จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 1


ตอน ปฐมกรรม 1


...ชะตาชีวิตของคนเราแต่ละคนนั้นย่อมไม่เหมือนกัน แต่ละคนแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง แต่ละคนมีทั้งดีและไม่ดีคลุกเคล้ากันไป เราสามารถที่จะแก้ไขตัวเองไปในทางที่ดีได้ในปัจจุบันเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว แต่กรรมเก่าเราไม่อาจรู้ได้ว่าที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรสิ่งใดไว้บ้างถึงได้ส่งผลให้ต้องได้รับได้เจอในภพปัจจุบัน ชะตาชีวิตคนเราขึ้นอยู่กับกรรมเก่าและกรรมใหม่ เหมือนดังที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า " สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" กรรมย่อมเป็นไปตามดุลยภาพแห่งการกระทำ ความแรงของกรรมขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของผู้กระทำและมักจะส่งผลโดยทางตรงและทางอ้อม ถ้าวันหนึ่งวันใดชีวิตของเราต้องผกผันตกต่ำ ด้อยโอกาสในวาสนาบารมี เกิดท้อใจจนย่อหย่อนในการดำเนินชีวิต ปล่อยชีวิตให้ระหกระเหินตกต่ำโดยไม่คิดสู้ ยิ่งมีวิบากกรรมมากทุกข์ทรมานมาก ก็ยิ่งต้องดิ้นรนให้มาก หาทางสร้างคุณงามความดีชดเชยให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นดีกว่า เพราะถ้าเป็นกรรมที่เบาบางก็อาจหายไปได้ ถ้าเป็นกรรมหนักก็จะบรรเทาเบาบางลงไปครับผม.....




... ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลงต่ำจนเกือบจะถึงยอด "ภูเม็ง" ภูเขาลูกยาวที่กินพื้นที่ไปหลายอำเภอของจังหวัดขอนแก่น และภูเขาลูกนี้ยังเป็นเขตกั้นแดนระหว่าง อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น กับ อำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิอีกด้วย แสงสีส้มอ่อนของดวงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องกระทบยอดไม้ อีกไม่นานนักสรรพสิ่งรอบข้างก็คงมืดมิดเป็นไปตามวัฐจักรแห่งกาลเวลา สายฝนยามเดือน7 ที่เทกระหน่ำลงมาช่วงบ่ายยังความชุ่มชื้นให้กับผืนดินและสิ่งมีชีวิต ท้องทุ่งนาบางแห่งถึงกับมีน้ำท่วมขัง ขวย "จิ้งโกร่ง" (จิโปม) ที่แต่ก่อนผุดขึ้นใต้ต้นหว้าต้นใหญ่อยู่ละลานตา ซึ่งเจ้าของมันใช้เป็นที่อำพรางตัวขุดรูกบดานอยู่ข้างล่าง เสมือนนักรบที่คอยระแวดระวังภัยเมื่อมีศัตรูคุกคาม ตอนนี้เกราะกำบังข้างบนของมันถูกน้าฝนชะล้างจนมองแทบไม่เห็นเค้า ดอกบาน ค่ำตามคันนาบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมคละเคล้ากับกลิ่นของผักแขยงที่กำลังแตกใบเขียวสวย กลิ่นสาบของไอดินโชยกรุ่นเข้ามาปะทะนาสิก ยังความอิ่มเอมใจให้แก่ชาวนา อีกไม่นานนักพวกเขาก็จะได้ทำหน้าที่ของพวกเขาอีกครั้งนึง ซึ่งมีโอกาสเพียงแค่ปีละครั้งเท่านั้นเอง เสียงเขียดจะนาน้อยร้องคอรัสประสานเสียงร้องระงมไปทั่วท้องทุ่งนา เสมือนเป็นดนตรีชั้นเลิศขับกล่อมบรรเลงสรรพสิ่งรอบข้าง เพิ่มเสน่ห์ให้กับผืนดินถิ่นอีสาน ที่เหมือนมีมนตราดึงดูด "อาคันตุกะ" ผู้ที่ไม่เคยได้พบเห็นได้สัมผัสบ่อยครั้งนัก เฝ้าปรารถนาที่จะได้พบเจอและกลับมาสัมผัสกับกลิ่นอายของธรรมชาติแบบนี้อยู่ร่ำไป....


" ไผ่เอ๊ยไผ่...ไผ่เอ๊ย.. ไปไสอีกน้อมันค่ำมันมืดแล้วคือจั่งบ่เห็นมาอาบน้ำอีกอยู่ ...ใยเอ๊ย...น้องหนีไปเหล่นทางได๋อีกหล่ะ เห็นจูงควายมาเข่าคอกแล้วคือจั่งหายมิดจ้อยเลย " เสียงป้าไหมร้องตะโกนออกมาจากบ้านถามลูกสาว เมื่อตะโกนเรียกหาลูกชายไม่พบ ควันไฟกำลังพวยพุ่งขึ้นมายังจุดที่แกอยู่ หม้อนึ่งถูกยกขึ้นวางไว้ที่เตาไฟเพื่อเตรียมที่จะนึ่งข้าวในตอนเย็น

" ใยว่าคือสิไปเหล่นนำเขาบักขวัญคือเก่านั่นหล่ะแม่ ไปไสไกลบ่เป็นดอกนอกจากหม่องหั่น " สายใย ลูกสาวคนสวยที่พึ่งแต่งงานไปเมื่อไม่กี่เดือนร้องตอบแม่กลับเข้าไป ขณะสาละวนเก็บยอดผักชะอมที่ปลูกไว้อยู่ข้างรั้วบ้าน ช่วงนี้ฝนตกอยู่เป็นระยะๆมันทำให้ต้นชะอมแตกยอดอ่อนเขียวอยู่ทั่วต้น

" ไปนำน้องมาอาบน้ำแนไป๋หล่า มันมืดมันค่ำแล้ว " เสียงป้าไหมยังดังแว่วออกมาจากข้างใน

" โอ๊ย...เดียวมันกะกลับมาเองดอกแม่ อย่าไปยากนำมันหลาย // อ้ายนันเลากะจั่งแม่นโดนเข้าบ้าน คือว่าสิออกไปส่องเบิ่งนาคาวเดียวนึง " ตอบผู้เป็นแม่กลับไปและสุดท้ายมาลงน้ำเสียงบ่นให้ผู้เป็นสามี


" ไหม " หญิงหม้ายวัย 35ปี ผู้มีลำเนาอยู่ " เมืองปราสาทหิน ถิ่นภูเขาไฟ" ดินแดนที่ขึ้นชื่อว่า "ตำน้ำกิน" ต้องย้ายตัวเองขึ้นมาอยู่กับทิดไกรผู้เป็นสามีที่ บ้านหนองนางาม อำเภอ มัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ตั้งแต่ตอนอายุ 25ปีหลังจากแต่งงานได้เพียงแค่อาทิตย์เดียว หลังจากนั้นไม่นานทิดไกรก็พาไหมแยกครอบครัวออกมาจากผู้เป็นพ่อและแม่ โดยที่พ่อของเขาได้แบ่งที่สวนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลังที่แกอยู่มากนักใช้เป็นที่ปลูกบ้านหลังใหม่ของพวกเขา การสร้างอนาคตร่วมกันของพวกเขาถูกดำเนินไปตามวิถีทางแบบที่เรียบง่าย ทิดไกรยังได้ที่นาที่ผู้เป็นพ่อแบ่งมาให้อีกหนึ่งแปลงจำนวน 15ไร่ เพื่อให้ลูกชายและลูกสะใภ้ได้ประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองต่อไป แต่เหมือนชะตาฟ้าลิขิตถูกสวรรค์แกล้ง หลังจากที่แต่งงานอยู่กินกันได้เพียงแค่ 12ปี ทิดไกรก็พลันเสียชีวิตลงก่อนวัยอันควรแบบที่ใครๆไม่คาดคิดด้วยระบบหัวใจล้มเหลว หรือทางภาคอีสานเรียกว่าโรคไหลตายนั่นเอง ยังความเสียใจให้คนที่อยู่ข้างหลังเป็นทวีคูณโดยทิ้งพยานรักไว้ให้ไหมดูต่างหน้าถึงสองคน นั่นก็คือสายใย และเจ้าไผ่นั่นเอง

... หมู่บ้านหนองนางาม ตำบลหนองนางาม อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่400กว่าหลังคาเรือนเลยทีเดียว เดิมหมู่บ้านแห่งนี้ชื่อว่า บ้านหนองหญ้าไซ แต่ต่อมาต้องเปลี่ยนเป็นหนองนางามเนื่องจากสาเหตุ ได้มีที่นาแปลงหนึ่งอยู่เหนือหมู่บ้านติดกับหนองหญ้าไซ หนองน้ำประจำหมู่บ้าน เจ้าของที่นาผืนนี้เมื่อถึงฤดูทำนาเขาไม่เคยได้ใส่ปุ๋ยหรือแม้แต่มูลสัตว์เลย แต่ข้าวที่ปักดำไว้กลับงอกงามออกผลผลิตให้แก่เจ้าได้มากในทุกๆปี และเมื่อนำชื่อมาเปรียบเทียบกัน คำว่าหนองหญ้าไซที่คนนำมาบริโภคไม่ได้ แต่คำว่านางาม (ซึ่งเป็นข้าว) เป็นพืชที่คนรับประทานได้ คนเก่าแก่แต่ก่อนจึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ชื่อนี้แทน และหนองน้ำ " หนองหญ้าไซ " ก็ถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็น "หนองนางาม " โดยปริยายเช่นกัน...





" เย๊...เย๊.....เอาอีก... จั่งซั่นแนแม๊ะเนาะ โฮ้....เที่ยวนี้หมุนหลายรอบขนาดเลยเว๊ย..คัก...คัก.." เสียงดังมาจากซุ้มหน้าบ้านหลังหนึ่ง แสงไฟภายในบ้านยังพอให้พวกเขามองเห็นกับกิจกรรมที่กำลังทำกันอยู่ในตอนนี้

" ตายแท้ๆปลากัดโตเพินจักร ถืกปลากัดเฮาหย่องกัดจนปากส่อยโตส่อยเหมิดแล้ว เอาอีกบักหล่า... เอาอีก... น้านหล่ะ ฮ่าๆๆ ได้ใจขนาดเลยเว๊ย " เสียงร้องเชียร์ของเจ้าไผ่เด็กนักเรียน ที่พึ่งจะจบชั้นป.6ออกมาได้ไม่นานนั่นเอง พร้อมกับเต้นแสดงอาการลิงโล้ดดีใจเมื่อปลากัดตัวเก่งของเขาไล่กัดปลากัดของจักรเพื่อนรักจนเกิดแผลไปทั่วตัว

" แย่ขนาดเลยว่ะ..เฮาอุตส่าห์เลือกเอาโตที่คิดว่าสุดยอดออกมาแล้วคือเป็นแบบซี้ไปได้ว่ะ // เอาคืนเว๊ย..มึงกัดแพ้ถืกโยนเข่ากองไฟแท้ๆหล่ะงานนี้ " เสียงจักรบ่นออกมาแสดงให้เห็นว่าอารมณ์กำลังไม่จอยกับเจ้าปลากัดของเขา

" ใจเย็นเพินจักรใจเย็น..เฮาว่ามันถืกกัดไปคักแล้วจนบาดไปเหมิดโตเฮาว่าเทน้ำออกสา... เซาเถาะเนาะ " ขวัญให้ความเห็นกับเพื่อนสายตายังจับจ้องไปที่ขวดโหลขนาดกลางที่ตอนนี้ข้างในมีปลากัดสองตัว ซึ่งตัวหนึ่งดูจะมีแผลเหวอะไปทั่วลำตัวเนื่องจากถูกปลาอีกตัวไล่กัด

" เดี๋ยวก่อนเพินขวัญกำลังมันส์เลย " จักรบอกพร้อมกับลุ้นปลากัดของตัวเองให้ฮึดสู้ปลากัดของไผ่อีกครั้ง แต่เมื่อดูแล้วสถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ไปกันใหญ่และผลสุดท้ายปลากัดของจักรต้องออกโง่หนีอย่างไปเป็นท่า

" ฮ่าๆๆ เป็นได๋เพินจักร เฮาว่าแล้วปลากัดของเฮาโตนี้บ่ธรรมดา " ไผ่ร้องดีใจออกมาเมื่อรู้ว่าปลาของตัวเองเป็นฝ่ายชนะ

" เทน้ำออกเร็วหลูโตนมัน " ขวัญกระตุ้นไผ่เพื่อนรักให้เทน้ำจากขวดโหล ไผ่จัดการตามที่เพื่อนบอกและเขาก็นำปลากัดเข้ายังขวดของเขาที่เตรียมไว้ก่อนหน้านั้น

" ออกโง่เลยเนาะมึง อุตส่าห์ตั้งใจสิแก้คืนเถี่ยวก่อนกะยังบ่ได้อยู่...โง่คักแม่นบ่....โง่หลายมึงต้องเจอแบบซี้ " จักรสบถออกมาเมื่อไม่พอใจกับฟอร์มปลากัดของเขา และเขาก็ทำในสิ่งที่เพื่อนรักทั้งสองไม่คาดคิดเมื่อจับปลากัดของเขาเดินตรงไปที่เตาไฟ ซึ่งแม่ของขวัญก่อไว้อยู่หน้าบ้าน

" ฮ๊ะ... เฮ๊ยย.... เพินจักรอย่า " เสียงไผ่และขวัญดังขึ้นพร้อมกัน


ตอน ปฐมกรรม (ต่อ)

..กรรมชั่วที่เราทำด้วยเจตนา ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจก็ตาม ถึงเราจะไม่สามารถลบล้างได้ แต่เราสามารถทำกรรมดี ทำดีให้มากๆ หรือดีอันยิ่งใหญ่ เพื่อไม่ให้กรรมชั่วบางชนิดมีโอกาสให้ผล หรืออาจจะเข้าไปตัดรอนกรรมชั่วนั้นลงได้โดยเด็ดขาด ( อุปฆาตกกรรม) หรือเข้าไปลดกรรมชั่วนั้นให้มีโอกาสให้ผลน้อยลง เบาบางลง (อุปปีฬกกรรม) อีกทั้งกรรมดีที่เราทำนั้นก็จะไปสนับสนุนกรรมดีที่เรามีอยู่ให้มีโอกาสให้ผลเต็มที่ (อุปัตถัมภกรรม) เหมือนดังพระบรมราโชวาทในลักษณะที่ว่า "เราไม่สามารถทำทุกคนให้เป็นคนดีได้ทั้งหมด แต่เราต้องสนับสนุนคนดีให้คนดีได้ปกครองบ้านเมืองเพื่อป้องกันคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ " ฉะนั้น เราไม่สามารถล้างกรรมชั่วได้ทั้งหมด แต่เราสามารถทำกรรมดี เพื่อให้กรรมดีมีอำนาจมากกว่ากรรมชั่ว ไม่ให้กรรมชั่วมีอำนาจมากกว่า หรือไม่ให้กรรมชั่วมีโอกาสให้ผลได้ เมื่อเราทำกรรมดีมากๆ ดีอย่างที่สุด ดีอย่างยิ่งใหญ่ กรรมดีที่เราทำนั่นแหล่ะ จะเข้าไปตัดรอน เข้าไปเบียดเบียนกรรมชั่ว ไม่ให้กรรมชั่วมีโอกาสให้ผลได้ ตัวอย่างในสมัยพุทธกาล ก็อย่างเช่น ท่านองคุลิมาล ฆ่าคนมาเป็นร้อยเป็นพันคน แต่ทำกรรมดีอันยิ่งใหญ่คืออรหันตมรรค อรหันตผล ซึ่งกรรมชั่วที่จะนำไปสู่อบายภูมิเป็นอันไม่มี กลายเป็นอโหสิกรรมไป (กรรมที่ไม่มีโอกาสให้ผล หรือให้ผลไม่ทัน หรือกรรมที่ผ่านพ้นไปแล้ว) เพียงมีแต่เศษกรรมเล็กๆ น้อยเท่านั้น

(แต่นั่นการทำความดี นั่นแหล่ะ ดีที่สุด)

บทความดีๆจากพระพุทธศาสนาครับ




" ออกโง่เลยเนาะมึง.. อุตส่าห์ตั้งใจสิแก้คืนเถี่ยวก่อนกะยังบ่ได้อยู่...โง่คักแม่นบ่....โง่หลายมึงต้องเจอแบบซี้ " จักรสบถออกมาเมื่อไม่พอใจกับฟอร์มปลากัดของเขา และเขาก็ทำในสิ่งที่เพื่อนรักทั้งสองไม่คาดคิดเมื่อจับปลากัดของเขาเดินตรงไปที่เตาไฟ ซึ่งแม่ของขวัญก่อไว้อยู่หน้าบ้าน

" ฮ๊ะ... เฮ๊ยย.... เพินจักรอย่า " เสียงไผ่และขวัญดังขึ้นพร้อมกันเมื่อเห็นจักรเพื่อนรักโยนปลากัดของเขาเข้าไปที่เตาไฟ ถือว่าโดนไปแบบสองเด้งเลยสำหรับปลากัดตัวนี้ แค่บอบช้ำจากบาดแผลที่ได้รับจากสนามการต่อสู้ก็นับว่าแย่พอแล้ว

" เพินจักรแหมะ.. ไปโยนมันเข่ากองไฟเฮ็ดหยั๋งคือบ่เอากลับไปปล่อยคืนหนอง " ขวัญหมายถึงหนองนางาม หนองน้ำประจำหมู่บ้าน " หนองนางาม " หนองน้ำที่มีขนาดใหญ่ เป็นที่ชุกชุมของปลาอยู่หลายสายพันธุ์ ทั้งที่มีเองตามธรรมชาติและก็มีไม่น้อยเลยทีเดียวที่ชาวบ้านร่วมกันปล่อยลงแทบทุกๆปี ที่สำคัญหนองน้ำแห่งนี้ไม่เคยเหือดแห้ง นับว่าหนองน้ำแห่งนี้ยังประโยชน์ให่แก่ชาวบ้านหนองนางามและหมู่บ้านไกล้เคียงได้มากมายเลยทีเดียว

" ซางมันเถาะ.. ปะสาปลากัดขี่แพ้โตเดียวมันบ่สมควรสิได้กลับคืนหนองน้ำดอก มันสมควรตายหลายกั่วที่เฮ็ดให่เฮาอารมณ์เสีย " จักรบอกพร้อมกับยืนมองปลากัดที่กำลังถูกไฟเผาไหม้

" อ้าวๆ... พากันเลิกได้แล้วเด้อ ค่ำมืดตืดตาแล้วมาหาอาบน้ำกินเข่าได้แล้วขวัญเอ๊ย... พากันเหล่นหยั๋งกะด้อกะเดี้ยแท้ บักไผ่กับบักจักรกะกลับบ้านได้แล้วหล่า บ่แม่นแม่สูจ่มหาแล้วติ " เสียงทิดจวนพ่อของเจ้าขวัญดังออกมาจากข้างในบ้าน

" เฮากลับก่อนเด้อสั่นหน่ะเพิน มื้ออื่นค่อยว่ากันใหม่ " ไผ่บอกเพื่อนรักพร้อมกับคว้าคอขวดปลากัดของเขาเดินฝ่าความมืดกลับบ้านซึ่งอยู่ไกลออกไปไม่เท่าไรนัก ส่วนจักรเองก็กลับเช่นกันแต่แยกกันคนละทาง บ้านของไผ่นั้นอยู่ทางทิศตะวันออกส่วนบ้านของเจ้าจักรอยู่ทิศเหนือบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัด " อุดมคีรีเขต " สถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจพุทธศาสนิกชนและเป็นที่หล่อหลอมจิตใจของชาวบ้านหนองนางามนั่นเอง ถัดกันไปไม่เท่าไรก็เป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียนบ้านหนองนางาม โรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษา

..เมื่อกลับมาถึงบ้าน เจ้าไผ่นำขวดปลากัดของเขาเข้าไปเก็บไว้ที่ห้องน้ำ เหตุผลที่เขาเลือกนำมาไว้ตรงจุดนี้ก็เพราะ ห้องน้ำเป็นที่เย็น อากาศไม่ร้อนทำให้ไม่เกิดปัญหากับปลากัดของเขา ตอนนี้เขามีปลากัดอยู่ในความดูแลถึง20ตัวเลยทีเดียว เขาใช้ไม้กระดานปูวางทับไปบนก้อนอิฐเพื่อยกให้สูงจากพื้นขึ้นมาหน่อย ขวด20ขวดถูกตั้งเรียงรายโดยมีแผ่นกระดาษปิดคั่นเพื่อป้องกันไม่ให้ปลากัดแต่ละตัวมองเห็นกัน ใช้ต้นหญ้าใส่ลงในแต่ละขวดเพื่อให้ปลากัดได้พักตัวด้วย อาหารสำหรับปลาก็ดูจะหาได้ง่ายตามแอ่งน้ำทั่วไปนั่นก็คือ "ลูกน้ำ" นั่นเอง

" ไผ่เอ๊ย..ฟ้าวอาบน้ำเด้อหล่า แล้วๆสิได้มากินเข่า " นันร้องบอกเมื่อรู้ว่าเป็นเสียงใครอยู่ในห้องน้ำ

" ครับพี่อ้าย.. ผมเบิ่งปลากัดจักคาวก่อนครับเดี๋ยวกะแล้วดอก "
น้ำพริกปลาทูกับทอดไข่ใส่ผักชะอม เป็นเมนูง่ายๆสำหรับมื้อค่ำของครอบครัวเล็กๆครอบครัวนี้ วิถีคนอีสานการกินอยู่ช่างเรียบง่ายนัก ความฟุ้งเฟ้อ การเห่อตามแฟชั่นสมัยนิยม ยังไม่มีให้เห็นเหมือนดั่งเช่นทุกวันนี้ ซึ่งนับวันดูจะรุนแรงตามกระแสเหลือเกินเพราะรับเอาวัฒนธรรมจากโลกตะวันตกเข้ามาใช้จนน่าใจหาย...

บทเกริ่นจากตัวคนเขียนบท..กรรมลิขิต

ไผ่ ขวัญ จักร 3สหายสายเลือดลูกอีสานที่สาบานร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมเป็นร่วมตายคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สัญญาที่จะไม่ทอดทิ้งกัน ติดตามชีวิตเรื่องราวของพวกเขาว่า แต่ละคนจะเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองดำเนินไปในทิศทางไหน และเส้นทางของชีวิตแต่ละคนจะจบลงอย่างไร
ช่วยลุ้นช่วยติดตามเชียร์พวกเขาได้ในนวนิยายเรื่องยาว กรรมลิขิต ผ่านจินตนาการอันโลดแล่นอีกครั้งกับคนแดนไกลแต่หัวใจคงเดิม

โดย รุทธิ์ อีเกียแดง


ตัวอย่างบางตอน....

(บทบรรยาย) ผู้เขียนใช้ภาคภาษาไทยครับ
(บทสนทนา) ผู้เขียนใช้ภาคภาษาอีสานนะครับ

" เอ้อ...แล้วพวกมึงสามคนซือจั่งได๋กันแนหล่ะ " เสียงหลวงพ่อพระครูฯผู้มีอภิญญาเป็นเลิศในแทบทุกด้าน เอ่ยปากถามพร้อมกับจ้องมองไปยังเด็กทั้งสามคนที่กำลังนั่งก้มหน้าสงบเสงี่ยมอยู่ยังเบื้องหน้าของท่าน

" ผมซือขวัญครับ... ผู้นี้ซือไผ่ ส่วนถัดไปซือว่าจักรครับ พวกผมเป็นหมู่กันครับหลวงพ่อ " เด็กชายตัวน้อยที่ชื่อขวัญเอ่ยปากบอกพร้อมกับพนมมือไหว้ แสดงให้เห็นว่าผ่านการอบรมบ่มนิสัยมาพอสมควร

" เออ...ดีๆ ซูมื้อนี้มันแฮ่งต๊ะหาเณรน้อยยากอยู่ บวชเข่ามากะดีแล้วหล่ะ สิได้เล่าเฮียนเขียนอ่านไปนำ วัดหลวงพ่อนี่กะเปิดสอนนักธรรมอยู่คือกัน คันตั้งใจเฮียนหลวงพ่อกะสิส่งให่ได้เฮียนจนได้ดิบได้ดีเป็นมหาพุ้นหล่ะ " ท่านเอ่ยและยิ้มอย่างมีเมตตา

" จั่งซั่นกะถือว่าเป็นวาสนาของลูกๆมันหล่ะขอรับหลวงพ่อพระครูฯ กระผมกะหวังว่าพอสิให่พวกมันฮู้จักควมแน เป็นคนดีต่อไปในข้างหน่าแค่นี้กะดีใจแล้วหล่ะขอรับ " ทิดจวนพ่อของเจ้าขวัญที่นั่งอยู่ข้างหลังของลูกชายพูดพร้อมกับยิ้มปีติเมื่อได้ยินทางหลวงพ่อพระครูฯท่านบอก

" ฉันกะบ่มีปัญญาสิส่งลูกมันเฮียนคือคนอื่นเขาดอกจ้าหลวงพ่อใหญ่ พอดีลูกมันมาขอฉันว่าอยากสิบวชเฮียนเอา กะเลยพากันเห็นดีนำ " เสียงป้าไหม แม่ของเจ้าไผ่พูดสนับสนุนทิดจวนอีกที

" เออ ..เออ..ดีแล้วหล่ะแต่ว่ามันเกิดปีได๋หล่ะสามคนหนิ " หลวงพ่อพระครูฯเอ่ยถาม

" มันเกิดปีมะเมียขอรับ" .........................



(ขอบพระคุณทุกๆท่านที่ติดตามอีกครั้งครับ)

...นิยายเรื่องนี้ตัวผมเองต้องการสื่อถึงการทำคุณงามความดีและบทสุดท้ายของการได้รับในสิ่งที่ตัวละครแต่ละตัวกระทำลงไป นี่เป็นละครกฏแห่งกรรมก็ว่าได้ แม้เนื้อหาจะไม่เฉียบคมแต่ตัวผมเองก็พยามสื่อออกมาในรูปแบบของตัวเองฉบับมือสมัครเล่นที่ใช้เวลาที่ว่างส่วนหนึ่งทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ โดยผ่านจินตนาการอันไร้ขอบเขต...



(รุทธิ์ อีเกียแดง)