จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 6

ตอน กรรมตามสนอง


บุคคลบางคนเมื่อทำกรรมชั่วลงไปแล้ว กรรมชั่วยังไม่ให้ผล ก็สำคัญผิดคิดว่า กรรมดีกรรมชั่วไม่มีจริง จึงชะล่าใจทำอีก และทำต่อไปเรื่อยๆ เหมือนเด็กน้อยเหยียบถ่านไฟที่ขี้เถ้ากลบเอาไว้ แล้วเข้าใจว่าไฟไม่ร้อนแต่พอขี้เถ้าที่กลบไฟนั้นออกไปสิ้น ไฟย่อมไหม้เขาให้เร่าร้อนฉันใด บุคคลผู้ทำกรรมชั่วก็ฉันเดียวกัน เมื่อกรรมชั่วยังไม่ส่งผล เพราะผลแห่งความดีบางอย่างคุ้มครองเขาอยู่ เขาย่อมประมาทเพลิดเพลินในการทำชั่วนั้น


..แสงสุรีย์ยามบ่ายคล้อย ฉาบแสงสีทองผ่องอำไพเสมือนเป็นหัวใจหลักให้วัฏจักรสิ่งรอบข้างดำเนินย่างตามกลไกแบบเสรีภาพ ท้องทุ่งนาเขียวขจีไปด้วยต้นข้าวที่กำลังยืนต้นงามเปรียบเหมือนสาวดรุณีนางแรกแย้มที่แข่งกันอวดทรงสาวแบบที่ชวนให้หนุ่มๆต้องชายตามองแบบมิรู้เบื่อ แมลงปอสามสี่ตัวบินล้อลม บ้างก็จับตามใบข้าวเรียวทำตัวเป็นนิติเวชคล้ายกับกำลังพิสูจน์หลักฐานอะไรบางสิ่งบางอย่างอยู่แบบตั้งอกตั้งใจ โดยมีตั๊กแตนลายพรางสองตัวกำลังซุ่มตัวเงียบกัดกินแทะเล็มใบข้าวเขียวอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ไกล้ๆ

" แอ๊บ... แอ๊บ.. แอ๊บ.. " เสียงเขียดจะนาน้อยลอยคอส่งเสียงร้องอยู่ข้างต้นข้าวเป็นสัญญาณบอกกล่าวให้ศรัตรูในชุดลายพรางเลิกก้าวล้ำรุกรานกับผู้มีพระคุณ เพราะมันใช้กอต้นข้าวแห่งนี้เป็นบ้านที่คอยซ่อนตัวกำบังเมื่อยามมีภัยมาถึงมันนั่นเอง หอยโข่งตัวใหญ่กำลังขยับกายไต่ขึ้นตามลำต้นข้าวอย่างช้าๆเพื่อนำพาตัวเองขึ้นมาพักสายตามองหาวิสัยทัศน์ที่ดีขึ้น ต้นหญ้าขึ้นแซมเขียวขจีอยู่สองข้างคันนาที่ทอดยาวห่างออกไป มองเห็นสระน้ำอยู่ห่างไกลลิบลับ มีต้นใบหม่อนกลุ่มหนึ่งที่ชาวนาปลูกไว้คูสระน้ำขนาดใหญ่กำลังแตกใบเขียวสวยงามแข่งกับใบข้าวในท้องทุ่งกว้างแบบที่ไม่มีใครยอมใครซ๊ะอย่างงั้น และคงต้องเฝ้ารอหาคณะกรรมการผู้ตัดสินมาชี้ชัดว่าใครจะเป็นฝ่ายได้ความงดงามไปครองในที่สุด.


ควันไฟพวยพุ่งขึ้นมาจนจับกันเป็นก้อนลูกใหญ่แล้วตามมาด้วยเปลวเพลิงที่กำลังก่อตัวลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็ว สายลมที่พัดเข้ามาปะทะเบาๆก็สามารถทำให้เพิ่มการเผาไหม้ให้กับไม้กองใหญ่ได้เร็วยิ่งขึ้นจนต้องมีผู้คอยควบคุมอยู่ข้างๆถึงสองคน คนกลุ่มใหญ่ทะยอยเดินออกห่างมาจากจุดนั้นหลังจากที่พวกเราร่วมกันแสดงความไว้อาลัยครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้นลง จะมีเหลืออยู่บ้างก็คงเป็นกลุ่มของญาติพี่น้องของผู้ตายที่ยืนทอดสายตามองไปยังเปลวเพลิงที่กำลังบ้าคลั่งโถมไหม้กล่องไม้รูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ซึ่งภายในมีร่างที่ไร้วิญญาณนอนแน่นิ่งอยู่ อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าร่างของมนุษย์ร่างหนึ่งที่มีเนื้อหนังมังสาห่อหุ้มอยู่ก็คงจะเหลือแค่เศษเถ้ากระดูกให้ได้เห็นเท่านั้น ...อ่า.... ชีวิตคนเรามันมีแค่นี้จริงๆหรือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนหนีไม่พ้นจริงๆ จะมีให้เหลือไว้ก็แค่คุณงามความดีที่เล่าสืบกันต่อไป ส่วนใครที่ไม่ทำความดีก็คงจะแย่หนักเข้าไปอีกเพราะนอกจากตายไปแถมยังไม่มีความดีติดตัวไปด้วยอีกคงเป็นสิ่งที่หดหู่ใจเอามากๆ ชีวิตคนเราช่างเป็นอะไรที่ไม่แน่นอนเอาเสียเลยจริงๆ การใช้ชีวิตด้วยความประมาทเหมือนกับว่าเราย่ำเท้าข้างนึงลงไปบนภพภูมิอันต่ำลง ( ฉะนั้นควรต้องรีบฉุดยกขาตัวเองขึ้นมาโดยเร็วพลัน )

เสียงร้องไห้เสียใจยังมีอยู่บ้าง แม้ตัวผู้ตายเองจะไม่ค่อยได้สร้างความดีมากมายนักในตอนที่มีชีวิตอยู่ แต่เมื่อจบชีวิตลงแบบนี้บรรดาพี่น้องก็ยากที่จะทำใจได้ อุบัติเหตุการเสียชีวิตทางรถยนต์ดูจะมีมากขึ้นเป็นเท่าตัว สาเหตุหลักก็เกิดจากการขับขี่โดยประมาทและการดื่มสุราจนเมามาย ซึ่งต้องถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆเลยก็ว่าได้ที่ทำให้เกิดการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง บางรายก็บาดเจ็บ บางรายก็ถึงขั้นสาหัสและบางรายก็ถึงกับเสียชีวิต หรือแม้แต่การเสียชีวิตของทิดปักหนุ่มวัย26ปีชาวบ้านหนองนางามแห่งนี้ก็เช่นกัน แม้ชาวบ้านต่างรู้ดีว่าเป็นการเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุที่สุดวิสัยจริง แต่ก็มีชาวบ้านหลายคนหลายกลุ่มที่ลงความเห็นพ้องต้องกันว่า " เป็นเพราะผลของกรรม " ที่ทิดปักกระทำต่อพ่อกับแม่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ทิดปักนั้นเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นคนที่ชอบดื่มเหล้า พอเมาก็มักจะอาละวาดระรานคนอื่นไปทั่ว หนักเข้าผู้เป็นพ่อเป็นแม่เข้ามาห้ามปรามกลับโดนทิดปักต่อว่าพร้อมกับลงมือทุบตี หรือแม้บางครั้งทิดปักเคยคว้าท่อนไม้ฟาดใส่ผู้เป็นพ่อก็เคยมี แต่เดชะบุญที่ไม้ท่อนนั้นเฉียดผู้เป็นพ่อไปนิดเดียว จนคนทั่วไปที่พบเห็นต่างก็ส่ายหน้าเอือมระอาไปตามๆกัน

และเมื่อสองปีที่แล้วนี่เองเหมือนกับว่าเคราะห์กรรมจากการกระทำที่ไม่สมควรจะให้ผลทันตากับเขา เมื่อทิดปักเข้าทำงานที่โรงไม้แห่งหนึ่งในอำเภอมัญจาคีรีได้เพียงสองเดือน เขาก็ต้องสูญเสียนิ้วมือด้านขวาไปสามนิ้วเนื่องจากโดนเลื่อยไฟฟ้าตัด ชาวบ้านหลายคนลงความเห็นว่าเป็นผลของกรรมที่ทำต่อพ่อแม่ แต่ตัวทิดปักกลับเชื่อว่าเป็นเพราะอาการง่วงนอนของเขาจนต้องทำให้เผลอตัว และผลสุดท้ายเขาก็ต้องมาจบชีวิตลงแบบน่าสยดสยองหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า " ตายโหง " นั่นเอง สองวันที่แล้วทิดปักต้องนำไม้ไปส่งให้กับชาวบ้านตำบลท่าศาลา ซึ่งมีเพื่อนนั่งอยู่ด้านหน้าสองคน ส่วนด้านหลังมีทิดปักและเพื่อนอีกคนนั่งอยู่ด้วย และก็เกิดเหตุการไม่คาดคิดเมื่อรถที่ขับไปด้วยความเร็วเกิดยางระเบิดทำให้เสียหลักพลิกคว่ำ ทำให้กองไม้ที่วางทับกันอยู่เทกระจาดไหลลงมาทับร่างทิดปักสภาพเสียชีวิตคาที่ ส่วนเพื่อนที่นั่งข้างหน้าสองคนบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยและสิ่งที่น่าคิดไปมากกว่านั้น เพื่อนคนที่นั่งข้างหลังกับทิดปักได้รับบาดเจ็บเพียงนิดเดียวเนื่องจากกระดอนออกจากตัวรถด้วยแรงเหวี่ยงตั้งแต่รถตะแคงลงครั้งแรกเลยส่งผลให้ไม่โดนไม้ทับ จึงยิ่งทำให้ชาวบ้านเชื่อหนักเข้าไปอีกว่าเป็นเพราะผลกรรมตามสนองคืนทิดปักนั่นเอง

การยืนดูเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ก็คงจะทำได้แค่ช่วงเวลาไม่นานนักเพราะบรรดาญาติของทิดปักต้องกลับเข้าไปเตรียมงานต่อที่บ้านในฐานะเจ้าภาพ ส่วนทางนี้คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสัปเหร่อคอยดูแลกำกับต่อไป วัดอุดมคีรีเขต แม้จะเป็นวัดขนาดใหญ่ และบ้านหนองนางามเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่พอสมควร แต่กลับยังไม่มีเมรุเผาศพเป็นสัดส่วน ยังคงต้องใช้พื้นที่ของป่าช้าที่อยู่ติดกันกับวัดขึ้นไปเป็นที่ประกอบพิธีกรรม ส่วนเรื่องเมรุเผาศพนั้นขณะนี้ท่านหลวงพ่อพระครูเองก็กำลังอยู่ในช่วงดำเนินการหางบประมาณมาดำเนินการก่อสร้างอยู่ ซึ่งใจจริงท่านแล้วก็คิดว่าน่าจะทำก่อนศาลาการเปรียญหลังใหญ่นี้ด้วยซ้ำไป เพราะการเผาศพแบบนี้เป็นภาพที่ดูไม่ดีเท่าไรนักแต่ด้วยมติเสียงจากชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นว่าควรทำศาลาการเปรียญเสียก่อนซึ่งต้องเอาไว้ใช้ในงานพิธีสำคัญใหญ่ๆอยู่เรื่อย ทางท่านพระครูเองก็เลยต้องยอมรับกับเสียงข้างมากไป




พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปได้ไม่นานนัก ความมืดก็เข้ามาสับเปลี่ยนหมุนเวียนแบบรู้น่าทีทันที ยืนมองจากขอบหน้าต่างบนกุฏิออกไปด้านหลัง เห็นแสงถ่านไฟจากป่าช้าที่เผาศพยังแดงฉาน ทำให้สามเณรขวัญชัยต้องรีบปิดหน้าต่างกลับเข้ามา คิดหวนกลับไปเห็นภาพตอนบ่ายที่ตัวเขาออกไปชักผ้าบังสุกุลที่ทางมคทายกวัดนำไปพาดไว้ข้างโลงศพ แม้มือจะจับไปที่ผ้าแต่สายตาเขาก็อดที่จะมองเข้าไปดูร่างที่นอนไร้วิญญาณอยู่ไม่ได้ ภาพที่เห็นดูน่ากลัวกว่าที่เขาคิดไว้เยอะเลยเพราะใบหน้าและศรีษะของทิดปักนั้นยุบเบี้ยวไปทั้งแถบ คงจะเป็นเพราะถูกกองไม้ไหลลงทับนั่นเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญหน้ากับร่างที่ไร้วิญญาณหรือเรียกสั้นๆว่าผีนั่นเอง

" เตรียมโตห่มผ้าได้แล้วเพิน จักหน่อยหลวงพ่อใหญ่กะคือสิเอิ้นแล้ว กั่วสิย่างเข่าไปฮอดบ้านงานเพินอีก " สลัดภาพความคิดออกจากสมองแล้วหันไปบอกกับเพื่อนรักทั้งสองที่กำลังนอนให้ความสนใจกับหนังสือมนต์พิธีเล่มใหญ่อยู่ที่พื้นห้องให้เตรียมตัว โดยห้องนี้พวกเขาสามคนพักอยู่ร่วมกัน สามเณรวีระจักรผุดลุกขึ้นเตรียมตัวแต่ดูเหมือนว่าสามเณรไผ่ศธรจะลุกไม่ขึ้นแถมยังทำสีหน้าให้เพื่อนทั้งสองต้องแปลกใจเข้าไปอีก

" โอยย... เฮาลุกบ่ไหวดอกเพิน เจ็บท้องแฮงบ่แม่นสิเป็นโรคกระเพาะหล่ะหว๋า " ครางออกมาเบาๆใช้มือกุมไปที่ท้องของตัวเอง

" เอ๋า... คือเป็นแบบซี้น้อบาดหนิ เดี๋ยวเฮาแล่นไปบอกหลวงพี่พันก่อนเด้อ " สามเณรขวัญชัยหมายถึงหลวงพี่ที่อยู่ห้องข้างๆนั่นเอง แล้วก็รีบแจ้นออกจากห้องไปทันที ไม่นานนักสามเณรตัวน้อยก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับหลวงพี่นันโดยที่ทางหลวงพี่ถือขวดยาธาตุน้ำขาวติดมือเข้ามาด้วย " ยา " แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นยาแต่ก็ไม่สามารถทำให้อาการปวดของสามเณรไผ่ศธรหายขาดไปได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้ทุเลาอาการปวดลงไปได้สักพัก นี่คงจะเป็นเพราะการอดอาหารมื้อเย็นนั่นเอง เนื่องจากยังเป็นเด็กความต้องการทางด้านโภชนาการคือสิ่งจำเป็น และดูเหมือนจำเป็นมากในวัยนี้เสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้ายังบริโภคอยู่ก็จะกลายเป็นว่าผิดศิลในข้อที่6ไป ฉะนั้นก็เลยจำเป็นต้องทนปวดไปแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลวงพ่อพระครูเองท่านทราบเรื่องก็เข้ามาดูด้วยเช่นกัน และเมื่อดูอาการและสอบถามสามเณรไผ่ศธรแล้วท่านก็เลยตัดสินใจให้สามเณรตัวน้อยนอนพักในห้องโดยไม่ต้องตามพระและสามเณรรูปอื่นเข้าไปในหมู่บ้าน ซึ่งสามเณรตัวน้อยก็ให้คำยืนยันต่อท่านว่าสามารถอยู่ได้ไม่มีปัญหา ซึ่งหลังจากนั้นท่านก็นำพาพระภิกษุและสามเณรเดินเข้าหมู่บ้านเพื่อไปสวดมนต์เย็นที่บ้านงาน ท่ามกลางบรรยากาศความมืดเริ่มเข้าปกคลุม ปล่อยให้สามเณรตัวน้อยอยู่บนกุฏิเพียงลำพัง






ความเงียบสงบของวัดอุดมคีรีเขตมีมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่มันกลับเงียบวังเวงเข้าไปอีกเมื่อบนกุฏิหลังนี้เหลือเพียงสามเณรตัวน้อยเพียงรูปเดียว สามเณรตัวน้อยออกมายืนมองบรรยากาศภายนอกบนกุฏิ กุฏิหลังนี้ด้านหน้าเปิดกว้างโดยไม่มีแผ่นไม้ตีปิด ทำให้มองเห็นศาลาการเปรียญหลังใหญ่และสิ่งต่างๆโดยรอบได้ชัดเจน ยกเว้นทางด้านหลังกุฏิที่เป็นป่าช้า จะต้องแย้มหน้าต่างออกไปถึงจะมองเห็น แต่มันก็ไม่สมควรที่จะแย้มออกไปดูในช่วงจังหวะที่ต้องอยู่เพียงลำพังเช่นนี้ เพราะมันเงียบสงบจนน่าวังเวงหลังจากที่หลวงพ่อพระครูท่านนำหลวงพี่และสามเณรรูปอื่นเข้าไปยังหมู่บ้านได้สิบกว่านาทีแล้ว และป่านนี้ก็คงน่าจะถึงบ้านงานแล้วเป็นแน่แท้ ศาลาการเปรียญหลังใหญ่เปิดไฟไว้อยู่สองหลอดพอให้เห็นแสงสว่างฟากโน้น ต้นไทรใหญ่ที่อยู่ข้างๆแผ่กิ่งก้านสาขาย้อนเส้นสายลงมาจนดูน่ากลัวโดยที่ใต้ต้นไทรใหญ่มีม้าหินอ่อนวางไว้อยู่รอบโคนต้น สำหรับไว้ให้พระภิกษุสามเณรนั่งอ่านหนังสือหรือไว้ให้ชาวบ้านนักพักผ่อนหย่อนใจเมื่อได้เข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศอันร่มรื่นภายในวัด สายตาเริ่มมองสำรวจไปเรื่อยพร้อมกับใจหวิวๆอยู่ลึกๆเมื่อได้อยู่เพียงลำพัง จิตใจหวนคิดไปเห็นภาพในช่วงบ่ายที่ตัวเขาเองต้องออกไปชักผ้าบังสุกุล หันกลับเข้าไปในห้องก็รู้สึกเบาใจหน่อยเมื่อหน้าต่างถูกปิดไว้แล้ว ทำให้ไม่เห็นกองไฟจากป่าช้าที่ห่างออกไปประมาณสี่ร้อยเมตร พยายามสลัดความคิดออกจากสมองแต่ยิ่งพยายามกลับเหมือนทำให้คิดหนักกว่าเดิม คงน่าจะเป็นเพราะอยู่เพียงลำพังกับความเงียบนั่นเอง หันกลับไปมองที่ศาลาหลังใหญ่อีกครั้ง " พรึ๊บบ " สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ แสงสว่างจากหลอดไฟนีออนที่อยู่บนกุฏิและศาลาการเปรียญหลังใหญ่ดับมืดลงพร้อมๆกันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้สามเณรตัวน้อยออกอาการตื่นตระหนกถึงกับถอยหลังกรูดทันที..




สายตาเริ่มมองสำรวจไปเรื่อยๆพร้อมกับใจหวิวๆอยู่ลึกๆเมื่อได้อยู่เพียงลำพัง จิตใจหวนคิดไปเห็นภาพในช่วงบ่ายที่ตัวเขาเองต้องออกไปชักผ้าบังสุกุล หันกลับเข้าไปในห้องก็รู้สึกเบาใจหน่อยเมื่อหน้าต่างถูกปิดไว้แล้ว ทำให้ไม่เห็นกองไฟจากป่าช้าที่ห่างออกไปประมาณสี่ร้อยเมตร พยายามสลัดความคิดออกจากสมองแต่ยิ่งพยายามกลับเหมือนทำให้คิดหนักกว่าเดิม คงน่าจะเป็นเพราะอยู่เพียงลำพังกับความเงียบนั่นเอง หันกลับไปมองที่ศาลาหลังใหญ่อีกครั้ง

" พรึ๊บบ " สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ แสงสว่างจากหลอดไฟนีออนที่อยู่บนกุฏิและศาลาการเปรียญหลังใหญ่ดับมืดลงพร้อมๆกันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้สามเณรตัวน้อยออกอาการตื่นตระหนกถึงกับถอยหลังกรูดทันที.. ไม่ทันไรความตื่นกลัวก็เข้ามาที่อาการตื่นตระหนก เพราะสิ่งรอบข้างตอนนี้ดูมืดมิด เพ่งสายตามองผ่านเข้าไปยังหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักก็ไร้วี่แววซึ่งแสงสว่างให้เห็น

" สงสัยไฟฟ้าสิดับเหมิดเลยมั้ง คือจั่งบ่มีลมฟ้าฝนมันคือดับ.. ฮึเป็นนำบ้านงานเพินใซ้ไฟหลายเกินขนาดบ้อมันเลยซ็อตเอา " คิดปลอบใจตัวเองแต่ก็หวั่นไหวรู้สึกหวิวๆอยู่ข้างในยังไงชอบกล หูตอนนี้เหมือนรู้สึกว่าจะอื้อขึ้นมาดี้อๆ ลืมอาการปวดท้องไปชั่วขณะ สามเณรตัวน้อยเริ่มตั้งสติเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ที่กำลังเจออยู่ในขณะนี้ เดินถอยหลังเพื่อจะกลับเข้าไปในห้อง

" ปุ๊ก " ศรีษะกระแทกเข้ากับต้นเสากลางของกุฏิเสียงดังหนักแน่น แต่ไม่ยักกะมีเสียงร้องออกมาจากปากเลยสักแอ่ะ คงเพราะกลัวใครจะได้ยินนั่นเอง ต้องหยุดชงักงันให้อาการเจ็บปวดคลายลงสักพักก่อน ตอนนี้พยายามที่จะปรับสภาพสายตาให้คุ้นชินกับความมืดให้ได้โดยเร็วที่สุด และก็รู้สึกว่าจะทำได้ดีด้วยเมื่อเริ่มมองเห็นอะไรเลือนลางท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมอยู่รอบด้าน

" ฮือ... ฮือ... ฮือ.. " หูแว่วคล้ายได้ยินเสียงคนร้องไห้ดังแว่วมาแต่ไกล มองตรงไปศาลาการเปรียญหลังใหญ่พลันต้องขนลุกซู่ขึ้นมาในทันที เมื่อสายตาไปเจอะเข้ากับสิ่งๆหนึ่งและทำให้สีหน้าแววตาของสามเณรตัวน้อยต้องตื่นตระหนกจนยากที่จะควบคุมสติของตัวเองได้ เพราะสิ่งที่เขามองเห็นก็คือมีร่างดำทะมึนที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่ตรงม้าหินอ่อนใต้ต้นไทรใหญ่ ....ต้องยกมือขึ้นมาขยี้ตาตัวเองเหมือนกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้เป็นเพราะความกลัวจนเกิดมโนภาพภายในจิตขึ้นมาเองหรือเปล่า แต่ขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าภาพที่มองเห็นอยู่ในขณะนี้ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่ยอมหายไปไหน

" ฮือ... ฮือ.. ฮือ .." คล้ายเสียงคนร้องไห้ดังออกมาจากร่างนั้น ฟังแล้วมันช่างเป็นเสียงที่เยือกเย็นเข้าไปถึงข้างในเล่นเอาสามเณรตัวน้อยถึงกับสั่นเทา ความกลัวเข้ามาครอบงำทันที




" อ้ายทิดปัก " สมองนึกไปถึงโดยพลัน และนี่ก็เป็นคืนที่สามแล้วที่ทิดปักเสียชีวิต เคยได้ยินคนกล่าวไว้ว่า ใครก็ตามหลังจากที่เสียชีวิตได้สามวันแล้ว วิญญาณจะเริ่มรู้ตัวเองว่าได้พ้นจากสภาพความเป็นมนุษย์แล้ว และก็จะเกิดความอาลัย นึกได้ สำนึกผิดว่าในช่วงที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ได้ทำสิ่งไหนลงไปบ้าง ทำให้สามเณรตัวน้อยเริ่มจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดมากขึ้น สิ่งที่ควรจะทำในตอนนี้ก็คือต้องพยายามกลับเข้าไปในห้องตัวเองให้เร็วที่สุด สายตาตอนนี้ชินกับความมืดแล้วทำให้มองเห็นสภาพบนกุฏิชัดขึ้น มองเห็นห้องตัวเองที่ตอนนี้ประตูเปิดอ้าอยู่ สามเณรไผ่ศธรเดินย่องเบาเข้าไปที่ห้องตัวเองเหมือนกับกลัวว่าร่างดำทะมึนที่ต้นไทรใหญ่จะได้ยินเอา บรรจงดึงประตูห้องปิดเข้ามาแบบแผ่วเบาพร้อมกับค่อยๆใส่ลูกกลอนเสร็จสรรพ

" เฮ้อ " เสียงถอนหายใจโล่งไปเปลาะนึงแต่ก็ยังไม่คลายความกลัวไปได้ ชำเลืองสายตาไปมองที่หน้าต่างที่ตอนนี้ถูกปิดสนิทเช่นกัน แต่กลับทำให้เขาแปลกใจขึ้นมาอีกเมื่อมองเห็นแสงไฟผ่านทะลุช่องไม้ที่แตกปริอยู่ส่องเข้ามาภายในห้อง จนอดที่จะแนบสายตาเพื่อส่องดูให้รู้ว่าเป็นแสงไฟมาจากที่ใด และก็ได้คำตอบทันที เมื่อสายตามองเห็นถ่านไฟสีแดงตรงป่าช้า ทำให้ต้องรีบดึงตัวออกมาจากตรงนั้น ควานหาไม้ขีดกับเทียนเล่มเพื่อที่จะจุด " คันเฮาจุดเทียนผีหลอกแฮ่งต๊ะสิฮู้ว่าเฮาอยู่หม่องหนี่ " ตัดสินใจเลือกที่จะอยู่แบบมืดๆเช่นเดิม เมื่อความกลัวเข้าครอบงำสิ่งที่คิดได้ตอนนี้ก็คือต้องหาที่พึ่งให้กับตัวเอง

" พระพุทธรูป " สมองภายในแว๊บขึ้นมาทันที สามเณรตัวน้อยตัดสินใจค่อยๆปลดกลอนเปิดประตูห้องออกอีกครั้ง แล้วค่อยๆก้มตัวต่ำเดินย่องตรงไปที่ฝั่งทางห้องของหลวงพ่อพระครูฯ จุดมุ่งหมายก็คือโต๊ะหมู่บูชาซึ่งเป็นจุดที่ใช้ทำวัตรสวดมนต์เช้า-เย็น เป็นประจำทุกวัน โต๊ะหมู่นี้มีพระพุทธรูปอยู่หลายองค์ เขาเลือกอุ้มเอาองค์ที่มีขนาดเล็กสุดขึ้นมา ความรู้สึกอุ่นใจมีขึ้นบ้างเล็กน้อย เพราะอย่างน้อยก็เชื่อว่าผีน่าจะกลัวพระพุทธรูปมากกว่าสามเณรน้อย

" ฮือ.. ฮือ.. ฮือ ..ฮือ.. " เสียงเยือกเย็นยังดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทจนต้องรีบย่องกลับเข้าไปในห้องตัวเองอีกครั้ง สามเณรตัวน้อยอุ้มพระพุทธรูปไว้แนบอกนั่งซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดของห้อง เม็ดเหงื่อเริ่มผุดออกมาตามตัว จิตใจตอนนี้พลางนึกไปถึงโยมพ่อให้ออกมาช่วยนำพาให้เขาผ่านพ้นวิกฤติแห่งความกลัวนี้ไปได้ทีเถอะ พยายามข่มเปลือกตาให้หลับลงบังคับสมองไม่ให้นึกไปถึง และก็ทำได้สำเร็จเมื่อความหลับไหลเข้ามาครอบงำแทนความกลัว นานเท่าไรไม่รู้ มารู้สึกตัวก็เมื่อได้ยินเสียงของคนคุยกันดังอยู่ข้างล่างกุฏิ

" อยู่จั่งได๋น้อองค์เดียวลูกเณรเอ๊ย เป็นตาหลูโตนฮ้าย "

" อ้ายนันเจ้าฟ้าวขึ่นไปเบิ่งน้องเร็วๆแน บ่แม่นย้านป้าดโธ้แล้วเบาะ "

" เงียบคัก คือสิอักอยู่ในห่องหล่ะหว๋า "

" เร็วๆแนอ้ายทิดใยไกล้สิอดบ่ไหวคือกันแล้วเด๊ะ "

" อย่าพากันย้านให่น้องเห็นเด้อหล่ะ น้องเณรสิตื่นนำ "


สามเณรตัวน้อยแนบหูลงกับพื้นห้องเพื่อจับสัญญาณเสียงให้ชัด พลันรอยยิ้มก็เกิดขึ้น หัวใจพองโตเพราะเสียงที่เขาได้ยินก็คือเสียงของแม่และพี่ๆเขานั่นเอง บรรจงวางพระพุทธรูปไว้กับหัวนอน กุลีกุจอลุกขึ้นไปปลดกลอนประตูห้องพร้อมกับเรียกหาโยมแม่ที่อยู่ข้างล่างทันที ...แม้ไฟฟ้าจะยังดับอยู่แต่สามเณรตัวน้อยก็เหมือนมีแสงสว่างอยู่ข้างตัวเพราะตอนนี้เขามีแม่และพี่ทั้งสองมานั่งอยู่เป็นเพื่อนให้หายจากความหวาดกลัว ยืนขึ้นมองไปยังศาลาการเปรียญหลังใหญ่ตรงจุดนั้นอีกที ตอนนี้ภาพที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ได้อันตรธานหายไปแล้วและเขาก็คงจะเก็บไว้ในใจไม่กล้าที่จะเล่าให้แม่กับพี่ๆฟัง

แสงเทียนก็ถูกจุดให้สว่างขึ้นในเวลาต่อมา

" แม่บ่เห็นเข่าไปในบ้านนำหมู่กะเลยถามเณรขวัญเบิ่ง เลาว่าลูกเณรเจ็บท้องเป็นโรคกระเพาะ แม่กะเลยฟ้าวซวนเอาเอื้อยกับอ้ายเขาออกมาเบิ่งนี้หล่ะ พอดีไฟมันซ็อตอยู่บ้านงานเพินมันกะเลยดับ แม่กะฟ้าวพากันจ้าวออกมาหาย้านลูกเณรย้าน แนวอยู่ผู้เดียวเนาะ "
ป้าไหมบอกและแสดงสีหน้าด้วยความเป็นห่วงออกมา

" ครับโยมแม่ ตอนนี้กะเซาปวดแล้วหล่ะครับ " นึกอยากจะบอกแม่ไปว่าหายปวดเพราะความกลัวผีก็ดูจะกระไรอยู่จึงบอกเฉไฉไปทางอื่น

" ผมกะอยู่ได้อยู่ดอกครับโยมแม่ พอดีอาศัยหลวงพ่อใหญ่เพินกะเลยอุ่นใจบ่ย้านปานได๋ครับ " บอกและชี้มือไปทางโต๊ะหมู่บูชาที่ตั้งอยู่พลางหลบซ่อนสายตาไม่ให้ผู้เป็นแม่รู้เพราะกลัวแม่จะไม่สบายใจ

หลังจากที่ป้าไหม สายใยและทิดนัน นั่งคุยอยู่กับสามเณรไผ่ศธรได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ความสว่างไสวจากหลอดนีออนก็กลับคืนมาในสภาพปรกติ ยังความอุ่นใจให้กับสามเณรตัวน้อยได้มากขึ้น หลังจากนั้นไม่นานนักทางหลวงพ่อพระครูฯ พระลูกวัดรวมไปถึงสามเณรก็กลับมาถึงวัด ทางป้าไหมเองจึงขอตัวกลับ ซึ่งทางสามเณรตัวน้อยเองก็ยืนมองมารดาและพี่ทั้งสองของเขาเดินออกจากวัดไปจนลับสายตา พลางตั้งคำถามในใจกับตัวเองว่าสิ่งที่เห็นอยู่ใต้ร่มไทรใหญ่นั้นเป็นภาพลวงตาหรือภาพจริงกันแน่

" ใยเอ๊ย... อั่นที่พวกเฮาเห็นอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ข้างศาลาอย่าเว้าไปให่ผู้อื่นได้ยินเด้อหล่า เดี๋ยวมันสิไปเข่าหูน้องเณรเฮา แม่หลูโตนน้อง " เสียงป้าไหมบอกกำชับลูกสาวหลังจากที่กลับมาถึงบ้าน พลางขนลุกซู่เมื่อนึกไปเห็นร่างๆหนึ่งในความมืดที่นั่งกุมหน้าร้องไห้อยู่ ซึ่งป้าไหมเองเชื่อว่านั่นคือวิญญาณของทิดปักนั่นเอง.....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น