันปลูกไว้ แนวมันเป็นช่วงยามแลงกะเลยเบิ่งเป็นตาคึกคักแน เทิงเด็กน้อย เทิงผู้สาว เทิงผู้เฒ่า พากันหาบกะคุ หาบบัว ตักน้ำฮดผัก เห็นเด็กน้อยบ้านเพินพากันแล่นกระโดดน้ำอยู่ต้ามๆ เอาโล้ด ผู้สาวกะใส่ซิ่นลงตุ้มเอิกลงอาบน้ำ ย้อนว่าเป็นเณรน้อยกะเลยมีแค่ความคิดไร้เดียงสา (ถ้าเป็นตอนนี้บ่แน่ครับ บ่าวรุทธิ์อีเกียแดงอาจสิกระโดดลงเรือลอยน้ำเข่าไปหา สิไปถามเพินจั๊กคำว่า "ผู้สาวน้ำเย็นดีบ่"5555) เห็นแล้วกะฮู้สึกว่าอิ่มในความฮู้สึกตรงนั่น เห็นวิถีชีวิตตรงนั้น เรือแล่นไปฮอดบ้านได๋กะสิได้ยินเสียงเอิ้นถามข่าวคราวมาเป็นระยะ จากฟากสองฝั่งลำเซ เพินคือมีความผูกพันธ์กันดีเด้น้อ นั่งเรือไปน้ำกะฟ้งใส่จีวรอยู่เรื่อยๆถึงแม้ว่าสิออกเดินทางออกมาตะเช้า จนปานนี้ผมกะบ่มีทีท่าว่าสิง่วงนอน ย้อนตื่นตาตื่นใจกับธรรมชาติสองฝั่งลำน้ำ เสียงคนในเรือกะฮู้สึกว่ามีเว้ากันดังขึ้นเรื่อยๆ มีฮ้องเพลงไปนำพ้อม เอ??????ย้อนหยั๋งน้อ           พอแต่เริ่มสิสังเกตุดีๆ โอ๋มันย้อนอั่นนี่ตั๊วนี่ ไหเหล้าไหบักใหญ่เลยตั๊วนี่พี่น้องทางลาวเพินเอาติดเรือมานำมาไว้ถ่าต้อนฮับว่าซั่น เอาอีกแล้ว ฮ่าๆๆๆ ไปทางได๋กะบ่ม้มเหล้าน้อ ในความคิดตอนนั้นสั่นดอกว๊า   (ตอนนี้อาจสิเปลี่ยนความคิดไปแนจั๊กหน่อย แหะๆๆๆ) เสียงเพลงดังขึ่นจนกลบเสียงเรือ การเบิ่งธรรมชาติสองฝั่งลำน้ำของผมกะเลยมีปัญหาไปนำย้อนบ่มีสมาธิในการเบิ่ง ต้องคอยแนมกลับมาเบิ่งมาฟังเพินฮ้องเพลงอยู่เรื่อยๆ ควันไฟสองฝั่งเริ่มสิมีให่เห็นเป็นจุดๆ เพินดังไฟนึ่งข้าวแลงแล้วตั๊วนี่ บ้านบางหลังกะสร้างหันหน้าออกมาทางลำน้ำ มีซานยื่นออกมาเหลี๋ยวไปกะเห็นยายเลากำลังดังไฟใช้แนวพัดอยู่วี๊หวี่ (ย้านมันบ่ติดสั่นแหล่ว ฮ่าๆๆๆๆ)   บ้านสองฝั่งตามที่ผมสังเกตุเบิ่งสิเป็นบ้านไม้แทบทุกหลัง (บ้านชั้นเดียวยกสูง ข้างล่างปล่อยโล่งมีแต่เสา) แต่ตอนนี้คิดว่าเพินคือสิเปลี่ยนไปหลายแล้วน้อครับ ไฟฟ้ากะยังบ่ทันมีครับ             เรือกะแล่นนำก้นกันไปเรื่อยๆ โตผมเองนั่งอยู่ลำทางหน้า เวลาตอนนี้กะสิ6โมงแล้ว สองฝั่งกะเริ่มสิมืดขึ่นเรื่อยๆ การเบิ่งธรรมชาติของผมกะฮุ้สึกว่าต้องพักไว้แค่นั้น    หันมาให่ความสนใจของนักร้อง ที่ผลัดกันขึ้นผลัดกันลง เดี๋ยวกะพี่น้องทางไทยแน เปลี่ยนไปเป็นพี่น้องทางลาวนำ หลวงพ่อพระครูเพินกะอดสิหัวร่อนำบ่ได้ "จั่งแมนคั๊กเนาะ ฮิ๊วว"   คือโดนฮอดแท้น้อ ในความคิดตอนนั้นนั่งเรือเข้ามาเป็นชั่วโมงแล้ว ฮู้สึกว่าไกลคั๊กแล้วหนา ความมืดกะเริ่มแผ่เข้ามาปกคลุม เรือกะเลยจำเป็นต้องเปิดไฟแนจั๊กหน่อย
ไฟกะบ่แมนไฟหยั๋งเด๊ครับ เป็นไฟฉายกระบอกน้อยๆพอส่องเห็นทาง  (โอ๊ยย งึดเพินหลายกะยั๊งหว่า 5555)  มีปัญหาแน่นอนแท้งานนี่ ฉะนั้นความเร็วของเรือกะถูกลดลงแนจั๊กหน่อย เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร    ....จนเวลาเกือบ6โมง40เรือกะนำพามาฮอดจุดหมายปลายทาง ตอนนี้เหลี๋ยวหยั๋งกะแทบสิบ่เห็นหยั๋งแล้วมืดคั๊กแล้วครับ แต่กะดีอยู่น้อยนึงมีเรือจอดอยู่ท่าลำนึง ซึ่งมีหน้าที่คอยปั่นไฟพอได้ย่างขึ่นไปหาวัดได้แน เรือจอดเห็นแล้วกะฮู้สึกดีใจหลายครับ พี่น้องทางลาวเพินมายืนถ่าต้อนฮับว่าแมนเกือบร้อยคน หลวงพ่อทางลาวกะลงมาฮับหลวงพ่อพระครูเพิน

       "จั๊วน้อย"  ฮ่วยแมนอีหยั๋งน้อบาดนี่ แนมหาต้นเสียงอยู่ ทางเจ้าของต้นเสียงเพินยืนยิ้มอยู่พุ้น พี่เณรน้อยทางลาว เอิ้นผมพ้อมกับกวักมื้อเอิ้น

       "มาทางพี้ๆ"  ฮ่วยมาสิได้หมู่เร็วแท้น้อบาดเนียะ55555
                

                    






                   ผมลงเรือได้กะย่างตรงไปหาเพิน ที่กำลังยืนยิ้มเห็นต๊ะแข่วขาวแพ๊กแว๊กอยู่ เณรน้อยบ้านเพินกะเป็นตาฮักดีเด๊หล่ะเนาะ ฮ่าๆๆๆ

         "เมื่อยบ่ครับ"  เสียงจากเพินถามขึ่นมา

          "บ่เมื่อยดอกครับม่วนหลายกว่า"  ผมตอบเพินกลับพ้อมกับออกอาการยิ้มปนหัวร่อ

          "ป๊ะครับ เอายามไปเก็บไว้ในห้องผม คืนนี้นอนกับผม"  ฮ่วยคือว่าจั่งซี้น้อบาดนี่5555 ผมกะย่างนำหลังเพินไป ทางชาวบ้านเพินกะพากันทยอยขนของขึ่นไปไว้เทิงศาลาใหญ่

          "พี่เณรมื้อวานนี้หลวงตาอยู่นี่เพินตาย" (มรณภาพ) เสียงพี่เณรจากทางลาวบอกผม ฮ่วยงานเข้าผมอีกแล้วมาพ้อผีหลอกแถมเป็นผีหลอกหลวงตาอีก จังแท้น้อแฮงต๊ะเป็นคนย้านผีอยู่ ต๊ะว่าคืนนั้นกะบ่เป็นตาย้านป๋านได๋ครับ ย้อนว่ามีไฟแล้วทางวัดเพินกะเปิดเครื่องเสียงเต็มรูปแบบ ต้องยกผลประโยชน์ให่กับเรือ3ลำที่กำลังเฮ็ดหน้าที่ปั่นไฟอยู่ในลำเซ ตลอดทั้งคืน สรุปแล้วผมกะได้หมู่ไปโดยปริยาย พี่เณรน้อยองค์นั้นกะเป็นเณรอุปฐากหลวงพ่อทางลาวคือกัน หลวงพ่อพระครูผมกะเลยบอกว่าให่มันสองคนมาเป็นเสี่ยวกันพอดีหล่ะสั่นน่ะ

         "เอาเป็นกะเป็นครับ"  5555   คืนนั้นกะเลยได้นอนกับพี่เณรเพิน ส่วนญาติโยมที่ไปนำพี่น้องทางลาวกะพากันดึงไปพักนำบ้านละ2-3คน ดีเด๊หล่ะเนาะ อิ่มใจแทนครับในเรื่องจิตใจ แทนที่สิได้นอนพักรวมกันเทิงศาลาใหญ่ผั่นบ่แม่น เพินพาไปพักอยู่ในบ้านพุ้นน่ะ หาข้าวหาปลาให่กินอย่างดีเลย คืนนั้นกะหลับดีขนาดครับ

                 ......มิ๊งงงงงงงง.......มิ๊งงงงง........

         "เอ๊าพี่เณรแจ้งแหล่วบ่ครับ"   ผมถามพี่เณรลาวหลังจากตื่นย้อนได้ยินเสียงระฆังดังตอนเซ้า

         "ครับ ไปล้างหน้าเตรียมโตบิณฑบาตได้แล้วครับ"  เพินตอบกลับ ผมกะเลยพากันลุกไปล้างหน้า ตอนนั้นกะฮู้สึกสีหนาวๆแนเพราะไปกันสิช่วงหน้าหนาวครับ เรียบร้อยแล้วกะเตรียมโตมายืนถ่าหลวงพ่อใหญ่  (แต่ทางพุ้นคล้ายเพินเอิ้นว่า เจ้าญาครู เจ้าหัวซา ผิดจั่งได๋ขออภัยครับ)  พี่เณรทางลาวเพินกะเป็นผู้หาบาตรมาให่ผม วัดนี่มีพระเกือบ10องค์ เณรน้อยองค์นึง ไปบิณฑบาตกะต้องแยกไปสองสาย ฉะนั้นผมเลยต้องแยกกันกับพี่เณรคนละทาง

          "ป๊ะจั่วน้อยไปได้แล้ว"เสียงหลวงพี่ทางลาวเอิ้นบอกผม จั่งได๋อีกน้อ หลวงพ่อพระครูกะไปคนละเส้นกับผม

           "ไปหล่าไปกับหลวงพี่เพิน"   เสียงหลวงพ่อพระครูบอกผม ผมอุ้มบาตรได้กะแล่นนำก้นหลวงพี่เพินไปต้อยๆ5555
  




  

                   ...... อากาศยามเซ้าเฮ็ดให่ผมมีความฮู้สึกสดชื่นหลาย อากาศกะหนาวๆแน แต่กะบ่มีปัญหาสำหรับผมในตอนนั้น ผ้าจีวรผืนเดียวสามารถกันความหนาวของภายนอกได้ดี ผมกะย่างไปนำก้นหลวงพี่ต้อยๆ แสงสว่างของดวงอาทิตย์กำลังเริ่มทอแสงออกมาให้เห็น (มื้อนี่เป็นเซ้าที่สดชื่นเด๊ ผมคิดในใจ) อิ่มตาไปกับสิ่งรอบข้างที่เริ่มเห็นเต็มตาภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า บ้านเพินตอนนั้นเป็นแบบรูปข้างบนเลยครับ ฝาข้างบ้านกะใช้ไม้ไผ่จักสานเป็นแผ่น แปลกตาดีแท้

        "ปุ๊ก ชะอุ๊ย"   เสียงบาตรผมซนเข้ากับหลังหลวงพี่ เบรคกะบ่บอกผมน้อ  ผมหล่ะคาตะเหลียวเบิ่งแนวอื่นอยู่ บ่สำรวมเลยผมนี่กะดาย ฮ่าๆๆๆ ข้าวก้อนแรกกำลังสิตกลงมาก้นบาตรผม โยมเพินออกมารอใส่บาตรอยู่สองสามคน แถมหม่องที่เพินนั่งถ่าอยู่กะมีกองไฟดังไว้ผิงแก้หนาวนำ มีผู้เฒ่ากับเด็กน้อยนั่งเฝ้ากองไฟ จี่ข้าวไปนำทาไข่เหลืองอุ่ยหุ่ยอยู่ ฮ่วย?? คิดฮอดบุญข้าวจี่บ้านผมเด้บาดนี่ เมื่อโยมใส่บาตรแล้วหลวงพี่เพินกะให่พร  (เอ๊า เพินกะเทศน์ว่าความเดียวกันกับเฮาอยู่ตั๊วนี แต่สิแปร่งๆแนจั๊กหน่อย)  เสร็จแล้วหลวงพี่กะพาย่างต่อ กะมีโยมออกมาใส่บาตรเป็นระยะๆ ใส่ข้าวเหนียวกะมีบางบ้านกะใส่ข้าวจ้าวในบาตรผมตอนนี้ว่าแมนข้าวหัวหงอก5555


            .....อู๊ดๆๆๆๆ เหอะๆๆๆผมหล่ะเหลียวหาต้นเสียงอยู่ หมูกระโดนครับสามสี่โตกำลังย่างมาทางหลวงพี่กับผม เอ๊า??เพินคือปล่อยออกมาจั่งซี้ผมคิดในใจ หลวงพี่เพินว่าหมูเขาบ่ขัง ปล่อยเลี้ยงแบบซี้เลยบ่มีหนีบ่มีเสียปลอดภัยพะนะ (แมนแหล่วครับปลอดภัยหมูแต่บ่ปลอดภัยผม ย้านมันแล่นมาดุด มาตำแนวเจ้าของแฮ่งเหลืองเหมิดชุดอยู่)

          "เร็วจั๊วน้อยเดี๋ยวหมูสิไล่เด๊"  เสียงหลวงพี่บอก ไหย่โล้ดแหล่วผมหลวงพี่ถ่าผมแน555   ย้อนว่าเป็นหมู่บ้านใหญ่เติบพุ้นหล่ะครับบิณฑบาตเลยแบ่งเป็นสองสาย เพื่อให้ทั่วเถิงตามศรัทธาชาวบ้านเพิน ยอมรับครับเพินเฮ็ดบุญดีเด็กเล็กเด็กน้อยผู้แส่ผู้สาวมีให่เห็นตลอด คือสิถืกปลูกฝังมาแบบนี้เห็นแล้วชื่นใจแท้ และแล้วการบิณฑบาตของผมในเซ้านั่นกะจบลงด้วยการย่างเมือยหลายเติบ ฮ่าๆๆๆ   เอาบาตรไปตั้งไว้เทิงศาลาผมมาฮอดก่อนหลวงพ่อพระครูเพิน สักพักกะค่อยเห็นเพินย่างเข้ามาผมตอนฟ้าวแล่นไปฮับบาตรเพินอีก

              ....สวย(สาย)ออกมาจั๊กหน่อยโยมกะเริ่มหิ้วกะต่ากับข้าวมาวัดครับ "คือกันกับบ้านเฮาเด๊หล่ะเน๊าะ กะพอประมาณครับผมเป็นเณรน้อยฉันบ่หลายดอก สิมักแนต๊ะขนมนั่นหล่ะ555  จ่งไว้ให่ผมหลายๆแน อาหารการกินกะบ่ต่างกันกับบ้านเฮาปานใด๋  ให้ศีลให่พรกะบ่ต่างกัน นี่ตั๊วที่เพินว่าพี่ไทย น้องลาวเน๊าะ หนีกันบ่ไกลครับ แต่สิ่งที่ผมประทับใจหลายกะคือคำเว้าเพิน เพินคือเว้าม่วนแท้น้อ ..










           .......หลังจากฉันภัตตาหารเซ้าแล้วๆ การฉันเพลกะตามมา ย่างเข้าช่วงเที่ยงฮู้สึกว่าตอนนี้สิเริ่มคึกคักแนเป็นพิเศษ เพราะโยมเพินพากันออกมาเตรียมงานซอยกันซึ่ง ในตอนนี้มีอยู่สองงานต้องให่ปวดสมอง งานหนึ่งกะคืองานศพหลวงตา(ซึ่งตอนนี้ได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศลอยู่ศาลาพักศพไว้ฝั่งหนึ่ง)ซึ่งเพินสิฌาปนกิจมื้ออื่น (คำว่ามื้ออื่นเพินนั่นกะคือเที่ยงคืนหรือ6ทุ่มบ้านเฮานี่เอง เพินสิฌาปนกิจศพตอนคืนพะนะ ผมกะพึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยกะว่าได้) ส่วนอีกงานหนึ่งกะคืองานทอดถวายผ้าป่า กะเป็นการจัดโฮมใส่กันเลยครับ คือฌาปนกิจกับเก็บกระดูกแล้วยามเช้า(ผมขอใช้คำพื้นบ้านเฮาเน๊าะครับ) กะสิเป็นการทำบุญตักบาตรทอดถวายผ้าป่านำเลย ผมกะบ่เข้าใจคือกันแต่เพินจัดจั่งซี้อีหลีกะยังงงๆอยู่ว่า งานเศร้ากับงานแบบซี้คือจัดฮวมกัน  ฝ่ายโยมฝั่งหนึ่งกะขมักเขม้นพากันส่างเมรุจำลองที่สิใช้ฌาปนกิจศพหลวงตาคืนนี้  อีกฝ่ายหนึ่งอยู่เทิงศาลาใหญ่กะยุ่งอยู่กับการจัดต้นเงิน ไว้ให้ชาวบ้านมาร่วมเฮ็ดบุญนำ หลวงพ่อ หลวงพี่ เณรน้อยวัดไกล้ๆกันกะเริ่มทะยอยเดินทางมาฮ่วมงานในคืนนี้ทั้งจากบ้านนี่รวมไปฮอดบ้านไกล้ๆที่ได้ยินข่าวกะมา  จนฮู้สึกว่าหนาตาหลายแล้วครับ

          "จั๊วน้อยเจ้าย้านผีบ่"  เสียงเณรน้อยฝั่งลาวถามผม ฮ่วยมาแนวใด๋อีกน้อถามแบบมีเลศนัยอีกแล้ว

          "บ่ครับ"  กัดแข่วเว้าย้านเสียฟอร์มฮ่าๆๆๆ

          "อยู่บ้านขนาดเพินผูกคอตายอยู่ใต้ต้นบักม่วงผมยังบ่ย้านแล่นไปเบิ่งเสยเลย"  นี่ผมคุยเกทับไปอีก

          "ถ้าจั่งซั่นเฮาไปซอยเพินทางพุ้นป๊ะ"  เณรน้อยทางลาวเว้าพ้อมกับซี้มือไปทางศาลาพักศพ  (งึดหลายเด๊ ผมคิดในใจ)

          "อยู่ซอยเพินจัดต้นเงินทางนี้ดีแล้วครับ ผมบ่เคยเห็นว่าเพินเฮ็ดจั่งใด๋แนอยากเห็นแบบซี้ ผีหลอกผมเห็นจนชินแล้ว พะนะ"  5555เกทับไปอีก  รอดโตไปแล้วผมเกือบหาทางออกบ่พ้อ ดีที่พี่เณรทางลาวตามใจผมกะยังหว่าถ่าบ่จั่งซั่นเหมิดเลยฟอร์มผม


                

             ค่ำมืดเข้ามาแฮงต๊ะคึกคักครับเมรุจำลองกะถืกส่างเป็นที่สำเร็จพร้อมสิทำการฌาปนกิจในเวลา6ทุ่มของคืนนี้ ด้านศาลาใหญ่แฮ่งต๊ะคึกคัก เครื่องขยายเสียงเปิดแข่งกัน มีของขายปานงานบ้านเฮาเอาโล้ด และจุดหลักที่สิเฮ็ดให่งานมีสีสันในคืนนี้กะคือ "หมอลำกลอนครับ"  เป็นหมอลำที่หลวงพ่อพระครูจ้างมาจากทางบ้าน อำเภอนาเชือก มหาสารคามนี่เอง ซึ่งกะเดินทางมานำรถคันเดียวกันกับผม ประกอบไปด้วยหมอลำฝ่ายซาย ฝ่ายหญิง แล้วกะหมอแคน ซึ่งราคาจ้างตอนนั้นรวมแล้ว7,000บาทครับ (โทรไปถามหลวงพ่อพระครูมื้อก่อนเพินว่าเจ็ดพันว่าซั่นครับ)  ถือว่าจ้างได้ถืก ซึ่งทางหมอลำกะฮู้จักกับหลวงพ่อพระครู เลยถือเป็นการซอยทำบุญและถือโอกาสไปเที่ยวนำเลย หมอลำเริ่มลำตอนทุ่มกว่าๆครับ งานครึกครื้นหลายเพินพากันแห่มาฟังลำ ผมกับพี่เณรฝั่งลาวกะบ่ต่างกันกับเพินไปยืนฟังลำนำ ยืนได้บ่พอคราวพี่เณรกะดึงไปทางต้นสอยดาว

          "ลองเบิ่งครับผมให่เงินเอง"  พี่เณรลาวบอก บุ๊ยซาบซึ้งเด๊บาดนี่ฮ่าๆๆๆๆ จกสอยดาวสั่นแหล่วบาดนี่ได้เบอร์หยั๋งกะจำบ่ได้โดนแล้วครับ

          "เอาไปให่เพินตรวจเบิ่ง"  พี่เณรลาวบอก ตรวจแล้วสรุปว่าได้เกิบคู่หนึ่งพี่เณรทางลาวดีใจเต้นอยู่ด๊องด่องอยู่ งึดหลายฮ่าๆๆๆผมกะเลยให่เพินไปซ้ำ ออกจากสอยดาวเพินกะลากผมใส่เซียมซี ทางลาวกะมีความเชื่อด้านจิตใจแบบซี้คือกัน งานนี่ผมกะบ่พลาดอีกแล้ว เสี่ยงเซียมซี ให่พี่เณรอ่านให่ฟังเพินหล่ะว่า

         "ดีหลายจั๊วน้อย  "แถมยกโป้ให่ผมอีก จั่งแม่นเพินคั๊กฮ่าๆๆๆ งึดอีกอย่างนึงเพินหล่ะพาผมซื้อไอติมฉันอยู่จนแน่นท้องเอาโล้ด

        "เอ๊าถ้าไอติมบักถั่วดำเด๊ครับ"  ผมแย้ง

        "หย่ำโล้ดบ่มีไผ๋เห็นดอก" ฮ่าๆๆๆๆ

        "ฉันได้เป็นน้ำบ่ผิดศีลดอกว่าซ้าน"    5555


               หมอลำหยุดลำตอนห้าทุ่มหน่อยๆกะเลิกครับ เพราะตอนเที่ยงคืนกะสิได้เวลาฌาปนกิจศพหลวงตา แต่กะยังบ่เงียบทีเดียวยังเปิดเพลงกันอยู่ เฮ็ดให่บรรยากาศบ่เงียบวังเวงปานได๋
                 .....ตุ้ม...ตุ้ม...ตุ้ม...ตุ้ม..ตุ้ม.ตุ้มเสียงรัวกลองดังส่งสัญญานขึ้นแล้วครับคือสิฮอดเวลาแล้ว

          "ป๊ะจั๊วน้อยไปได้แล้ว"  เสียงพี่เณรทางลาวบอกผมแล่นครับงานนี้.... 


  

                 
           ......การเตรียมโตตอนนั้นกะฮู้สึกสิวุ่นวายอยู่ครับ(สำหรับผม)ห่มผ้าแล้วๆต้องแล่นไปหาหลวงพ่อพระครูอีก แล่นไปถือย่ามให่เพิน

        "พากันไปไสมาหล่าคือซ้าแท้หล่ะ คาต๊ะเหล่นหลายแหมะ"   น้านถืกจ่มซ้ำฮ่าๆๆๆ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ทางฝั่งลาว หลวงพี่ พีเณร ต่างกะไปรวมกันอยู่ในศาลาพักศพ ซึ่งศพนี้เพินสิได้ฌาปนกิจเอาขึ้นเมรุที่ถืกส่างขึ้นในช่วงเที่ยง (เว้าง่ายๆกะคือเผาทั้งศพเผาทั้งเมรุเลยพะนะ แป่ว!!!!) ผมกะหัวต๊ะเคยเห็นอีกแล้ว (สมัยก่อนบ้านเฮาเวลาเผาศพสิเผาเทิงกองฟอน (กองไม้) เน๊าะครับ เพราะยังบ่มีเมรุ เวลาไผ๋เซาหายใจ (ตาย)  สิเผาตอนบ่าย ตอนเซ้ากะสิมีคนเข็นรถเข็นน้ำเก็บฟืนนำทุกครัวเรือน ซึ่งชาวบ้านสิฮู้หน้าที่ดีพากันเอาออกมาวางไว้ให่คนละด้น ผู้มีหน้าที่เก็บกะรวบรวมเข็นไปวัด เฮ็ดพิธีโยนไข่ไก่เลือกสถานที่พอได้แล้วกะกองไว้แบบที่เวลาวางแล้วโลงบ่คว่ำปิ้นลงมา (ผมเป็นเณรน้อยกะมักไปยืนเบิ่งประจำแฮ่งงานศพพ่อผมผมไปยืนเบิ่งจนเลาไหม้ไปต่อหน้าต่อตาเลยครับ)

           ....ณ ตอนนี้ชาวบ้าน โยมมากันเต็มศาลา ผู้อยู่นอกศาลากะหลายย้อนงานนี้เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่แนเลยคนหลายครับ พิธีการต่างๆเริ่มดำเนิน อาราธนาศีล ให่ศีล มีสวดอภิธรรม มีสวดมาติกาบังสุกุล ทอดถวายผ้า เอ????พิธีกรรมต่างๆจั่งแม่นบ่ต่างกับทางเฮาหลายเน๊าะคล้ายๆกันครับ เทศน์กะคล้ายแต่กะบ่เถิงกับแม่นเหมิดมีแปร่งๆอยู่จั๊กหน่อย เมื่อเถิงเวลาครับกะเป็นการเชิญไปประจำเมรุครับ แบบบ้านเฮาคือกันครับมีพระเถระเพินจูงนำหน้าวนรอบเมรุคือกันแล้วโยมกะพากันยกไปไว้ข้างบนเมรุจำลอง เพื่อเตรียมพร้อมสิฌาปนกิจ การดำเนินงานผ่านไปด้วยดีครับตอนนี้ไฟกำลังลุกโชติช่วง ชาวบ้านทะยอยกันกลับบ้าน กะมีผู้เฝ้าคอยทำหน้าที่ประจำคอยดูแลให่ศพไหม้ให่เหมิด แล้วช่วงนั่นกะมีลมนำแนครับเลยต้องระวัง หลวงพ่อพระครูเพินกะไปจำวัด(นอน) ผมกับพี่เณรกะไปนอนคือกันหลับเร็วหลายกะยังหว่า

       "จั๊วน้อยตื่นๆๆๆ"  พีเณรทางลาวปลุกผม

        "แจ้งแล้วบ่" ผมถามกลับ "

        "บ่ครับ ตี5แล้ว" เพินตอบ

        "เอ๊าคือตื่นเร็วแท้มันแฮ่งหนาวอยู่" ผมถามกลับไปอีก

        "ผมนอนบ่หลับลุกไปผิงไฟป๊ะจั๊วน้อย"  พี่เณรทางลาวเว้าพ้อมกับดึงแขนผมให่ลุก

        "ไปผิงไสหล่ะครับ"ผมตอบพ้อมกับสีขี้ตา

        "ไปผิงหม่องเผาศพหลวงตานั่นเด๊"  พีเณรลาวบอก

         "หม่องได๋เก๊าะ"    ผมฮ้องถามขนาดอยู่ไกล้ๆ

         "บ่ต้องเว้าหลายมาเลย" เพินเว้าแล้วกะดึงแขนให่ผมลุกนำในทันทีเลย (มาซังคนเด๊ คิดในใจ) เณรน้อยผีบ้า ฮ่าๆๆๆ


                 ....ผมจำเป็นต้องได้ลุกนำเพินไปอย่างหลีกเลี่ยงบ่ได้ เมื่อไปฮอดกะมีหลวงพี่อยู่หั่นสององค์กับโยม4-5คน (ไคแน ผมคิดในใจ) ซึ่งตอนนี้บ่เหลือสภาพเมรุให่เห็นแล้ว มีแต่กองไฟกองน้อยๆที่ชาวบ้านกำลังเขี่ยต้อมให่ไหม้ให่เหมิด เหลียวเข้าไปเห็นแต่กระดูกเป็นชิ้นเป็นอัน "นี่หล่ะน้อครับชีวิตคนเฮาบ่มีอีหยั๋งหลาย เกิด แก่ เจ็บ ตาย หลีกเลี่ยงบ่พ้นจั๊กคน"มีแค่นี้อีหลี๋ครับ ผมถามหลวงพี่เพินบอกว่าสิเก็บดูกเกือบๆ7โมงเซ้า แล้วตักบาตร ทอดถวายผ้าป่าต่อเลย จากกองไฟเฮ็ดให่ความหนาวบ่บังเกิดขึ่นกับโตของผม งึดหลายผิงหม่องใด๋บ่ผิงมาผิงอยู่หม่องจั่งซี้

          "เป็นใด๋หล่าหนาวบ่"  เสียงหลวงพ่อพระครูเพินถามพ้อมกับย่างเข้ามาหามีหลวงพ่อทางลาวมาพ้อม

         "ไคแนอยู่ครับหลวงพ่อ ย้อนมีไฟผิง"  ผมตอบฮ่าๆๆ




                    สวย (สาย) มาจั๊กน้อยทางหลวงพี่เพินตีกลองเอิ้นชาวบ้านออกมาวัดเพื่อสิเฮ็ดพิธีเก็บกระดูก(ผมขอใช้คำพื้นบ้านเน๊าะครับแล้วกะขออภัยท่านผู้ฮู้นำ) ชาวบ้านกะออกมาครับแล้วกะมีกะต่าข้าวแนวกินมาพ้อม สิตักบาตรตอนเช้านำ ซึ่งใซ้วิธีลัดคือไฟบ่มอดดีใช้น้ำดับเอาเลยว่าซ้าน การเก็บกระดูกผ่านไปซึ่งโยมชาวบ้านกะไปรวมกันอยู่เทิงศาลาใหญ่สิได้เฮ็ดพิธีทำบุญตักบาตรต่อไป เห็นแล้วปลื้มแทนครับศรัทธาทางเพินหลายคั๊ก เต็มศาลาเอาโล้ด มีการตักบาตรเงิน ข้าวสารอาหารแห้ง สุดท้ายกะค่อยเป็นข้าวครับ และการทอดผ้าป่าในตอนนั้นกะได้เงินไป สี่หมื่นกว่าบาท ในตอนนั้นกะถือว่าได้หลายอยู่ครับ(คิดเป็นเงินบ้านเพินกะบ่หน่อยเลยทีเดียว) การเฮ็ดบุญสองงานจบลงด้วยดีด้วยความร่วมมือร่วมใจ ด้วยความชื่นมื่น หลวงพ่อพระครูพาผมฉันเพลแล้วกะสิเดินทางกลับครับ ต่างกะพากันขนของลงเรือสองลำคือเก่า กล้วยเป็นเครือ บักพร้าวเป็นทะลาย ถืกขนลงเรือเป็นของฝากจากทางลาว หลวงพ่อพระครูบ่ให่เอาหลายรถสิขนไปบ่เหมิดพะนะ โยมทางไทยที่ไปนำได้เสี่ยวกะหลายคน เรือออกจากท่าหน้าวัดเวลาเที่ยงซึ่งพี่น้องทางลาวกะมาส่งอยู่ท่าแน่นขนัดเลยทีเดียว การเดินทางกะเริ่มขึ้นครับ เรือเริ่มออกจากท่าห่างออกเรื่อยๆๆๆๆจนเหลียวบ่เห็นผู้ทีมายืนส่ง

         "จั๊วน้อยเจ้าอย่าลืมคิดฮอดข่อยเด้อ" เสียงพี่เณรทางลาวดังขึ้นเพินมาส่งผม

         "ครับ ผมบ่ลืมดอกเดี๋ยวสิมายามอีก" ผมเว้าแต่ความเป็นจริงจั๊กสิมีโอกาสได้มาอีกบ่บุ๊ (ซึ่งกะเป็นจริงผมบ่มีโอกาสได้กลับไปอีกเพราะผมได้สิกขาลาเพศ ทางพุ้นหลวงพ่อพระครูเพินถามข่าวไปกะได้ควมว่าเพินกะสึกไปแล้วตอนนี้จั๊กไปเฮ็ดงานไส กะเหลือไว้เป็นความทรงจำดีๆครับ)   มาฮอดธาตุพนมตอนบ่ายกว่าๆโยมต่างกะพากันขนของขึ้นมาจากเรือ และกะไปเอารถหม่องที่ฝากไว้พ้อมกับขนของขึ้นเทิงรถเป็นที่เรียบร้อยพ้อมที่สิออกเดินทางกลับพุทไธสงแล้ว หลวงพ่อฝั่งลาวเพินกะลากันกับหลวงพ่อพระครู พี่น้องทางลาวกะลาพี่น้องทางไทย สำหรับโตผมเองตอนนั้นเป็นความฮู้สึกประทับใจหลายพี่เณรทางลาวเพินเข้ามากอดผม

        "จั๊วน้อยอย่าลืมกลับมายามแนเด้อ"  เป็นความฮู้สึกที่ฝังเข้ามาในสมองผมจนซูมื้อนี่ยังจำบ่ลืมครับ เถิงสิพ้อกันบ่พอคราวแต่ความฮู้สึกมันผูกพันธ์เหลือหลายเหลือเกิน




                    หลวงพ่อพระครูเพินพาไหว้พระธาตุพนมก่อนกลับอีกเทือครับ แล้วกะยังพาแวะเที่ยวตลาดอินโดจีน มุกดาหารนำอีกเป็นอันว่าการเดินทางผมกะจบลง เที่ยวเมืองลาวในรูปแบบผมบ่แม่นเที่ยวเบิ่งสิ่งนั่นสิ่งนี่ทั่วไป แต่เป็นการเที่ยวแบบวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ได้เห็นในสิ่งแบบพื้นบ้าน การใช้ชีวิต น้ำจิตน้ำใจคนทางพุ้น          


  
ท้ายสุดเน๊าะครับ สังคมเฮาซูมื้อนี่พัฒนาไปไกล ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ไผ๋นำบ่ทันกะหาว่าล้าหลัง บ่พัฒนา ในความฮู้สึกผมมันกะแม่นอยู่ครับสังคมซูมื้อมันเป็นสังคมแห่งการแข่งขันกัน แต่ผมอยากให่พากันหวนมาคิดแนว่าเทคโนโลยีมันพัฒนาแล้วอยากเห็นใจเฮาพัฒนานำ อยากเห็นความฮัก สามัคคี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่พัฒนาขึ้นมานำ (ลางคนอยู่กรุงเทพฯบ้านอยู่ติดกันเป็นปีแล้ว กะยังบ่ฮู้จั๊กกันกะมีอยู่ นี่คือเรื่องจริงที่ผมเคยเห็นเน๊าะครับ)โลกแฮ่งเจริญท่อใด๋ น้ำใจแฮ่งต๊ะหายไปเรื่อยๆ   ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะอ่านกระทู้นี่เน๊าะครับ เป็นความฮู้สึกจากคนๆหนึ่งที่อยากเห็นสังคมเฮากลับมาแบบเก่า(ในเรื่องจิตใจ)ครับ