จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 8


ตอน กุศลกรรม 2

" ธรรมทั้งหลายที่บุคคลได้กระทำไว้ ด้วยกาย วาจา และใจย่อมจะมีผลเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัตินั้นเอง โดยไม่จำกัดด้วยกาลเวลา กรรมที่ได้กระทำแล้วย่อมส่งผลต่อบุคคลนั้นทันที เช่น คิดดี พูดดี ทำดี ก็ให้ผลเป็นความสุขแก่ผู้นั้นทันที แต่หากคิดร้าย พูดร้าย ทำร้าย ก็ให้ผลเป็นความทุกข์แก่ผู้นั้นทันทีเช่นกัน โดยกฏแห่งจิตตนิยาม ว่าด้วยธรรมชาติของจิต เมื่อจิตประกอบไปด้วยเจตสิก มีการปรุงแต่งคิดนึกด้วยอกุศลเจตนา ก็ย่อมจะให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ทำจิตของบุคคลนั้นให้เศร้าหมองทันที "

..ค่ำคืนแห่งรัตติกาลสว่างไสวไปด้วยมวลหมู่ดาว พร่างพราวระยิบระยับอวดกันเปล่งประกายแสงแข่งกันกับดวงจันทร์ดวงโตที่ตอนนี้กำลังทอแสงสีเหลืองนวลสุกใสเหมือนถูกอาบไปด้วยทองเหลืองแผ่นใหญ่ มองผ่านเข้าไปข้างในเห็นเจ้ากระต่ายสีขาวตัวน้อยชะเง้อคอจ้องมองขึ้นไปยังข้างบนชื่นชมในแสงนวลของจันทร์เจ้า เปรียบประดุจในความรักของชาวนาหนุ่มผู้ลุ่มหลงเฝ้าฝันจะหมายปองเทพธิดาดอกฟ้าแห่งกรุงไกล แต่ไฉนใยกลับต้องร้อนลุ่มเหมือนถูกไฟสุมทรวงเมื่อสิ่งที่หมายปองนั้นสุดที่จะเอื้อมไขว่คว้าถึง สายลมที่แผ่วเบาช่วยพัดพาใบไม้ให้ไหวพริ้วไปตามแรงมองดูผ่านแสงนวลของจันทร์เหมือนกับว่ากำลังเบิกบานฤทัยขยับกายโยกย้ายส่ายลีลาไปตามจังหวะเสียงเพลงที่บรรดาหริ่งเรไรร่ำร้องประชันกันขึ้นอยู่เป็นระยะๆ กลิ่นของดอกไม้ยามค่ำคืนหอมตลบอบอวลแผ่ขจรไปทั่วบริเวณ เหมือนกับว่ายั่วยุสรรพสิ่งที่อยู่รอบข้างให้ลุ่มหลงในมนต์เสน่ห์เฉกเช่นชายหนุ่มร่างกำยำละเมอเพ้อหากลิ่นอายอันหอมกรุ่นของเนื้อนางก็มิปาน....


/////////////////////////////////////////////////////////////


..แสงสว่างจากหลอดไฟนีออนส่องประกายออกมานอกหน้าต่างมองเห็นเงาสะท้อนของผู้ที่อยู่ภายในห้อง เสียงคุยกันจ้อกแจ้กจอแจพร้อมกับเสียงหัวเราะดังเล็ดลอดออกมาตามสายลมที่พัดโชยมาแผ่วเบา

" โป้งง ... โป้งง.." เสียงของคนจุดประทัดดังแว่วมาจากภายในหมู่บ้านทำให้สามเณรตัวน้อยทั้งสามหันหน้าสบสายตากันพร้อมกับยิ้มออกมา พลางนึกย้อนไปถึงเมื่อปีที่แล้วที่พวกเขาวิ่งอ้อนขอเงินแม่ไปซื้อประทัดมาจุดเล่นในก่อนวันออกพรรษา บางทีก็นึกซนไปมากกว่านั้น เมื่อได้ประทัดมาแล้วก็ชอบที่จะเอามาเล่นทำเป็นระเบิดเวลา คือใช้หนังยางมัดประทัดเข้ากับธูปโดยที่แนบไส้ประทัดที่ข้างในมีชนวนของดินปืน(วัตถุไฟไว) เข้ากับลำธูป หลังจากนั้นกะจุดธูปนำไปปักไว้ที่ใต้ถุนบ้านหรือที่ไหนก็ตามแต่ นั่งรอเวลาที่ไฟไหม้ธูปลงไปถึงไส้ประทัดอย่างใจเย็น เมื่อถึงเวลาที่ไฟไหม้ธูปลงมาถึงไส้ของประทัดมันก็จะ ...." โป้งง ".... สมใจนึกทันทีเมื่อคนที่เราคิดจะแกล้งตกใจจนร้องเสียงหลงพร้อมกับสะดุ้ง จนต้องเผลอตะโกนด่าอวยพรหาไอ้คนที่คิดพิเรนทร์ทำให้หัวใจแทบวายปราณออกมาเสียงดังลั่น (ทุกวันนี้ประทัดดูจะพัฒนาการอัดแน่นยิ่งขึ้น เช่นประทัดสามเหลี่ยมที่มีอานุภาพการระเบิดรุนแรงเอาการ ช่วงออกพรรษาหรือลอยกระทง เรามักจะได้ยินข่าวอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือหน้าจอทีวีอยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับผู้ที่ถูกประทัดแตก-ระเบิดใส่มือ อันนี้ต้องควรระวังนะครับ)


สามเณรตัวน้อยหันกลับมาให้ความสนใจกับกิจกรรมที่พวกเขาทำร่วมกันขึ้นอีกครั้ง

" เณรจักรโตต่อแผ่นให่มันงามๆแนเด้อ เอาสลับสีกันมันค่อยสิเป็นตาเบิ่ง เณรขวัญโตตาบฮอยขาดแผ่นนั้นให่เฮานำแน เอาสีเดียวกันนั่นหล่ะ " เสียงสามเณรไผ่ศธรบอกเพื่อนรักทั้งสอง

" เฮาหน่าสิเฮ็ดหน่วยละสองโหลเนาะ มันสิได้สูงๆเวลาปล่อยขึ่นไปมันจั่งค่อยสิมีโอกาสลอดห่วงได้ง่าย " สามเณรขวัญชัยออกความเห็นพร้อมกับเอื้อมมือไปคว้ากระดาษแผ่นที่มีรูขาดอยู่ตรงกลางเพื่อนำมาปะให้ดูดีดังเดิม

" มันบ่แม่นจั่งซั่นเด้เพิน กติกาเพินให่เฮ็ดหน่วยละโหลส่ำกันเหมิด บ่เป็นหยั๋งดอกเฮาเฮ็ดพอได้มีส่วนร่วมนำเพินซือๆดอกหลวงพ่อพระครูเพินบอกว่าจั่งซั่นเด๋ เข่าห่วงหรือบ่กะซางมันเถาะ แต่เฮาคิดเห็นภาพกะเป็นตาได้ลุ้นอยู่เด๊ะหล่ะ ฮ่าๆๆ " สามเณรไผ่ศธรหัวเราะร่าออกมา


กิจกรรมที่เขาทั้งสามร่วมกันทำอยู่ในขณะนี้ก็คือ การทำโคมลอย (โคมไฟ) ที่จะใช้ปล่อยหลังวันออกพรรษาในช่วงเวลาเย็น ซึ่งทางหลวงพ่อพระครูฯท่านได้ร่วมประชุมกับทางกำนัน และชาวบ้านร่วมกันจัดการแข่งขันขึ้น ซึ่งทางวัดอุดมคีรีเขตจัดขึ้นเป็นประจำทุกๆปีในช่วงออกพรรษา เพื่อเป็นการจัดกิจกรรมให้ความสนุกสนานกับชาวบ้านหลังจากที่พวกเขาหมดภาระจากการทำไร่ทำนาในช่วงนี้ การแข่งขันนั้นจะจัดขึ้นในวันแรม๑ค่ำช่วงเย็น โดยในช่วงเช้าจะเป็นการทำบุญตักบาตรเทโว รับศีล ฟังเทศน์และถวายกัณฑ์เทศน์ สำหรับกติกานั้นก็คือใครก็ตามที่สามารถบังคับโคมไฟให้เข้าในห่วงที่อยู่ข้างบนได้ก็จะเป็นผู้ชนะไป ในกรณีที่มีผู้เข้าหลายคนก็ต้องมาตัดสินอีกทีว่าโคมไฟของใครเข้าได้สวยกว่าโดยที่ไม่ชนห่วงเลย ให้เป็นอันดับที่หนึ่งและลดหลั่นลงมาตามลำดับ ส่วนของรางวัลนั้นทางหลวงพ่อพระครูฯและทางกำนันเป็นผู้กำหนดขึ้นเอง โดยจะมีตั้งแต่อันดับที่ 1-5 ต้องถือว่าเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานเป็นอย่างมาก เพราะเนืองแน่นไปด้วยชาวบ้านที่มาพร้อมเสียงเชียร์คอยลุ้นกันจนตัวโก่ง ซึ่งในแต่ละปีก็จะมีโคมไฟทั้งจากของชาวบ้านและทางวัดส่งเข้าร่วมกิจกรรมเกือบ 30 ลูกได้ สำหรับปีนี้ทางวัดน่าจะมีการส่งเข้าร่วมอยู่ที่ 6 ลูก โดยใน6ลูกนี้ก็เป็นของสามเณรตัวน้อยทั้งสามที่กำลังนั่งขะมักเขม้นทำช่วยกันอยู่ตอนนี้2ลูก

" ฟ้าวเฮ็ดฟ้าวแล้วเพินสิได้นอน เมื่อยอยู่เหมิดมื้อเลย มื้อเว็นนี้กะนั่งเฮ็ดหมากอีโฮง กว่าสิแล้ว" สามเณรไผ่ศธรกระตุ้นเพื่อนรักให้เร่งมือแปะกาวต่อแผ่นกระดาษให้เร็วขึ้น ความปวดเมื่อยจากช่วงกลางวันก็มีมากอยู่แล้วหลังจากที่ต้องนั่งทำเครื่องบินลำใหญ่เป็นเวลานานๆ
( หมากอีโฮง เป็นภาษาอีสานที่ใช้เรียกทางถิ่นของผู้เขียนเอง และไม่แน่ใจว่าพื้นที่อื่นๆจะเรียกเหมือนกันหรือเปล่านะครับ ในช่วงออกพรรษาพระภิกษุหรือสามเณรก็จะทำสิ่งประดิษฐ์ที่ว่านี้คนละอย่างไว้ไปห้อยประดับที่ศาลาการเปรียญหลังใหญ่ แล้วแต่ใครจะออกแบบให้เป็นรูปอะไรหรือลักษณะอย่างไรก็ได้ ทำจากไม้ไผ่ประมาณนั้นครับ ส่วนมากที่เห็นทำกันอยู่มากก็จะเป็นรูปเครื่องบิน รูปดาว แปะปิดข้างนอกด้วยกระดาษแก้วหลากสีสันสวยงาม ทำเป็นช่องเปิดได้ไว้ใส่หลอดไฟข้างใน เวลากลางคืนจะดูสวยงามมาก)






สายลมอันแผ่วเบาช่วยพัดพาความเย็นเข้ามายังทางหน้าต่าง สัมผัสกับร่างที่ไร้ซึ่งสิ่งกันหนาวปกคลุม คงมีก็เพียงแต่เสื้ออังสะตัวน้อยสวมใส่อยู่ทำให้ร่างของสามเณรไผ่ศธรถึงกับสั่น เพิกสายตาออกจากงานที่วางอยู่ตรงหน้า แววตาสีหน้ายิ้มละมุนเมื่อเห็นแสงจันทร์ยามค่ำคืนเหลืองนวลน่าชมชิดพิศมัยยิ่งนัก จนต้องผละลุกขึ้นเดินไปยังขอบหน้าต่าง มองเห็นภายนอกได้กระจ่างตาท่ามกลางแสงจันทร์ แม้จะยังเหลืออีก 2วันจะถึงวันออกพรรษาแต่พระจันทร์ก็ทอแสงเหลืองนวลอร่ามตาจนอดที่จะมองหาเจ้าของแสงมิได้ พลันสายตาสามเณรตัวน้อยก็ไปสะดุดเข้ากับวัตถุสิ่งหนึ่งที่อยู่บนท้องฟ้าจนต้องเผลอยิ้มออกมา


" ตั๊บบ... ตั๊บ.. ตั๊บ... ตั๊บ.. เร็ว.. เร็วแนเว๊ยย.. มันสิลงแล้ว " หูจับสัญญาณฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งได้สายตาเหลือบมองเห็นเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งอยู่ถนนนอกวัด พลันรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาเมื่อได้ยินเด็กกลุ่มนั้นร้องตะโกนบอกเพื่อนให้เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น

" เหอะ.. เหอะ.. พอปานกันกับเฮาแต่ก่อนเนาะ แล่นนำโคมจนว่าตกคันแทกลิ้งอยู่ในป่าเข่าจนว่าเปียกม้อดยอด " สามเณรตัวน้อยหวนนึกถึงภาพตัวเองเมื่อครั้งก่อนถึงกับต้องยิ้มประกายออกมา ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามากระทบร่างจนมองให้เห็นรูปใบหน้าตอนนี้เปล่งประกายไปด้วยรัศมีแห่งเปลวทอง...


....สายลมยามไกล้รุ่งสาง หอบพัดพาความหนาวเย็นจากภูเขาลูกใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลเข้ามากระทบกับต้นสนกลุ่มใหญ่จนเกิดเป็นเสียงดัง

..วิ๊ววว)).... วี๊ดดด)).... วิ๊วววว))....วี๊ดดด))... อยู่เป็นระยะคล้ายกับเสียงของภูตผีปีศาจที่กรีดร้องอย่างโหยหวนเรียกโหยหาขอส่วนบุญส่วนกุศล ทำให้คนที่ได้สำผัสกับเสียงนี้ถึงกับต้องขนลุกผวาอยู่นัยๆ ..ดาวคู่หนึ่งทอประกายแสงยามไกล้รุ่งอรุณอยู่ในจุดตำแหน่งที่ไกล้กันเสมือนชายหนุ่มที่กำลังออดอ้อนเว้าวอนคนรักอยู่มิห่างกาย

" ..เอ๊ก.. อี๊.. เอ๊ก... เอ๊กกก))...เอ๊ก... อี๊ เอ๊ก.. เอ๊กกก)).. " เสียงไก่ขันขานรับกันขึ้นอยู่เป็นจุดๆในบริเวณหมู่บ้านเหมือนจะเปล่งเสียงร้องประกวดประชัน เพื่อชิงตำแหน่งหาผู้ที่ชนะบนเวทีระดับใหญ่ในรายการชุมทางเสียงทองทางช่อง7สี เสียงกระดิ่งดังก้องกังวานเป็นระยะๆจากคอของเจ้าทุยเมื่อมันส่ายหน้าขยับต้นคอ คงพาลนึกรำคาญเสียงของเหล่านักร้องลูกทุ่งในรายการชื่อดัง ที่ประกวดประชันกันแบบไม่รู้เวล่ำเวลา เป็นการรบกวนเวลานอนอันสุนทรีย์ของมันจนถึงกับจะอดรนทนไม่ไหว ต้องพ่นเสียงเบื่อหน่ายน่ารำคาญออกมาทางจมูกจนเกิดเสียงดังอยู่ " .ฟืด...ฟืด.. "




เครื่องขยายเสียงดังแว่วมาจากวัดอุดมคีรีเขตแต่เช้า วันนี้เป็นวันที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวันหนึ่งที่เหล่าพุทธศาสนิกชนผู้ที่ใฝ่กุศลผลบุญต้องควรปฏิบัติกันอยู่เป็นทุกๆปี นั่นก็คือการทำบุญตักบาตรเทโว โดยการตักบาตรเทโวนั้นเหล่าพุทธศาสนิกชนมีหลักความเชื่อก็คือเป็นวันที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงมายังเทวโลก หลังจากที่เสด็จไปประทับจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดาที่ได้กำเนิดเป็นเทพบุตรอยู่ในชั้นดุสิต จนพระพุทธมารดาได้บรรลุโสดาปัตติผล ครั้นออกพรรษาในวันขึ้น15 ค่ำเดือน11แล้ว จึงเสด็จลงจากเทวโลกที่เมืองสังกัสสนคร พอรุ่งขึ้นในวันแรม 1ค่ำเดือน11 ชาวเมืองจึงพากันทำบุญตักบาตรเป็นการใหญ่ เพราะไม่ได้เห็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานานถึงสามเดือน การทำบุญตักบาตรในวันนั้นจึงได้ชื่อว่า ตักบาตรเทโวโรหณะ ต่อมามีการเรียกกร่อนไปจึงเหลือเพียงตักบาตรเทโว

บนศาลาการเปรียญหลังใหญ่ในขณะนี้แม้จะเป็นเวลาเช้ามืดอยู่ แต่ก็เต็มไปด้วยเหล่าพุทธบริษัท (อุบาสก-อุบาสิกา) ที่พร้อมใจกันมาปฏิบัติธรรมโดยอาศัยศาลาการเปรียญหลังใหญ่แห่งนี้เป็นที่หลับนอน สายออกมาหน่อยทางชาวบ้านหนองนางามต่างก็ทะยอยกันออกมาที่วัด ในวันนี้ป้าไหมและสายใยสวมซิ่นไหมผืนงามจนสามเณรไผ่ศธรต้องแอบยืนยิ้มอยู่คนเดียว ศาลาการเปรียญหลังใหญ่ดูจะคับแคบลงไปถนัดตาเพราะศรัทธาจากชาวบ้านหนองนางามนั้นมีมากมาย

หลังจากที่หลวงพ่อพระครูฯพร้อมด้วยพระภิกษุ สามเณรร่วมกันทำวัตรเช้าในพระอุโบสถเสร็จแล้วต่างก็มาพร้อมกันที่ศาลา หลังจากนั้นก็เป็นการทำบุญตักบาตรเทโวที่ลานวัดด้านล่าง ส่วนอาหารที่ชาวบ้านนำมาทำบุญตักบาตรก็คือข้าว ข้าวต้มมัดนั่นเอง เสร็จแล้วก็เป็นการแสดงธรรมเทศนาจากหลวงพ่อพระครูที่บนศาลาหลังใหญ่ และวันนี้สามเณรตัวน้อยก็สังเกตุเห็นบรรดาเพื่อนๆของเขาในตอนที่เคยเรียนอยู่ชั้นประถมด้วยหลายคน " ขวัญชนก " วันนี้เธอมาในชุดที่สวยงามและสายตาของเธอยังจ้องมองมายังเขาด้วย จึงต้องนั่งก้มหน้าหลบสายตาของเธอในทันทีทันใด กิจกรรมทางพระพุทธศาสนามีอยู่ตลอดทั้งวันจนเวลาล่วงเลยเข้ามาในช่วงบ่ายคล้อย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านตั้งหน้าตั้งตารอคอยดูการแข่งขันการปล่อยโคมลอดห่วง ซึ่งปีนี้ดูจะคึกคักเช่นทุกปีที่ผ่านมา มีผู้ที่ลงชื่อแข่งขันเกือบ30 คน โดยทางคณะกรรมการผู้จัดการแข่งขันต้องจัดลำดับคิวให้เป็นรายบุคคลไป สำหรับสามเณรตัวน้อยทั้งสามรูปได้อยู่ในลำดับที่ 5และ18 และทางสามเณรไผ่ศธรยังได้ลุ้นช่วยทิดนัน(พี่เขย)อีกทางด้วย เนื่องจากทิดนันเองก็ได้ลงชื่อเข้าร่วมในครั้งนี้

บรรยากาศในการแข่งขันตอนนี้ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนยืนเนืองแน่นทั่วบริเวณลานวัดด้านหน้าศาลาหลังใหญ่ ห่วงถูกเตรียมความพร้อมไว้ตั้งแต่ในช่วงเที่ยง มองเห็นสูงขึ้นไปหลายเมตรทีเดียว งานนี้คงได้วัดฝีมือความสามารถกันหน่อยว่าใครจะบังคับเจ้าโคมลอยของตนให้ขึ้นไปแบบตรงดิ่งโดยให้เข้าในห่วงกลมมนที่ทำด้วยลวดเส้นใหญ่อยู่ข้างบน แต่วันนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักเนื่องจากกระแสลมแรงพอสมควร

" ต่อไปกะขอเชิญทางผู้เข่าแข่งขันเตรียมความพ้อมเด้อครับ ฮอดเวลากันแล้ว ทางหลวงพ่อพระครูใหญ่เพินกะมานั่งเป็นประธานเบิ่งการแข่งขันนำ ทางกำนันชมเพินกะออกมาแล้วเนาะ ลำดับแรกกะเป็นทิดวีเด้อครับ พ้อมยังน้อ " เสียงตาปั่นมคทายกประจำวัดเป็นผู้ประกาศใส่ไมโครโฟนบอกกล่าวกับผู้แข่งขัน

" เณรขวัญโตพันให่มันแหน่นๆเด้อ ไฟมันค่อยสิบ่ได้ลุกออกก้วงแฮง " เสียงสามเณรไผ่ศธรบอกสามเณรขวัญชัยเพื่อนรักที่กำลังนั่งพันไส้ของโคมลอยเข้ากับเส้นลวดที่ถูกขึงพาดผ่านกลางปากห่วงของโคมลอย โดยที่ตัวเขาและสามเณรวีระจักรช่วยกันจับลูกโคมยกสูงขึ้นไม่ให้พับลงมาติดกับน้ำมัน ไส้ที่ใช้นั้นทำด้วยผ้าเก่าที่ขาด (ผ้าเหลืองที่ไม่ได้ใช้แล้ว) ฉีกเป็นริ้วแล้วแช่ไว้กับน้ำมันก๊าด ....เสียงเฮจากผู้คนดังขึ้นหลังจากที่โคมลอยลูกแรกถูกปล่อยขึ้นไปแต่ต้องพลาดเป้าห่างไปเยอะเลย เมื่อโดนกระแสลมพัดเขวออกจากวิถีเป้าหมาย ไล่ลำดับมาเรื่อยๆก็ยังไม่มีผู้ที่บังคับโคมลอยของตนเข้าห่วงได้ และก็มาถึงคิวของสามเณรตัวน้อยทั้งสาม งานนี้ลูกแรกมอบให้สามเณรวีระจักรเป็นผู้บังคับตอนปล่อยออก ไส้โคมถูกจุดขึ้นโดยที่เพื่อนรักทั้งสองช่วยพยุงลูกโคมให้ตรง เปลวไฟและควันที่ปากปล่องโคมลอยเป็นแรงขับดันช่วยทำให้ลูกโคมตั้งตัวตรงและพร้อมจะลอยขึ้นได้ทุกเมื่อ

" เล็งดีๆเพิน ถ่าจังหวะลมค่อยก่อนี้จักหน่อยก่อน " สามเณรไผ่ศธรบอกเพื่อนรักพร้อมกับยืนพยุงลูกโคมอยู่ข้าง

ป้าไหม สายใย ทิดนัน ลุงเลิศ ป้าอ้อย ทิดจวน ต่างก็ลุ้นเอาใจช่วยพวกเขา







" ตึงมือคักแล้ว เฮาปล่อยเด้อเพิน " สามเณรวีระจักรขอความเห็นจากเพื่อนพร้อมกับชำเลืองมองไปที่ห่วงข้างบนก่อนที่จะปล่อยมืออกจากปากโคมลอย มันพุ่งขึ้นตรงด้วยความเร็วเหมือนวิถีจะเข้าเป้าแต่ก็พลาดจนได้เมื่อขึ้นสูงไปข้างบนต้องเจอเข้ากับกระแสลมจนทำให้โคมลอยของพวกเขาเปลี่ยนทิศทางไป การแข่งขันดำเนินมาจนเวลาพลบค่ำ สามเพื่อนรักได้ลุ้นอีกครั้งในลำดับที่17 ครั้งนี้สามเณรไผ่ศธรขอเป็นผู้บังคับเอง แต่เขาก็ทำได้เพียงหวาดเสียวเท่านั้นเมื่อโคมลอยชนเข้าที่ขอบห่วงจนเกือบจะมุดเข้าอยู่รอมร่อแต่กระแสลมก็พัดเขวออกนอกห่วงอีกจนได้ ผลการแข่งขันจบลง ปีนี้มีผู้ที่บังคับโคมลอยเข้าในห่วงได้ถึง4ลูก โดยในสี่ลูกนั้นเป็นของหลวงพี่ทางวัดลูกหนึ่ง ของทิดนันพี่เขยสามเณรไผ่ศธรลูกหนึ่ง แม้กิจกรรมจะจบลงไปแล้วแต่มันก็สร้างรอยยิ้มความสุขและความประทับใจให้กับสามเณรตัวน้อยทั้งสามอยู่ลึกๆภายใน ถึงแม้พวกเขาจะพลาดหวังแต่เขาก็อิ่มใจที่ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมในครั้งนี้..

นิยาย กรรมลิขิต 7


ตอน สายเลือดนักสู้แห่งทุ่งกุลา 2



"มนุษย์มีกรรมเหมือนสัตว์อื่นๆ แต่มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียว ที่เปลี่ยนแปลงกรรมได้ "


...เพราะมนุษย์มีความคิด ความรู้สึก เลือกที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะดี หรือจะชั่ว ไม่ว่ากรรมเก่าเราจะทำให้ชีวิตชาตินี้เราจะตกทุกข์ได้ยากเพียงใด เราก็สามารถอดทน ขยัน และเปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ดีได้เช่นกัน....

...ตายจากชาติที่แล้ว เกิดมาใหม่ในชาตินี้ ก็เปรียบเหมือน การนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาวันใหม่ เมื่อวาน ขี้เกียจ ไม่ไปเดินเร่ขายของ จึงไม่มีรายได้ แต่วันนี้ตื่นมาพร้อมความไม่มีเงินเหมือนเดิม แต่ตั้งมั่นว่าจะขายของ และก็ออกเดินเร่ขายของ จึงทำให้วันนี้มีเงิน นี่คือการเปลี่ยนแปลงกรรม หรือเรียกว่า ลิขิตชีวิตตัวเองจากมานะของตนเอง โดยปราศจากการอ้อนวอนแล้วนั่งนอนรอผู้บันดาลครับ.....

...ดังนั้นมนุษย์ไม่เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน ที่มีวิถีชิวิตเป็นรูปแบบ ไม่สามารถทำอะไรได้ เกิดมาชาติหนึ่ง รู้จักแต่เพียง กิน ถ่าย ผสมพันธุ์ นอน เท่านั้นเอง
แต่ก็มีมนุษย์หลายคน ทำตัวเหมือนสัตว์เดรัจฉาน และบ่นถึงชีวิตตัวเองว่าเกิดมาอาภัพ ทุกสิ่งไม่เพรียบพร้อมได้แต่ อ้อนวอนผู้บันดาล แล้วนั่งงอมืองอเท้ารอไปวันๆ ...

(ดังนั้น จึงมี ผู้รู้ เปรียบเทียบการมาการไปของคน ไว้ 4 แบบ)

1. มาสว่าง ไปสว่าง - อดีตทำดี ปัจจุบันก็ยังทำดี
2. มาสว่าง ไปมืด - อดีตทำดี แต่ปัจจุบันทำชั่ว
3. มามืด ไปสว่าง - อดีตทำชั่ว แต่ปัจจุบันกลับใจทำดี
4. มามืด ไปมืด - อดีตทำชั่ว ปัจจุบันก็ยังชั่วเหมือนเดิม

เราเกิดแบบเช่นไร เกิดมาแบบอาภัพ(มืด) หรือเกิดแบบเพรียบพร้อม(สว่าง) เราย่อมรู้ตัวเอง ส่วนปัจจุบัน เลือกดูก็แล้วกัน ว่าจะ ไปแบบอาภัพ(มืด) หรือไปแบบเพรียบพร้อม(สว่าง)

เลือกแบบไหน ก็ทำแบบนั้น เมื่อรู้ว่ากำหนดชะตาตัวเองได้ ก็เริ่มกำหนดเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าไม่ทำ แล้วเกิดชาติใหม่แบบอาภัพคงไม่มีใครช่วยได้

(บทความจากมูลนิธิออนไลน์วุทธานันท์)






..สายหมอกยามเช้าตรู่ดูขมุกขมัวอยู่ทั่วทุกหนแห่ง พร่างพรมกิ่งใบของต้นไม้ที่ตั้งตัวตรงอยู่สองฟากฝั่งคันนา หรือแม้แต่ต้นข้าวในท้องทุ่งนาเองก็มองดูพราวพร่างไปด้วยสีขาวหม่นปกคลุมทั่วเรียวใบ ตอนนี้ต้นข้าวกำลังแข่งกันตั้งท้องขึ้นมาเองแบบพิศวง โดยหาผู้ที่รับผิดชอบแสดงตัวเป็นผู้ที่กระทำต่อเธอเหล่านี้ไม่ได้เลย แต่ดูเหมือนว่าพวกเธอจะไม่แยแสกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมา และพวกเธอเองก็ยังเฝ้ารอให้สูตินารีเวชผ่านเข้ามาตรวจดูแลให้อยู่เป็นระยะๆ ต้นหญ้าน้อยใหญ่ถูกสายหมอกปกคลุมจนใบแอ่นเอนด้วยน้ำหนักของน้ำ แต่ก็ยังสร้างรอยยิ้มให้กับพวกมันเป็นอย่างดีเพราะสิ่งที่มันได้รับก็คือความสดใสและสดชื่นเสมือนว่าได้รับน้ำทิพย์จากแดนสวรรค์ชะโลมให้ชีวิตและจิตใจของพวกมันเกิดความอิ่มเอม และพวกมันก็ยินดีรับ พร้อมกับเก็บซึมซับน้ำทิพย์เหล่านี้ลงไว้สู่อณูเบื้องล่างผิวพื้นดิน เหล่ากุ้งฝอยตัวเล็กกลุ่มใหญ่ขึ้นลอยตัวชูปากอยู่ในสระน้ำหยอกล้อเล่นกับสายหมอกในยามเช้าอย่างสนุกสนาน โดยที่เจ้าเขียดจะนาน้อยอาภัพนั่งชำเลืองตามองอยู่บนขอนไม้แบบนึกหมั่นไส้ เสียงลูกนกร้องอยู่บนต้นมะขามใหญ่เหมือนสื่อสารบอกกับแม่ของมัน หลังจากรังที่อาศัยอยู่โดนหมอกจับเกาะจนเกิดเป็นเม็ดน้ำไหลย้อยหยดลงเข้าไปข้างในรังสัมผัสกับร่างของมันจนต้องสะดุ้งโหยง งานนี้หัวหน้าครอบครัวคงจะต้องวุ่นวายบินหาคาบกิ่งหญ้าเข้ามาซ่อมแซมที่อยู่เป็นการด่วนอย่างแน่แท้.....







" ..ตั๊บ.. ตั๊บ... ตั๊บ... ตั๊บ.. " เสียงรองเท้าฟองน้ำดังเป็นระยะๆไปตามจังหวะของการก้าวเดินของบุคคลทั้งสอง ที่ตอนนี้กำลังเดินฝ่ากระแสหมอกที่ดูหนาตาจนมองดูสรรพสิ่งที่อยู่รอบข้างแทบจะไม่เห็น เท้าและขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำหลังจากที่ต้องเดินฝ่าต้นหญ้าที่เกิดอยู่ตามคันนา แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อพวกเขาเลยเพราะสภาพแบบนี้ดูจะชินชาเป็นเรื่องปรกติวิสัยอยู่แล้วนั่นเอง คงจะมีปิดป้องอยู่บ้างก็คือหมวกที่ใส่กันน้ำหมอกยามเช้านั่นเอง


" พ่อบอกว่าอย่ามากะยั้งแอ่วมาจนได้น้ออีนาง " เสียงผู้เป็นพ่อหันกลับไปเอ่ยกับลูกสาวตัวน้อยที่ตอนนี้กำลังเดินตามหลังผู้เป็นพ่อต้อยๆ โดยที่บ่าของเธอสะพายข้องขนาดกลางไว้สำหรับใส่ปลาที่จะได้ เมื่อปลากินเบ็ดหลังจากที่พ่อของเธอลงมือปักไว้ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น ซึ่งเมื่อคืนนี้พ่อของเธอก็ได้ปลาช่อนกลับไปหลายตัวทีเดียว

เนื่องจากอากาศยามเช้ามืดที่ถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอกวิสัยทัศน์จึงยังไม่สามารถมองเห็นได้เต็มที่นัก เด็กหญิงตัวน้อยจึงต้องก้าวเดินพลาดพลั้งพลางลื่นไถลจนเกือบตกคันนาอยู่บ่อยครั้ง คงจะเป็นเพราะประสบการณ์การเผชิญโลกภายนอกที่มีอยู่น้อยนิดซึ่งผิดกับผู้เป็นพ่อของเธอที่การเดินก้าวย่างเป็นไปด้วยความมั่นคงชำนาญ แม้สภาพอากาศภายนอกจะไม่อำนวยก็ตามแต่ก็ไม่สามารถสร้างอุปสรรคให้กับแกได้เลย เปรียบดังเช่นชีวิตจริงคนเราที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคขวากหนาม การเผชิญกับปัญหาสิ่งต่างๆอยู่เรื่อยๆจะสามารถทำให้ชีวิต จิตใจของเราสะสมความแข็งแกร่งขึ้นมาเองได้ การพิสูจน์ตนเองที่ดีต้องอาศัยเวลาและการกระทำ ต้องรักที่จะเรียนรู้ ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย แต่มันให้บทเรียนและพิสูจน์ศรัทธาแก่เรา ก้าวเดินต่อไปด้วยการเรียนรู้ อยู่ด้วยการแสวงหา รอยร้าวในใจของนักสู้ไม่ใช่อยู่ที่เคยล้มเหลว แพ้เป็นบันได ชนะเป็นสะพาน ประสบการณ์ถือเป็นบทเรียนให้ก้าวย่างเดินต่อไปด้วยความมั่นคง...


" เอ้าๆ ย่างดีๆอีนาง หัวสักหัวข่วมสิตกคันแทแล้วนั่นหน่ะ ฮ่าๆๆ " เสียงพ่อเธอปลุกกระตุ้นอีกครั้งหลังจากที่มองกลับมาดูเห็นลูกสาวเดินหัวสั่นหัวคลอน การที่เธอยังไม่ได้ล้างหน้าคงจะเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้การเดินออกจะเป๋อยู่บ้าง

" อีพ่อ...ไกล้ฮอดยัง " เธอเอ่ยถามขึ้นบ้างหลังจากที่เดินเงียบตามหลังพ่อมาเสียนาน

" ไกล้ฮอดแล้วอีนาง อยู่คันแทข่างหน่าหนิ " พ่อเธอบอกพร้อมกับชี้มือฝ่าสายหมอกตรงจุดที่ปักเบ็ด

" เอ๊า...นั่นมันนาลุงเติมบ่แม่ติ " เธอเอ่ยสงสัย

" กะแม่นนั่นหล่ะ พ่อใส่จากนาลุงเติมขึ่นไปหาท่งนาเฮา ลุงเติมเพินบ่หวงดอกอีนาง แถวบ้านเฮานี้บ่มีผู้ได๋หวงกันดอกแนวปลาบ่ได้เลี้ยง แต่ว่าเวลาสิใส่ยามพ้อเจ้าของนาเพินกะต้องบอกเพินนำแนตามมารยาท คนอีสานบ้านเฮากะจั่งซี้หล่ะเพิงพาอาศัยซึ่งกันและกัน ฮักแพงกัน อีนางเองกะจำไว้เด้อใหญ่ไปภายหน้ากะให่ฮู้จักมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนรอบข่าง ถ่าเฮาอยากให่คนอื่นซอยเหลือเฮากะต้องฮู้จักซอยเหลือคนอื่นสาก่อน" ทิดนพบอกลูกสาวตัวน้อยด้วยความเอ็นดู


การเก็บกู้เบ็ดในยามเช้าผ่านไปด้วยความตื่นเต้นสำหรับศิริกัญญานุช เพราะดูเธอจะออกอาการดีใจเป็นอย่างมากเมื่อเจ้าปลาช่อนตัวใหญ่เข้ามาติดเบ็ดที่พ่อของเธอปักล่อไว้ เมื่อคืนนี้เธออ้อนวอนจะตามออกมากับพ่อแล้วครั้งหนึ่ง แต่กลับโดนผู้เป็นแม่ห้ามปรามไว้เพราะเป็นเวลากลางคืนซึ่งดูจะไม่เหมาะนัก กลัวเธอจะพลาดพลั้งเดินไม่ระวังตกคันนาเอาดื้อๆ แต่เช้านี้ก็คงต้องยอมปล่อยให้เธอตามผู้เป็นพ่ออกมาจนได้หลังจากที่เธอขอร้องไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าต้องปลุกเธอในยามเช้าด้วย การซึมซับวิถีทางการดำเนินชีวิตแบบอย่างของผู้เป็นพ่อ ถูกบันทึกใส่ความทรงจำของเด็กหญิงตัวน้อย ที่เธอพร้อมจะยึดถือนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไปเมื่อเติบใหญ่ สายเลือดอีสานเป็นเป็นสายเลือดแห่งนักสู้ที่ทรหด
แต่ศิริกัญญานุชเธอกลับมีมากกว่านั้นอีก เพราะนอกจากเธอจะมีความอดทนเป็นเลิศแล้วเธอยังได้ความโอบอ้อมอารีย์ที่ผู้เป็นพ่อและแม่กำลังปลูกฝังให้กับเธออยู่ในตอนนี้อีกด้วย..

นิยาย กรรมลิขิต 6

ตอน กรรมตามสนอง


บุคคลบางคนเมื่อทำกรรมชั่วลงไปแล้ว กรรมชั่วยังไม่ให้ผล ก็สำคัญผิดคิดว่า กรรมดีกรรมชั่วไม่มีจริง จึงชะล่าใจทำอีก และทำต่อไปเรื่อยๆ เหมือนเด็กน้อยเหยียบถ่านไฟที่ขี้เถ้ากลบเอาไว้ แล้วเข้าใจว่าไฟไม่ร้อนแต่พอขี้เถ้าที่กลบไฟนั้นออกไปสิ้น ไฟย่อมไหม้เขาให้เร่าร้อนฉันใด บุคคลผู้ทำกรรมชั่วก็ฉันเดียวกัน เมื่อกรรมชั่วยังไม่ส่งผล เพราะผลแห่งความดีบางอย่างคุ้มครองเขาอยู่ เขาย่อมประมาทเพลิดเพลินในการทำชั่วนั้น


..แสงสุรีย์ยามบ่ายคล้อย ฉาบแสงสีทองผ่องอำไพเสมือนเป็นหัวใจหลักให้วัฏจักรสิ่งรอบข้างดำเนินย่างตามกลไกแบบเสรีภาพ ท้องทุ่งนาเขียวขจีไปด้วยต้นข้าวที่กำลังยืนต้นงามเปรียบเหมือนสาวดรุณีนางแรกแย้มที่แข่งกันอวดทรงสาวแบบที่ชวนให้หนุ่มๆต้องชายตามองแบบมิรู้เบื่อ แมลงปอสามสี่ตัวบินล้อลม บ้างก็จับตามใบข้าวเรียวทำตัวเป็นนิติเวชคล้ายกับกำลังพิสูจน์หลักฐานอะไรบางสิ่งบางอย่างอยู่แบบตั้งอกตั้งใจ โดยมีตั๊กแตนลายพรางสองตัวกำลังซุ่มตัวเงียบกัดกินแทะเล็มใบข้าวเขียวอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ไกล้ๆ

" แอ๊บ... แอ๊บ.. แอ๊บ.. " เสียงเขียดจะนาน้อยลอยคอส่งเสียงร้องอยู่ข้างต้นข้าวเป็นสัญญาณบอกกล่าวให้ศรัตรูในชุดลายพรางเลิกก้าวล้ำรุกรานกับผู้มีพระคุณ เพราะมันใช้กอต้นข้าวแห่งนี้เป็นบ้านที่คอยซ่อนตัวกำบังเมื่อยามมีภัยมาถึงมันนั่นเอง หอยโข่งตัวใหญ่กำลังขยับกายไต่ขึ้นตามลำต้นข้าวอย่างช้าๆเพื่อนำพาตัวเองขึ้นมาพักสายตามองหาวิสัยทัศน์ที่ดีขึ้น ต้นหญ้าขึ้นแซมเขียวขจีอยู่สองข้างคันนาที่ทอดยาวห่างออกไป มองเห็นสระน้ำอยู่ห่างไกลลิบลับ มีต้นใบหม่อนกลุ่มหนึ่งที่ชาวนาปลูกไว้คูสระน้ำขนาดใหญ่กำลังแตกใบเขียวสวยงามแข่งกับใบข้าวในท้องทุ่งกว้างแบบที่ไม่มีใครยอมใครซ๊ะอย่างงั้น และคงต้องเฝ้ารอหาคณะกรรมการผู้ตัดสินมาชี้ชัดว่าใครจะเป็นฝ่ายได้ความงดงามไปครองในที่สุด.


ควันไฟพวยพุ่งขึ้นมาจนจับกันเป็นก้อนลูกใหญ่แล้วตามมาด้วยเปลวเพลิงที่กำลังก่อตัวลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็ว สายลมที่พัดเข้ามาปะทะเบาๆก็สามารถทำให้เพิ่มการเผาไหม้ให้กับไม้กองใหญ่ได้เร็วยิ่งขึ้นจนต้องมีผู้คอยควบคุมอยู่ข้างๆถึงสองคน คนกลุ่มใหญ่ทะยอยเดินออกห่างมาจากจุดนั้นหลังจากที่พวกเราร่วมกันแสดงความไว้อาลัยครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้นลง จะมีเหลืออยู่บ้างก็คงเป็นกลุ่มของญาติพี่น้องของผู้ตายที่ยืนทอดสายตามองไปยังเปลวเพลิงที่กำลังบ้าคลั่งโถมไหม้กล่องไม้รูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ซึ่งภายในมีร่างที่ไร้วิญญาณนอนแน่นิ่งอยู่ อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าร่างของมนุษย์ร่างหนึ่งที่มีเนื้อหนังมังสาห่อหุ้มอยู่ก็คงจะเหลือแค่เศษเถ้ากระดูกให้ได้เห็นเท่านั้น ...อ่า.... ชีวิตคนเรามันมีแค่นี้จริงๆหรือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนหนีไม่พ้นจริงๆ จะมีให้เหลือไว้ก็แค่คุณงามความดีที่เล่าสืบกันต่อไป ส่วนใครที่ไม่ทำความดีก็คงจะแย่หนักเข้าไปอีกเพราะนอกจากตายไปแถมยังไม่มีความดีติดตัวไปด้วยอีกคงเป็นสิ่งที่หดหู่ใจเอามากๆ ชีวิตคนเราช่างเป็นอะไรที่ไม่แน่นอนเอาเสียเลยจริงๆ การใช้ชีวิตด้วยความประมาทเหมือนกับว่าเราย่ำเท้าข้างนึงลงไปบนภพภูมิอันต่ำลง ( ฉะนั้นควรต้องรีบฉุดยกขาตัวเองขึ้นมาโดยเร็วพลัน )

เสียงร้องไห้เสียใจยังมีอยู่บ้าง แม้ตัวผู้ตายเองจะไม่ค่อยได้สร้างความดีมากมายนักในตอนที่มีชีวิตอยู่ แต่เมื่อจบชีวิตลงแบบนี้บรรดาพี่น้องก็ยากที่จะทำใจได้ อุบัติเหตุการเสียชีวิตทางรถยนต์ดูจะมีมากขึ้นเป็นเท่าตัว สาเหตุหลักก็เกิดจากการขับขี่โดยประมาทและการดื่มสุราจนเมามาย ซึ่งต้องถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆเลยก็ว่าได้ที่ทำให้เกิดการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง บางรายก็บาดเจ็บ บางรายก็ถึงขั้นสาหัสและบางรายก็ถึงกับเสียชีวิต หรือแม้แต่การเสียชีวิตของทิดปักหนุ่มวัย26ปีชาวบ้านหนองนางามแห่งนี้ก็เช่นกัน แม้ชาวบ้านต่างรู้ดีว่าเป็นการเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุที่สุดวิสัยจริง แต่ก็มีชาวบ้านหลายคนหลายกลุ่มที่ลงความเห็นพ้องต้องกันว่า " เป็นเพราะผลของกรรม " ที่ทิดปักกระทำต่อพ่อกับแม่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ทิดปักนั้นเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นคนที่ชอบดื่มเหล้า พอเมาก็มักจะอาละวาดระรานคนอื่นไปทั่ว หนักเข้าผู้เป็นพ่อเป็นแม่เข้ามาห้ามปรามกลับโดนทิดปักต่อว่าพร้อมกับลงมือทุบตี หรือแม้บางครั้งทิดปักเคยคว้าท่อนไม้ฟาดใส่ผู้เป็นพ่อก็เคยมี แต่เดชะบุญที่ไม้ท่อนนั้นเฉียดผู้เป็นพ่อไปนิดเดียว จนคนทั่วไปที่พบเห็นต่างก็ส่ายหน้าเอือมระอาไปตามๆกัน

และเมื่อสองปีที่แล้วนี่เองเหมือนกับว่าเคราะห์กรรมจากการกระทำที่ไม่สมควรจะให้ผลทันตากับเขา เมื่อทิดปักเข้าทำงานที่โรงไม้แห่งหนึ่งในอำเภอมัญจาคีรีได้เพียงสองเดือน เขาก็ต้องสูญเสียนิ้วมือด้านขวาไปสามนิ้วเนื่องจากโดนเลื่อยไฟฟ้าตัด ชาวบ้านหลายคนลงความเห็นว่าเป็นผลของกรรมที่ทำต่อพ่อแม่ แต่ตัวทิดปักกลับเชื่อว่าเป็นเพราะอาการง่วงนอนของเขาจนต้องทำให้เผลอตัว และผลสุดท้ายเขาก็ต้องมาจบชีวิตลงแบบน่าสยดสยองหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า " ตายโหง " นั่นเอง สองวันที่แล้วทิดปักต้องนำไม้ไปส่งให้กับชาวบ้านตำบลท่าศาลา ซึ่งมีเพื่อนนั่งอยู่ด้านหน้าสองคน ส่วนด้านหลังมีทิดปักและเพื่อนอีกคนนั่งอยู่ด้วย และก็เกิดเหตุการไม่คาดคิดเมื่อรถที่ขับไปด้วยความเร็วเกิดยางระเบิดทำให้เสียหลักพลิกคว่ำ ทำให้กองไม้ที่วางทับกันอยู่เทกระจาดไหลลงมาทับร่างทิดปักสภาพเสียชีวิตคาที่ ส่วนเพื่อนที่นั่งข้างหน้าสองคนบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยและสิ่งที่น่าคิดไปมากกว่านั้น เพื่อนคนที่นั่งข้างหลังกับทิดปักได้รับบาดเจ็บเพียงนิดเดียวเนื่องจากกระดอนออกจากตัวรถด้วยแรงเหวี่ยงตั้งแต่รถตะแคงลงครั้งแรกเลยส่งผลให้ไม่โดนไม้ทับ จึงยิ่งทำให้ชาวบ้านเชื่อหนักเข้าไปอีกว่าเป็นเพราะผลกรรมตามสนองคืนทิดปักนั่นเอง

การยืนดูเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ก็คงจะทำได้แค่ช่วงเวลาไม่นานนักเพราะบรรดาญาติของทิดปักต้องกลับเข้าไปเตรียมงานต่อที่บ้านในฐานะเจ้าภาพ ส่วนทางนี้คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสัปเหร่อคอยดูแลกำกับต่อไป วัดอุดมคีรีเขต แม้จะเป็นวัดขนาดใหญ่ และบ้านหนองนางามเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่พอสมควร แต่กลับยังไม่มีเมรุเผาศพเป็นสัดส่วน ยังคงต้องใช้พื้นที่ของป่าช้าที่อยู่ติดกันกับวัดขึ้นไปเป็นที่ประกอบพิธีกรรม ส่วนเรื่องเมรุเผาศพนั้นขณะนี้ท่านหลวงพ่อพระครูเองก็กำลังอยู่ในช่วงดำเนินการหางบประมาณมาดำเนินการก่อสร้างอยู่ ซึ่งใจจริงท่านแล้วก็คิดว่าน่าจะทำก่อนศาลาการเปรียญหลังใหญ่นี้ด้วยซ้ำไป เพราะการเผาศพแบบนี้เป็นภาพที่ดูไม่ดีเท่าไรนักแต่ด้วยมติเสียงจากชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นว่าควรทำศาลาการเปรียญเสียก่อนซึ่งต้องเอาไว้ใช้ในงานพิธีสำคัญใหญ่ๆอยู่เรื่อย ทางท่านพระครูเองก็เลยต้องยอมรับกับเสียงข้างมากไป




พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปได้ไม่นานนัก ความมืดก็เข้ามาสับเปลี่ยนหมุนเวียนแบบรู้น่าทีทันที ยืนมองจากขอบหน้าต่างบนกุฏิออกไปด้านหลัง เห็นแสงถ่านไฟจากป่าช้าที่เผาศพยังแดงฉาน ทำให้สามเณรขวัญชัยต้องรีบปิดหน้าต่างกลับเข้ามา คิดหวนกลับไปเห็นภาพตอนบ่ายที่ตัวเขาออกไปชักผ้าบังสุกุลที่ทางมคทายกวัดนำไปพาดไว้ข้างโลงศพ แม้มือจะจับไปที่ผ้าแต่สายตาเขาก็อดที่จะมองเข้าไปดูร่างที่นอนไร้วิญญาณอยู่ไม่ได้ ภาพที่เห็นดูน่ากลัวกว่าที่เขาคิดไว้เยอะเลยเพราะใบหน้าและศรีษะของทิดปักนั้นยุบเบี้ยวไปทั้งแถบ คงจะเป็นเพราะถูกกองไม้ไหลลงทับนั่นเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญหน้ากับร่างที่ไร้วิญญาณหรือเรียกสั้นๆว่าผีนั่นเอง

" เตรียมโตห่มผ้าได้แล้วเพิน จักหน่อยหลวงพ่อใหญ่กะคือสิเอิ้นแล้ว กั่วสิย่างเข่าไปฮอดบ้านงานเพินอีก " สลัดภาพความคิดออกจากสมองแล้วหันไปบอกกับเพื่อนรักทั้งสองที่กำลังนอนให้ความสนใจกับหนังสือมนต์พิธีเล่มใหญ่อยู่ที่พื้นห้องให้เตรียมตัว โดยห้องนี้พวกเขาสามคนพักอยู่ร่วมกัน สามเณรวีระจักรผุดลุกขึ้นเตรียมตัวแต่ดูเหมือนว่าสามเณรไผ่ศธรจะลุกไม่ขึ้นแถมยังทำสีหน้าให้เพื่อนทั้งสองต้องแปลกใจเข้าไปอีก

" โอยย... เฮาลุกบ่ไหวดอกเพิน เจ็บท้องแฮงบ่แม่นสิเป็นโรคกระเพาะหล่ะหว๋า " ครางออกมาเบาๆใช้มือกุมไปที่ท้องของตัวเอง

" เอ๋า... คือเป็นแบบซี้น้อบาดหนิ เดี๋ยวเฮาแล่นไปบอกหลวงพี่พันก่อนเด้อ " สามเณรขวัญชัยหมายถึงหลวงพี่ที่อยู่ห้องข้างๆนั่นเอง แล้วก็รีบแจ้นออกจากห้องไปทันที ไม่นานนักสามเณรตัวน้อยก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับหลวงพี่นันโดยที่ทางหลวงพี่ถือขวดยาธาตุน้ำขาวติดมือเข้ามาด้วย " ยา " แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นยาแต่ก็ไม่สามารถทำให้อาการปวดของสามเณรไผ่ศธรหายขาดไปได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้ทุเลาอาการปวดลงไปได้สักพัก นี่คงจะเป็นเพราะการอดอาหารมื้อเย็นนั่นเอง เนื่องจากยังเป็นเด็กความต้องการทางด้านโภชนาการคือสิ่งจำเป็น และดูเหมือนจำเป็นมากในวัยนี้เสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้ายังบริโภคอยู่ก็จะกลายเป็นว่าผิดศิลในข้อที่6ไป ฉะนั้นก็เลยจำเป็นต้องทนปวดไปแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลวงพ่อพระครูเองท่านทราบเรื่องก็เข้ามาดูด้วยเช่นกัน และเมื่อดูอาการและสอบถามสามเณรไผ่ศธรแล้วท่านก็เลยตัดสินใจให้สามเณรตัวน้อยนอนพักในห้องโดยไม่ต้องตามพระและสามเณรรูปอื่นเข้าไปในหมู่บ้าน ซึ่งสามเณรตัวน้อยก็ให้คำยืนยันต่อท่านว่าสามารถอยู่ได้ไม่มีปัญหา ซึ่งหลังจากนั้นท่านก็นำพาพระภิกษุและสามเณรเดินเข้าหมู่บ้านเพื่อไปสวดมนต์เย็นที่บ้านงาน ท่ามกลางบรรยากาศความมืดเริ่มเข้าปกคลุม ปล่อยให้สามเณรตัวน้อยอยู่บนกุฏิเพียงลำพัง






ความเงียบสงบของวัดอุดมคีรีเขตมีมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่มันกลับเงียบวังเวงเข้าไปอีกเมื่อบนกุฏิหลังนี้เหลือเพียงสามเณรตัวน้อยเพียงรูปเดียว สามเณรตัวน้อยออกมายืนมองบรรยากาศภายนอกบนกุฏิ กุฏิหลังนี้ด้านหน้าเปิดกว้างโดยไม่มีแผ่นไม้ตีปิด ทำให้มองเห็นศาลาการเปรียญหลังใหญ่และสิ่งต่างๆโดยรอบได้ชัดเจน ยกเว้นทางด้านหลังกุฏิที่เป็นป่าช้า จะต้องแย้มหน้าต่างออกไปถึงจะมองเห็น แต่มันก็ไม่สมควรที่จะแย้มออกไปดูในช่วงจังหวะที่ต้องอยู่เพียงลำพังเช่นนี้ เพราะมันเงียบสงบจนน่าวังเวงหลังจากที่หลวงพ่อพระครูท่านนำหลวงพี่และสามเณรรูปอื่นเข้าไปยังหมู่บ้านได้สิบกว่านาทีแล้ว และป่านนี้ก็คงน่าจะถึงบ้านงานแล้วเป็นแน่แท้ ศาลาการเปรียญหลังใหญ่เปิดไฟไว้อยู่สองหลอดพอให้เห็นแสงสว่างฟากโน้น ต้นไทรใหญ่ที่อยู่ข้างๆแผ่กิ่งก้านสาขาย้อนเส้นสายลงมาจนดูน่ากลัวโดยที่ใต้ต้นไทรใหญ่มีม้าหินอ่อนวางไว้อยู่รอบโคนต้น สำหรับไว้ให้พระภิกษุสามเณรนั่งอ่านหนังสือหรือไว้ให้ชาวบ้านนักพักผ่อนหย่อนใจเมื่อได้เข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศอันร่มรื่นภายในวัด สายตาเริ่มมองสำรวจไปเรื่อยพร้อมกับใจหวิวๆอยู่ลึกๆเมื่อได้อยู่เพียงลำพัง จิตใจหวนคิดไปเห็นภาพในช่วงบ่ายที่ตัวเขาเองต้องออกไปชักผ้าบังสุกุล หันกลับเข้าไปในห้องก็รู้สึกเบาใจหน่อยเมื่อหน้าต่างถูกปิดไว้แล้ว ทำให้ไม่เห็นกองไฟจากป่าช้าที่ห่างออกไปประมาณสี่ร้อยเมตร พยายามสลัดความคิดออกจากสมองแต่ยิ่งพยายามกลับเหมือนทำให้คิดหนักกว่าเดิม คงน่าจะเป็นเพราะอยู่เพียงลำพังกับความเงียบนั่นเอง หันกลับไปมองที่ศาลาหลังใหญ่อีกครั้ง " พรึ๊บบ " สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ แสงสว่างจากหลอดไฟนีออนที่อยู่บนกุฏิและศาลาการเปรียญหลังใหญ่ดับมืดลงพร้อมๆกันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้สามเณรตัวน้อยออกอาการตื่นตระหนกถึงกับถอยหลังกรูดทันที..




สายตาเริ่มมองสำรวจไปเรื่อยๆพร้อมกับใจหวิวๆอยู่ลึกๆเมื่อได้อยู่เพียงลำพัง จิตใจหวนคิดไปเห็นภาพในช่วงบ่ายที่ตัวเขาเองต้องออกไปชักผ้าบังสุกุล หันกลับเข้าไปในห้องก็รู้สึกเบาใจหน่อยเมื่อหน้าต่างถูกปิดไว้แล้ว ทำให้ไม่เห็นกองไฟจากป่าช้าที่ห่างออกไปประมาณสี่ร้อยเมตร พยายามสลัดความคิดออกจากสมองแต่ยิ่งพยายามกลับเหมือนทำให้คิดหนักกว่าเดิม คงน่าจะเป็นเพราะอยู่เพียงลำพังกับความเงียบนั่นเอง หันกลับไปมองที่ศาลาหลังใหญ่อีกครั้ง

" พรึ๊บบ " สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ แสงสว่างจากหลอดไฟนีออนที่อยู่บนกุฏิและศาลาการเปรียญหลังใหญ่ดับมืดลงพร้อมๆกันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้สามเณรตัวน้อยออกอาการตื่นตระหนกถึงกับถอยหลังกรูดทันที.. ไม่ทันไรความตื่นกลัวก็เข้ามาที่อาการตื่นตระหนก เพราะสิ่งรอบข้างตอนนี้ดูมืดมิด เพ่งสายตามองผ่านเข้าไปยังหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักก็ไร้วี่แววซึ่งแสงสว่างให้เห็น

" สงสัยไฟฟ้าสิดับเหมิดเลยมั้ง คือจั่งบ่มีลมฟ้าฝนมันคือดับ.. ฮึเป็นนำบ้านงานเพินใซ้ไฟหลายเกินขนาดบ้อมันเลยซ็อตเอา " คิดปลอบใจตัวเองแต่ก็หวั่นไหวรู้สึกหวิวๆอยู่ข้างในยังไงชอบกล หูตอนนี้เหมือนรู้สึกว่าจะอื้อขึ้นมาดี้อๆ ลืมอาการปวดท้องไปชั่วขณะ สามเณรตัวน้อยเริ่มตั้งสติเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ที่กำลังเจออยู่ในขณะนี้ เดินถอยหลังเพื่อจะกลับเข้าไปในห้อง

" ปุ๊ก " ศรีษะกระแทกเข้ากับต้นเสากลางของกุฏิเสียงดังหนักแน่น แต่ไม่ยักกะมีเสียงร้องออกมาจากปากเลยสักแอ่ะ คงเพราะกลัวใครจะได้ยินนั่นเอง ต้องหยุดชงักงันให้อาการเจ็บปวดคลายลงสักพักก่อน ตอนนี้พยายามที่จะปรับสภาพสายตาให้คุ้นชินกับความมืดให้ได้โดยเร็วที่สุด และก็รู้สึกว่าจะทำได้ดีด้วยเมื่อเริ่มมองเห็นอะไรเลือนลางท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมอยู่รอบด้าน

" ฮือ... ฮือ... ฮือ.. " หูแว่วคล้ายได้ยินเสียงคนร้องไห้ดังแว่วมาแต่ไกล มองตรงไปศาลาการเปรียญหลังใหญ่พลันต้องขนลุกซู่ขึ้นมาในทันที เมื่อสายตาไปเจอะเข้ากับสิ่งๆหนึ่งและทำให้สีหน้าแววตาของสามเณรตัวน้อยต้องตื่นตระหนกจนยากที่จะควบคุมสติของตัวเองได้ เพราะสิ่งที่เขามองเห็นก็คือมีร่างดำทะมึนที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่ตรงม้าหินอ่อนใต้ต้นไทรใหญ่ ....ต้องยกมือขึ้นมาขยี้ตาตัวเองเหมือนกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้เป็นเพราะความกลัวจนเกิดมโนภาพภายในจิตขึ้นมาเองหรือเปล่า แต่ขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าภาพที่มองเห็นอยู่ในขณะนี้ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่ยอมหายไปไหน

" ฮือ... ฮือ.. ฮือ .." คล้ายเสียงคนร้องไห้ดังออกมาจากร่างนั้น ฟังแล้วมันช่างเป็นเสียงที่เยือกเย็นเข้าไปถึงข้างในเล่นเอาสามเณรตัวน้อยถึงกับสั่นเทา ความกลัวเข้ามาครอบงำทันที




" อ้ายทิดปัก " สมองนึกไปถึงโดยพลัน และนี่ก็เป็นคืนที่สามแล้วที่ทิดปักเสียชีวิต เคยได้ยินคนกล่าวไว้ว่า ใครก็ตามหลังจากที่เสียชีวิตได้สามวันแล้ว วิญญาณจะเริ่มรู้ตัวเองว่าได้พ้นจากสภาพความเป็นมนุษย์แล้ว และก็จะเกิดความอาลัย นึกได้ สำนึกผิดว่าในช่วงที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ได้ทำสิ่งไหนลงไปบ้าง ทำให้สามเณรตัวน้อยเริ่มจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดมากขึ้น สิ่งที่ควรจะทำในตอนนี้ก็คือต้องพยายามกลับเข้าไปในห้องตัวเองให้เร็วที่สุด สายตาตอนนี้ชินกับความมืดแล้วทำให้มองเห็นสภาพบนกุฏิชัดขึ้น มองเห็นห้องตัวเองที่ตอนนี้ประตูเปิดอ้าอยู่ สามเณรไผ่ศธรเดินย่องเบาเข้าไปที่ห้องตัวเองเหมือนกับกลัวว่าร่างดำทะมึนที่ต้นไทรใหญ่จะได้ยินเอา บรรจงดึงประตูห้องปิดเข้ามาแบบแผ่วเบาพร้อมกับค่อยๆใส่ลูกกลอนเสร็จสรรพ

" เฮ้อ " เสียงถอนหายใจโล่งไปเปลาะนึงแต่ก็ยังไม่คลายความกลัวไปได้ ชำเลืองสายตาไปมองที่หน้าต่างที่ตอนนี้ถูกปิดสนิทเช่นกัน แต่กลับทำให้เขาแปลกใจขึ้นมาอีกเมื่อมองเห็นแสงไฟผ่านทะลุช่องไม้ที่แตกปริอยู่ส่องเข้ามาภายในห้อง จนอดที่จะแนบสายตาเพื่อส่องดูให้รู้ว่าเป็นแสงไฟมาจากที่ใด และก็ได้คำตอบทันที เมื่อสายตามองเห็นถ่านไฟสีแดงตรงป่าช้า ทำให้ต้องรีบดึงตัวออกมาจากตรงนั้น ควานหาไม้ขีดกับเทียนเล่มเพื่อที่จะจุด " คันเฮาจุดเทียนผีหลอกแฮ่งต๊ะสิฮู้ว่าเฮาอยู่หม่องหนี่ " ตัดสินใจเลือกที่จะอยู่แบบมืดๆเช่นเดิม เมื่อความกลัวเข้าครอบงำสิ่งที่คิดได้ตอนนี้ก็คือต้องหาที่พึ่งให้กับตัวเอง

" พระพุทธรูป " สมองภายในแว๊บขึ้นมาทันที สามเณรตัวน้อยตัดสินใจค่อยๆปลดกลอนเปิดประตูห้องออกอีกครั้ง แล้วค่อยๆก้มตัวต่ำเดินย่องตรงไปที่ฝั่งทางห้องของหลวงพ่อพระครูฯ จุดมุ่งหมายก็คือโต๊ะหมู่บูชาซึ่งเป็นจุดที่ใช้ทำวัตรสวดมนต์เช้า-เย็น เป็นประจำทุกวัน โต๊ะหมู่นี้มีพระพุทธรูปอยู่หลายองค์ เขาเลือกอุ้มเอาองค์ที่มีขนาดเล็กสุดขึ้นมา ความรู้สึกอุ่นใจมีขึ้นบ้างเล็กน้อย เพราะอย่างน้อยก็เชื่อว่าผีน่าจะกลัวพระพุทธรูปมากกว่าสามเณรน้อย

" ฮือ.. ฮือ.. ฮือ ..ฮือ.. " เสียงเยือกเย็นยังดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทจนต้องรีบย่องกลับเข้าไปในห้องตัวเองอีกครั้ง สามเณรตัวน้อยอุ้มพระพุทธรูปไว้แนบอกนั่งซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดของห้อง เม็ดเหงื่อเริ่มผุดออกมาตามตัว จิตใจตอนนี้พลางนึกไปถึงโยมพ่อให้ออกมาช่วยนำพาให้เขาผ่านพ้นวิกฤติแห่งความกลัวนี้ไปได้ทีเถอะ พยายามข่มเปลือกตาให้หลับลงบังคับสมองไม่ให้นึกไปถึง และก็ทำได้สำเร็จเมื่อความหลับไหลเข้ามาครอบงำแทนความกลัว นานเท่าไรไม่รู้ มารู้สึกตัวก็เมื่อได้ยินเสียงของคนคุยกันดังอยู่ข้างล่างกุฏิ

" อยู่จั่งได๋น้อองค์เดียวลูกเณรเอ๊ย เป็นตาหลูโตนฮ้าย "

" อ้ายนันเจ้าฟ้าวขึ่นไปเบิ่งน้องเร็วๆแน บ่แม่นย้านป้าดโธ้แล้วเบาะ "

" เงียบคัก คือสิอักอยู่ในห่องหล่ะหว๋า "

" เร็วๆแนอ้ายทิดใยไกล้สิอดบ่ไหวคือกันแล้วเด๊ะ "

" อย่าพากันย้านให่น้องเห็นเด้อหล่ะ น้องเณรสิตื่นนำ "


สามเณรตัวน้อยแนบหูลงกับพื้นห้องเพื่อจับสัญญาณเสียงให้ชัด พลันรอยยิ้มก็เกิดขึ้น หัวใจพองโตเพราะเสียงที่เขาได้ยินก็คือเสียงของแม่และพี่ๆเขานั่นเอง บรรจงวางพระพุทธรูปไว้กับหัวนอน กุลีกุจอลุกขึ้นไปปลดกลอนประตูห้องพร้อมกับเรียกหาโยมแม่ที่อยู่ข้างล่างทันที ...แม้ไฟฟ้าจะยังดับอยู่แต่สามเณรตัวน้อยก็เหมือนมีแสงสว่างอยู่ข้างตัวเพราะตอนนี้เขามีแม่และพี่ทั้งสองมานั่งอยู่เป็นเพื่อนให้หายจากความหวาดกลัว ยืนขึ้นมองไปยังศาลาการเปรียญหลังใหญ่ตรงจุดนั้นอีกที ตอนนี้ภาพที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ได้อันตรธานหายไปแล้วและเขาก็คงจะเก็บไว้ในใจไม่กล้าที่จะเล่าให้แม่กับพี่ๆฟัง

แสงเทียนก็ถูกจุดให้สว่างขึ้นในเวลาต่อมา

" แม่บ่เห็นเข่าไปในบ้านนำหมู่กะเลยถามเณรขวัญเบิ่ง เลาว่าลูกเณรเจ็บท้องเป็นโรคกระเพาะ แม่กะเลยฟ้าวซวนเอาเอื้อยกับอ้ายเขาออกมาเบิ่งนี้หล่ะ พอดีไฟมันซ็อตอยู่บ้านงานเพินมันกะเลยดับ แม่กะฟ้าวพากันจ้าวออกมาหาย้านลูกเณรย้าน แนวอยู่ผู้เดียวเนาะ "
ป้าไหมบอกและแสดงสีหน้าด้วยความเป็นห่วงออกมา

" ครับโยมแม่ ตอนนี้กะเซาปวดแล้วหล่ะครับ " นึกอยากจะบอกแม่ไปว่าหายปวดเพราะความกลัวผีก็ดูจะกระไรอยู่จึงบอกเฉไฉไปทางอื่น

" ผมกะอยู่ได้อยู่ดอกครับโยมแม่ พอดีอาศัยหลวงพ่อใหญ่เพินกะเลยอุ่นใจบ่ย้านปานได๋ครับ " บอกและชี้มือไปทางโต๊ะหมู่บูชาที่ตั้งอยู่พลางหลบซ่อนสายตาไม่ให้ผู้เป็นแม่รู้เพราะกลัวแม่จะไม่สบายใจ

หลังจากที่ป้าไหม สายใยและทิดนัน นั่งคุยอยู่กับสามเณรไผ่ศธรได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ความสว่างไสวจากหลอดนีออนก็กลับคืนมาในสภาพปรกติ ยังความอุ่นใจให้กับสามเณรตัวน้อยได้มากขึ้น หลังจากนั้นไม่นานนักทางหลวงพ่อพระครูฯ พระลูกวัดรวมไปถึงสามเณรก็กลับมาถึงวัด ทางป้าไหมเองจึงขอตัวกลับ ซึ่งทางสามเณรตัวน้อยเองก็ยืนมองมารดาและพี่ทั้งสองของเขาเดินออกจากวัดไปจนลับสายตา พลางตั้งคำถามในใจกับตัวเองว่าสิ่งที่เห็นอยู่ใต้ร่มไทรใหญ่นั้นเป็นภาพลวงตาหรือภาพจริงกันแน่

" ใยเอ๊ย... อั่นที่พวกเฮาเห็นอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ข้างศาลาอย่าเว้าไปให่ผู้อื่นได้ยินเด้อหล่า เดี๋ยวมันสิไปเข่าหูน้องเณรเฮา แม่หลูโตนน้อง " เสียงป้าไหมบอกกำชับลูกสาวหลังจากที่กลับมาถึงบ้าน พลางขนลุกซู่เมื่อนึกไปเห็นร่างๆหนึ่งในความมืดที่นั่งกุมหน้าร้องไห้อยู่ ซึ่งป้าไหมเองเชื่อว่านั่นคือวิญญาณของทิดปักนั่นเอง.....

นิยาย กรรมลิขิต 5

ตอน กุศลกรรม 1

..การกระทำความดีที่สมบูรณ์แบบนั้น ต้องทำให้ครบวงจร คือ ดีทั้งเหตุ ดีทั้งผล และทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างได้รับผลดี เช่น ในการปล่อยสัตว์ ผู้ปล่อยก็ได้บุญ คือ รู้สึกดีใจชื่นใจที่ตนได้ทำความดี สัตว์ที่ถูกปล่อยก็ดีใจที่มีชีวิตรอดพ้นจากความตาย หรือพ้นจากการจองจำ.


..ท้องนภาพร่างพราวสว่างไสวไปด้วยมวลของหมู่ดาว ทอแสงแวววาวระยิบระยับตระการตา ประหนึ่งดังทวยเทพเทวาเสกสรรปั้นแต่งแต้มด้วยอำนาจแห่งมนต์ มองเห็นกลุ่มดาวลูกไก่7ดวงจับกลุ่มรวมตัวกันเหมือนกับว่าแม่ไก่คอยคุ้มครองปกป้องลูกน้อยทั้ง6 ด้วยความรักความห่วงใย คอยคุ้ยเขี่ยอาหารหลอกล่อไม่ให้ลูกทั้ง6เดินหนีแยกตัวออกจากกลุ่ม ห่างไปไม่ไกลนักมองเห็นดาว3ดวงอยู่ตำแหน่งไกล้ๆกันมองดูแล้วคล้ายดังกับว่าเป็นรูปของไถ เยื้องกันไปอีกฟากฝั่งนภากาศ มองเห็นดาวประกายพรึกหรือดาวรุ่งดวงใหญ่ทอแสงสว่างไสวอยู่ทางด้านทิศตะวันออก เสียงไก่ขันดังก้องกังวานเพื่อบอกเตือนให้รู้ว่าอีกไม่นานนักเช้าวันใหม่ก็จะเข้ามาเยือน เสียงเขียดน้อยร้องแว่วแผ่วเบาเหมือนกับว่าเหนื่อยล้าอ่อนกำลังหมดเรี่ยวแรงมากับการทำหน้าที่ร้องขับขานมาตลอดทั้งคืนและอีกไม่ช้าก็คงจะเงียบเสียงไปในที่สุด แต่ระยะทางของกาลเวลายังเดินหน้าทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่เคยหยุดหรืออ่อนล้าเอาเสียเลย

.. เพียงไม่นานสักเท่าไรนักแสงของเช้าวันใหม่ก็เริ่มฉายขึ้น ท้องนภาค่อยๆเปลี่ยนสีจากความมืดมิดของรัตติกาลทะยานสู่ความสว่างไสวแห่งแสงสุริยะ หลังจากนั้นท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยแสงสีทองอร่ามตาดูน่าชมน่าพิศมัยยิ่ง ผืนดินแห่งทุ่งอีสาน ดินแดนแห่งวัฒนธรรม อารยะ ขนบธรรมเนียมที่เป็นเอกลักษณ์อยู่ในตัว คือเสน่ห์แห่งมนตราที่นำพาทุกอณูแห่งความรู้สึก ที่ล้ำลึก ดูดด่ำ เมื่อได้มาสัมผัสกับแก่นแท้ของดินแดนแห่งอารยะ

..เสียงนกน้อยร้องเซ็งแซ่ โผผินบินออกจากรังเพื่อหาอาหารยังชีพของมันตามวัฏจักรของสิ่งมีชีวิต อากาศยามเช้าดูแสนสดชื่นนัก ท้องทุ่งนาดูเขียวขจีเต็มไปด้วยต้นข้าวที่กำลังสวยงาม ตอนนี้ถูกน้ำค้างเกาะเรียวใบดูเป็นศิลปะอีกแขนงให้เห็นจนเพลิดเพลินตา และต้นข้าวเหล่านี้ก็กำลังทำหน้าที่เติบโต เพื่อให้ชาวนาได้เก็บไว้กินอิ่มท้องเลี้ยงชีพของพวกเขาเฉกเช่นเดียวกัน

เสียงหอกระจายข่าวยามเช้าจากบ้านของกำนันชมก็ยังดังให้ได้ยินอยู่เป็นประจำในทุกๆเช้า เพื่อเป็นการสื่อสารให้ลูกบ้านของแกได้รับรู้ข่าวสารการบ้านการเมืองรวมไปถึงข่าวภูมิภาคต่างๆ แม้ระยะนี้จะเป็นช่วงเข้าพรรษาและชาวบ้านหนองนางามเองก็แล้วเสร็จจากภาระกิจการปักดำกันหมดแล้ว แต่ชาวบ้านแถบนี้ก็ยังมิวายที่จะตื่นเช้าอยู่ดี คงเป็นปรกติวิสัยของพวกเขาที่ถูกปลูกฝังมาช้านานจนต้องกลายเป็นว่าเคยตัวไปเสียแล้วนั่นเอง


.....มิ๊งง..))..... มิ๊งง....))).... มิ๊งง....))))....มิ๊งงง....)))))...มิ๊งงง...)))))...

เสียงระฆังดังแว่วมาจาก วัดอุดมคีรีเขต ก้องกังวานเสนาะหูเป็นลีลาจังหวะในการเคาะ โดยฝีมือของสามเณรไผ่ศธร เป็นสัญญาณบอกบุญให้แก่ชาวบ้านหนองนางามได้เตรียมความพร้อมในการเริ่มทำสิ่งดีๆอันเป็นบุญกุศลให้เกิดขึ้นภายในจิตใจในตอนเช้า ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติสิ่งต่างๆในแต่ละวันต่อไป

" ใยเอ๊ยใย ควดเข่าให่แม่แนหล่า เดี๋ยวเข่ามันสิสุกบ่ทันไปจังหันน้องเณรเด้ " เสียงป้าไหมดังแว่วมาจากนอกบ้านบอกลูกสาวให้กลับด้านข้าวที่นึ่งอยู่บนเตาไฟ ตอนนี้แกกำลังนั่งเอาใบหม่อนให้กับตัวไหมกิน โรงเรือนที่แกเลี้ยงไหมนี้ถูกทำขึ้นมาด้วยฝีมือของแกเอง ชั้นไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกตีเป็นช่องให้พอเหมาะสำหรับสอดกระด้งเข้าไปวางสามารถรองรับกับกระด้งได้เกือบสามสิบใบเลยทีเดียว มันถูกวางตั้งไว้อย่างแข็งแรง โดยที่ขาโต๊ะทั้งหมดป้าไหมจะรองด้วยภาชนะดินเผาขนาดเล็กที่เป็นแอ่ง เติมน้ำเข้าไปเพื่อป้องกันมดแมลงหรือสิ่งต่างๆที่เป็นศัตรูของตัวไหมแก เรียกว่ามดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยก็ว่าได้ เพราะนี่คืออาชีพเสริมที่สร้างรายได้ให้กับแกอย่างเป็นล่ำเป็นสันเลยเชียว

" อีแม่สิไปใส่บาตรหรือไปวัดเองเลยหล่ะ " สายใยถามขึ้นหลังจากที่เดินเข้าไปทำตามจุดประสงค์ของผู้เป็นแม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว

" แม่สิไปวัดเองดอก ไปหาซื้อปลาทูมาทอดให่น้องเณรแนไป๋หล่า ซี้อเอาขนมตะโก้แนวน้องมักมานำแนเด้อ เดี๋ยวจักหน่อยแม่กะเกียม้อนแล้วดอก " ปากบอกลูกสาวแต่มือยังสาละวนอยู่กับการจับใบหม่อนวางทับลงไปบนตัวไหม

" อ้ายนันเจ้าอัดน้ำป่องอยู่คูหลุมดีบ่หล่ะ บ่แม่นมันฮั่วอีกแล้วติอ้าย แบกบักจกออกไปส่องเบิ่งอีกแนไป๋ " เธอเอ่ยกับสามีขณะเดินออกจากบ้านเพื่อไปร้านค้าบ้านลุงมวลที่อยู่ห่างกันไปไม่ไกลนัก

" เอ้อ... อ้ายสิออกไปเบิ่งเดี๋ยวนี้หล่ะ ฟ้าวไปฟ้าวกลับมาแนหล่ะมันสิบ่ทันจังหันเด้ " ตอบกลับพร้อมกับเดินไปเอาจอบที่วางอยู่ข้างบ้านเดินออกไปทุ่งนาอย่างคนว่าง่าย







เนื่องจากบ้านหนองนางามเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ การบิณฑบาตจึงต้องแยกออกเป็น3สาย เพื่อให้ทั่วถึงกับศรัทธาของชาวบ้าน โดยที่คุ้มด้านทิศตะวันออกตอนนี้สามเณรขวัญชัยและสามเณรไผ่ศธรเดินอุ้มบาตรเดินตามหลัง โดยมีหลวงพี่สองรูปเดินนำหน้า คุ้มเหนือก็เป็นหลวงพ่อพระครูฯพร้อมด้วยพระลูกวัด2รูปและก็สามเณรอีกหนึ่งนั่นก็คือ สามเณรวีระจักรนั่นเอง ส่วนทางคุ้มใต้ก็มีพระสองรูปและสามเณรอีกสองรูปเช่นกัน เนื่องจากที่เป็นสามเณรรูปร่างเล็ก เวลาอุ้มบาตรแล้วจึงเป็นภาพที่เห็นแล้วชวนให้เกิดรอยยิ้มแก่บรรดาญาติโยมที่คอยมาใส่บาตร

" อุ้มไหวบ่น้อพี่เณร อุ้มดีๆเด้อขอรับ บาตรสิหลุดมือเด้ " บ่อยครั้งที่จะได้ยินเสียงแซวจากชาวบ้านจนสามเณรไผ่ศธรต้องยิ้มตอบกลับไปและครั้งนี้ก็เช่นกัน

" ไหวอยู่ครับโยมน้าติ่ง บ่หลุดดอกครับกอดไว้แหน่นอยู่ " ตอบด้วยอาการสำรวม ใบหน้าคล้ายอิ่มบุญน่าชวนมอง

" แต่ว่ามื้อนี้เลขออก บ่ได้โตดีโผดผายแนบ่น้อขอรับ" ไม่มีคำตอบ สิ่งที่โยมน้าติ่งได้รับกลับไปก็คือรอยยิ้มนั่นเอง

" เณรขวัญย่างดีๆเด้อ ข่างหน่ามีบวกน้ำอยู่หน่อยนึง " สามเณรไผ่ศธรบอกสามเณรขวัญชัยเพื่อนรักที่เดินตามหลังมาระวังกับแอ่งน้ำขนาดเล็กที่อยู่ข้างหน้า

" อื้อ.. เฮาระวังอยู่เพิน " ตอบกลับไป แม้จะบวชเป็นสามเณรแล้วแต่ด้วยที่เป็นเพื่อนสนิทคำพูดที่เคยพูดมาแต่ไหนแต่ไรจึงดูจะยังติดปากอยู่แบบนี้เรื่อยๆ ในแต่ละเช้าดูเหมือนว่าชาวบ้านที่ฝักใฝ่ในบุญกุศลคอยทะนุบำรุงพระศาสนาดูจะมีมากมายจนน่าปลื้มใจ หมู่บ้านที่ดีที่จะเจริญก้าวหน้าไปได้ไว ก็จำเป็นต้องมีวัดดีพระดีคอยชี้แนะปลูกฝังทางด้านคุณธรรม ส่วนวัดที่จะเจริญไปได้อยู่ได้ก็ต้องมีบ้านและมีศรัทธาอันแรงกล้าของชาวบ้านคอยช่วยเหลือทะนุบำรุงด้วยเช่นกันจึงจะอยู่รอด สรุปแล้วต่างฝ่ายก็ต้องคอยช่วยเหลือประคับประคองกันทั้งสองฝ่ายดังมีคำกล่าวไว้ว่า

" วัดจะดีมีหลักฐานเพราะบ้านช่วย
บ้านจะสวยเพราะมีวัดดัดนิสัย
บ้านกับวัดผลัดกันช่วยก็อวยชัย
ถ้าขัดกันก็บรรลัยทั้งสองทาง "

การเดินบิณฑบาตผ่านมาเรื่อยๆจนผ่านมาถึงหน้าบ้านที่ตัวเองเคยพักอาศัย พลันรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาจากใบหน้าอันกลมมน เมื่อสายตามองไปเห็นโยมพี่สาวที่นั่งพนมมืออยู่หน้าบ้าน

" น้องเณร เดี๋ยวแม่เลาสิออกไปวัดพุ้นหล่ะจ้า " เสียงโยมพี่สาวดังแว่วเข้าหูสามเณรไผ่ศธร ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปาก แต่มีรอยยิ้มปนทะเล้นนิดๆผุดขึ้นมาแทน พร้อมกับเดินก้มหน้าด้วยอาการสำรวม จนสายใยอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นอากัปกิริยาของน้องชาย..




วัดอุดมคีรีเขต ถือเป็นวัดที่มีความสงบเงียบและร่มรื่นเป็นยิ่งนัก เพราะภายในวัดแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่อยู่มากมายหลายชนิด ซึ่งทางหลวงพ่อท่านพระครูฯ ท่านได้นำพระภิกษุสามเณรและชาวบ้านร่วมกันปลูกขึ้นมาเป็นประจำทุกๆปีมิได้ขาด ตอนนี้บริเวณวัดต่างเต็มไปด้วยต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขา ให้ร่มเงาแก่พระภิกษุสามเณรภายในวัดรวมไปถึงบรรดาชาวบ้านเหล่าพุทธศาสนิกชนผู้ใจบุญทั้งหลายที่ผ่านไปผ่านมา อีกทั้งต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ยังช่วยเป็นที่พำนักพักอาศัยให้กับบรรดาเหล่านกน้อยหลากหลายสายพันธุ์ได้อาศัยเป็นที่หากินและหลับนอน โดยจะเห็นอยู่มากมายในช่วงเวลาพลบค่ำที่พากันส่งเสียงร้องเซ็งแซ่

ซึ่งก็นับว่าพวกมันตัดสินใจเลือกที่พำนักได้ถูกที่เป็นยิ่งนักเพราะสถานที่แห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารของพวกมัน โดยที่ข้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่มีต้นไทรอยู่หลายต้นทีเดียว และเนื่องด้วยทางวัดเป็นเขตอภัยทานจึงทำให้บรรดาชาวบ้านไม่กล้าที่จะล่วงล้ำเข้ามายิงหรือทำอันตรายกับพวกนกเหล่านี้ได้ จึงทำให้พวกมันต่างพากันบินเข้ามาอาศัยร่มเงาพึ่งใบบุญกับสถานที่แห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยส่วนมากก็น่าจะบินมาจากภูเม็ง ภูเขาลูกใหญ่ซึ่งอยู่ห่างจากวัดแห่งนี้ไปไม่ไกลเท่าใดนัก

โดยทางหลวงพ่อพระครูฯท่านก็ให้ทางพระลูกวัดเขียนป้ายขนาดใหญ่ติดไว้อย่างชัดเจนว่า เขตอภัยทาน ซึ่งแปลความหมายง่ายๆแบบที่ชาวบ้านเราเข้าใจก็คือสถานที่หรือบริเวณการให้ชีวิตการให้อภัยเป็นทานนั่นเอง นอกจากนั้นก็ยังมีป้ายต่างๆที่ติดอยู่ตามต้นไม้ใหญ่เรียงรายอยู่ทั่วไป เพื่อให้เป็นแง่คิดหรือคำสอน คำเตือนสติเตือนใจแก่พุทธศาสนิกชนที่ผ่านเข้ามาได้อ่าน เก็บซึมซับ เพื่อเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตประจำวันด้วยความไม่ประมาทนั่นเอง


" ..แป๊ง.. แป๊งง..... แป๊ง.. แป๊งง..... แป๊ง.. แป๊งง.. "

เสียงระฆังลูกเล็กดังแว่วกังวานมาจากบนศาลาการเปรียญหลังใหญ่ เป็นการสื่อความหมายให้กับพระภิกษุ-สามเณร ภายในวัดอุดมคีรีเขตได้รู้ว่า ขณะนี้การจัดเตรียมสำรับภัตตาหารเช้าได้พร้อมเสร็จสรรพแล้วและขอนิมนต์ทุกรูปพร้อมกันบนศาลา

" เณรจักร..เณรขวัญ..โตห่มผ้าแล้วฟ้าวแล่นนำเฮาไปเด้อ เฮาสิฟ้าวขึ่นไปหาโยมแม่เพินก่อน " เสียงสามเณรไผ่ศธรบอกเพื่อนรักทั้งสองหลังจากที่ตัวเองห่มผ้าเสร็จเรียบร้อยก่อนแล้ว พลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดกุฏิตรงไปยังศาลาการเปรียญหลังใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ซึ่งตอนนี้ทางหลวงพี่และสามเณรยังไม่ได้ลงมาจากกุฏิเลยสักรูป ...และเมื่อสามเณรไผ่ศธรเดินขึ้นไปบนศาลาการเปรียญหลังใหญ่ก็ต้องเจอกับรอยยิ้มของผู้เป็นแม่ที่นั่งจ้องมองตั้งแต่เห็นเขาแว๊บแรกแล้วรวมไปถึงญาตโยมอีกนับสิบคน จนต้องก้มหน้าซ่อนแววตาอันแสนซนที่ปนไปด้วยรอยยิ้มออกมา

" ตั้งแต่มาบวชเป็นเณรน้อยอยู่วัดฮู้สึกว่าสิขี่ฮ้ายโตขึ่นหลายเนาะป้าไหม เบิ่งหน่าเบิ่งแก้มเลาแนเต็มจุ้มบุ้มอยู่ เป็นตาฮั๊กกะด้อ " ป้าอ้อยเอ่ยเบาๆกับป้าไหมสายตาจับจ้องไปที่สามเณรไผ่ศธรอีกคู่ ทำให้ผู้ที่ถูกกล่าวขวัญถึงต้องก้มหน้ายิ้มแบบอายๆหนักเข้าไปกว่าเดิมอีก เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังถูกจ้องมองนึกจะดึงชายผ้าจีวรที่ตัวเองห่มอยู่ขึ้นมากัดเล่นสักหน่อยเพื่อแก้เขินก็ดูกระไรอยู่ แต่ก็ตัดสินใจเดินก้มหน้าเข้าไปหาผู้เป็นแม่พลางเอ่ยเบาๆด้วยอาการสำรวม

" โยมแม่อย่าฟ้าวกลับบ้านเด้อ ให่ผมฉันเข่าแล้วก่อน " และเดินยิ้มก้มหน้ากลับไปนั่งที่ประจำ

" เห็นลูกแบบซี้แล้วกะมีแฮงใจอยู่เลิกๆ คันพ่อเขายังอยู่ได้เห็นลูกซายคองผ้าเหลืองแบบซี้เลากะคือสิดีใจคักอยู่คือกัน ตั้งแต่บวชมากะฮู้สึกว่าเณรเพินเปลี่ยนไปจากเก่าหลาย บ่ค่อยปากค่อยเว้าอยากอายเป๊นเป็น " พลางนึกไปถึงผู้เป็นสามีที่จากไปแบบไม่มีวันหวนคืนกลับ ...หลังจากนั้นสักพักสามเณรขวัญชัยและสามเณรวีระจักรก็ตามขึ้นมาทำให้สามเณรไผ่ศธรต้องผ่อนคลายสีหน้าลงไปบ้าง เมื่อสายตาของโยมแม่และโยมป้าอ้อยหันไปให้ความสนใจกับเพื่อนรักทั้งสองแทน เมื่อหลวงพ่อพระครูและหลวงพี่รวมถึงสามเณรทุกรูปมาพร้อมกันหมดแล้ว บาตรและสำรับภัตตาหารก็ถูกยกมาวางไว้ประจำตรงหน้า ที่พระภิกษุแต่ละรูปนั่งอยู่ แต่จะต่างหน่อยก็ตรงสามเณรเพราะสามเณรไกรลาศกับสามเณรสุทัศน์ต้องฉันร่วมกัน และ3สามเณรเพื่อนรักต้องตีวงหันหน้าฉันข้าวสำรับเดียวเช่นกัน

การให้พรญาตโยมที่มาถวายภัตตาหารยามเช้าผ่านพ้นไปแล้ว ป้าไหมต้องนั่งรอให้สามเณรไผ่ศธรลูกรักฉันข้าวเสร็จก่อนซึ่งก็มีชาวบ้านหลายคนที่นั่งอยู่เป็นเพื่อนเพื่อคอยที่จะล้างถ้วยจานสำรับใส่กับข้าวหลังจากที่พระภิกษุสามเณรฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วนั่นเอง






" โยมแม่มื้อคืนนี้ผมฝันเห็นพ่อ " เสียงสามเณรไผ่ศธรดังขึ้นหลังจากที่ปลีกตัวเดินลงมาจากศาลาหลังใหญ่เข้าไปหาแม่ของเขาที่นั่งอยู่ข้างกำแพงวัด โดยข้างกำแพงมีอักษรชื่อตัวใหญ่เขียนไว้ชัดเจนว่า นายไกร แม้นมัญจา ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ป้าไหมแกจะต้องมาเป็นประจำหลังจากที่ทำบุญใส่บาตรรับศีลรับพรเสร็จแล้ว เพื่อกรวดน้ำอุทิศผลบุญให้ผู้เป็นสามีที่ล่วงลับไปนั่งเอง

" ลูกเณรฝันเห็นพ่อเขาจั่งได๋หล่ะ " ?????

" ผมฝันว่าอี๊พ่อเพินมาหาอยู่บ้านเฮา พ่อเลาย่างขึ่นมาเทิงบ้านแล้วกะยิ้มให่ผม เบิ่งแล้วคล้ายๆว่าเลาสิดีใจอีหยั๋งอยู่จักอย่างนี้หล่ะโยมแม่ " พลางครุ่นคิดถึงความฝันตัวเองเมื่อคืน

" พ่อเขาดีใจที่เห็นลูกซายห่มผ้าเหลืองหล่ะหว๋าลูก บ่แม่นต๊ะพ่อเขาสิดีใจดอก แม่เองหรือว่าเอื้อยใยกะดีใจคือกัน ลูกเณรตั้งใจท่องหนังสือตั้งใจเฮียนเด้อ แม่นั่งฟังเสียงเทศน์อยู่เทิงศาลาเสียงใสแจ๋วเอาโล้ด เก่งแล้ว " บอกยิ้มๆ

" ครับโยมแม่ แต่ตอนนี้ผมกะท่องหลายคักอยู่เทิงต้องท่องคำสวดมนต์ที่ต้องใช้ หลวงพ่อพระครูใหญ่เพินขีดวงไว้ให่ว่าต้องใช้อันใด๋แน เบิ่งแล้วกะหลายกะด้อ อีกจักหน่อยผมกะสิได้ไปเข้าห่องเรียนอีกแล้วครับแต่อันนี้กะดีอย่างว่าหลวงพี่กัณหาที่เพินสอนเพินใจดีหลายแถมมีแนวเว้าให่หัวร่อพ้อม " สามเณรตัวเล็กหมายถึงการเรียนนักธรรมตรีที่ทางหลวงพ่อพระครูฯจัดสถานที่เรียนขึ้นที่ศาลาหลังเล็กข้างๆกุฏิโดยมอบหมายให้หลวงพี่กัณหาเป็นผู้สอนซึ่งจะมีสอนทั้งหลักสูตรนักธรรมตรีและธรรมโทด้วย เมื่อเรียนจบแล้วในช่วงเดือนพฤศจิกายนก็ต้องเข้าสนามสอบที่วัดในตัวอำเภอต่อไป

" ยามมื้อแลงพากันหิวเข่าแนบ่หล่ะ อย่าพากันไปหาลักกินเข่าแลงเด้อลูกมันสิบาปเอาเด้ " ยิ้มมองลูกชายด้วยความเอ็นดู

" หิวแต่กะอดได้อยู่ครับ คิก.. คิก.. ผมมีโอวัลตินไมโลที่โยมเพินนำมาถวายหลวงพ่อพระครูใหญ่อยู่ ยามแลงพากันเสียบกาน้ำฮ้อนซงกินแก้หิวเข่าได้อยู่โยมแม่ " บอกด้วยอาการใสซื่อ

" คันเหมิดหรือว่าบ่มีฉันกะบอกแม่เด้อแม่สิซื้อมาถวาย อย่าไปอดเด้อหล่ะเดี๋ยวสิเป็นโรคกระเพาะเอาได้ แม่กลับก่อนลูกเณรม้อนแม่กำลังใหญ่ ตอนนี้แม่กะกำลังยากนำหาเก็บมอญมาเกียอยู่ "

" ครับ.. โยมแม่กลับสาผมกะสิไปเตรียมโตเข่าห่องเรียนก่อน การบ้านหลวงพี่กัณหาให่มามื้อวานยังบ่แล้วอยู่สองข่อ " เอ่ยยิ้มๆ

สามเณรตัวน้อยยืนมองตามหลังผู้เป็นแม่ที่เดินห่างออกไปจนลับสายตา พร้อมกับคิดในใจว่าจะต้องตั้งมั่นปฏิบัติตัวเองไปในทางที่ดีเพื่อให้แม่ของเขาได้ภูมิใจ แม้ชีวิตของเขาจะเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนและแร้นแค้นแต่สิ่งหนึ่งที่ตัวเขาได้รับและถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็คือความรักความอ่อนโยนและความอดทนที่แม่เขาเป็นผู้ที่มอบให้มา และเขาจะต้องทำให้แม่ของเขาได้เห็นว่าแม้เขาจะไม่มีโอกาสมากมายเหมือนอย่างคนอื่นๆทั่วไป แต่เขาก็สามารถสร้างรอยยิ้มให้กับแม่ของเขาได้เช่นกัน และเขาเองก็เชื่อว่าแม่คงจะไม่ต้องการอะไรมากมายนักนอกจากเห็นเขาเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นคนที่ดีไม่สร้างความเดือนร้อนให้ใคร รอยยิ้มผุดขึ้นเมื่อสมองนึกไปถึงแต่สายตากลับหันไปมองที่ข้างกำแพงพร้อมกับพูดเบาๆออกมา

" โยมพ่อนำเบิ่งนำแยงผมแนเด้อครับ "

สามเณรตัวน้อยยืนสงบนิ่งมองกำแพงวัด หัวใจปนไปด้วยความสุขอยู่ลึกๆเหมือนกับว่าที่กำแพงแห่งนี้เป็นเสมือนเกราะแก้วที่คอยปกป้องคุ้มครองคอยกำบัง คอยเติมพลังให้แรงใจดวงน้อยๆดวงนี้ได้ก้าวเดินหน้าต่อไปด้วยความเข้มแข็งอย่างไม่ย่อท้อ แม้จะไม่มีเสียงตอบรับกลับมาแต่ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้ช่างเหมือนกับว่าพ่อของเขายืนยิ้มให้และพร้อมที่จะเดินเคียงข้างเขาตลอดไป

" เณรไผ่.... เณรไผ่... การบ้านบ่ทันแล้วฟ้าวมาเร็วๆ พอให่เฮาลอกนำแน " เสียงสามเณรวีระจักรร้องเรียกพร้อมกับกวักมือหลังจากนำข้าวก้นบาตรที่เหลือจากการฉันในแต่ละวันออกไปตากแดดบนแคร่ไม้ไผ่ขนาดใหญ่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อข้าวเหล่านี้แห้งก็สามารถนำไปแปรรูปได้หลายอย่างแต่ส่วนมากทางวัดก็ไม่ค่อยจะมีเก็บไว้เพราะในแต่ละวันจะมีชาวบ้านออกมาซื้อหรือบูชาไปอยู่เป็นประจำ เงินที่ได้จากการบูชาทางหลวงพ่อพระครูท่านเองก็เก็บไว้เป็นส่วนกลางเพื่อนำไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟจิปาถะทั่วไปภายในวัดนั่นเอง ....เสียงเรียกของเพื่อนทำให้สามเณรตัวน้อยต้องเดินหันหลังออกมาจากจุดนั้น เห็นเพื่อนรักยืนกวักมือเรียกแล้วก็นึกหัวเราะอยู่ในใจพร้อมกับพึมพำออกมา

" เฮากะบ่ทันแล้วคือกันเพิน อีกตั้งสองข่อพุ้น "






เสียงท่องหนังสือสวดมนต์ดังก้องอยู่เป็นจุดๆ แสงสว่างจากเปลวเทียนบอกให้รู้ว่าใครอยู่จุดไหนกันบ้าง คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ทำให้บรรยากาศภายในวัดอุดมคีรีเขตดูสงบเงียบวังเวงเข้าไปอีกแม้จะเป็นเวลาแค่สองทุ่มก็ตามที สามเณรไผ่ศธรเลือกนั่งจุดเทียนท่องหนังสืออยู่ใต้ต้นประดู่ขนาดใหญ่โดยมีสามเณรวีระจักรเพื่อนรักนั่งอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ถัดกันไปไม่ไกลนัก ซึ่งสามารถมองฝ่าความมืดเห็นกันได้ การปลีกตัวออกมาโดยอาศัยความสงบเงียบจะสามารถทำให้สมองท่องจำได้ง่ายขึ้นนั่งเอง ส่วนแสงของเทียนที่ถัดกันไปฟากโน้นก็เป็นสามเณรไกลลาศและสามเณรสุทัศท์โดยมีหลวงพี่รูปหนึ่งนั่งเล่นอยู่ด้วยข้างๆ

" ..แอ๊ดดด... ปึ๊งง..)) " เสียงประตูของห้องน้ำถูกปิดเข้า ทำให้เสียงท่องหนังสือของสามเณรไผ่ศธรและสามเณรวีระจักรต้องหยุดชะงักลง สายตาหันขวับมองหน้ากันฝ่าความมืดพร้อมกับยิ้มให้กันแบบมีเลศนัย แสงเทียนที่ใต้ต้นประดู่และต้นไทรใหญ่ถูกดับมอดลงทันที ภายในห้องน้ำขนาดเล็กตอนนี้ มีเสียงน้ำถูกเทราดลงกับพื้นพร้อมมองเห็นแสงไฟจากหลอดนีออนเล็ดลอดออกมาพอสลัว สองสหายพยักหน้าให้สัญญาณกันฝ่าความมืดพร้อมที่ลงมือปฏิบัติแผนการจู่โจมในทันที

" ..ครื๊ดดด... ครื๊ดดด... ครื๊ดด... " เสียงของกิ่งมะม่วงครูดกับสังกะสีหลังคาห้องน้ำโดยฝีมือของสามเณรวีระจักรที่ใช้ไม้ตะขอดึงโน้มเข้ามาให้ปะทะแผ่นสังกะสีจนเกิดเสียงดัง

".. หึ... หึ... หึ... หึ หึ... " เสียงสามเณรไผ่ศธรดังขึ้นรับกับเสียงของกิ่งไม้อย่างรู้จังหวะหน้าที่ และก็ได้ผลทันที !!!!! เมื่อเสียงน้ำที่เทราดเมื่อสักครู่นี้สงบเงียบไปทันที เหมือนกับว่าจะหยุดฟังอะไรสักอย่างเพื่อความแน่ใจ

" ..ครื๊ดดด... ครื๊ดดด... ครื๊ดดด... หึ..หึ...หึ...หึ.. " เสียงแปลกปลอมดังขึ้นมาให้ได้ยินอีกครั้ง และเหมือนว่าบุคคลที่อยู่ข้างในตอนนี้สุดที่จะกลั้น ประตูห้องน้ำถูกเปิงผางออกมาแบบกระทันหัน พร้อมกับร่างของสามเณรขวัญชัยตัวน้อยที่เนื้อตัวตอนนี้เต็มไปด้วยคราบฟองของสบู่ วิ่งออกจากห้องน้ำตรงขึ้นกุฏิแบบคนกลัวสุดขีดจนสบงที่นุ่งอยู่เกือบหลุดรุ่ยจนน่าหวาดเสียวแทน

"...ก๊ากกก ..เอิ๊กๆๆ ..คิก.. คิก ..คิก.. โอย.. เจ็บท้อง "

เสียงหัวเราะของอาคันตุกะยามรัตติกาลทั้งสอง ดังขึ้นอยู่หลังห้องน้ำแบบสุดที่จะกลั้น เมื่อสายตามองเห็นสภาพของเพื่อนรักอีกคน...