จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 15

http://www.isan.clubs.chula.ac.th/para_norkhai/?transaction=post_view.php&cat_main=2&id_main=363&star=0

{ลิ้งค์..สายใยไหม..สายใยผ้า..สายใยแห่งวิถี..วิถีอีสานกับการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม..งานด้านหัตถกรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสานครับ}

..บทนิยายต่อไปนี้เป็นจิตนาการที่ถูกดึงขึ้นมาเท่านั้น ผู้เขียนมิได้มีเจตนาที่จะทำให้เสื่อมเสียไม่ว่าในด้านใด ขออภัยกับคำบางคำที่ไม่เหมาะสมหรือว่าบทบาทของแต่ละตัวละคร ผู้เขียนต้องการสื่อให้เห็นการใช้ชีวิตของสังคมมุมๆหนึ่งเท่านั้น เพื่อโยงไปสู่การกระทำที่ผิดต่อศีลธรรมอันดี และการรับผลของการกระทำในสิ่งที่ตัวละครเหล่านั้นกำลังก่อขึ้นมา..


ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามครับ




ตอน เส้นทางเดิน 3








"บุคคลใดคิดว่าตนกำลังทำความดี แต่จิตเร่าร้อน หาความสงบไม่ได้ พึงเข้าใจเสียให้ถูกต้องว่า ตนมิได้กำลังทำความดี อาจเพียงกำลังคิดแข่งดี ความแข่งดีมีหลายระดับ ถ้าคิดแข่งดีกับผู้ระดับไม่แตกต​่างจากตนมากนัก ความเร่าร้อนนั้นก็ไม่มากมาย ไม่ผลักดันให้พูดให้ทำรุนแรงเลว​ร้ายมากมาย แต่ถ้าคิดแข่งดีกับผู้มีระดับแต​กต่างจากตนมากเพียงไร ความเร่าร้อนก็จะรุน...แรงมากเพียงนั้น ผลัดดันให้พูดชั่วทำชั่ว วางแผนชั่ว เพื่อให้ตนดำเนินไปสู่ความสำเร็​จ

การเพิ่มพูนความดีให้มากทวี เป็นความสุขเยือกเย็นสว่างไสวใน​จิต แต่การแข่งดี ยิ่งวันยิ่งทวีความเร่าร้อนมืดม​ิด เป็นอุปกิเลสที่จะปิดกั้นความปร​ะภัสสรแห่งจิต (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์)

( บทความดีๆของพระอาจารย์สุโข กตปุญโญ )



“ ตร. สน.หัวหมากเปิดแถลงข่าวหลังจากที่โชว์ศักยภาพรวบขบวนการขนยาบ้า 4หมื่นเม็ดกลางกรุงได้เป็นผลสำเร็จ จากที่ส่งชุดสืบสวนลงพื้นที่หาข่าวมาโดยตลอด..”

ข่าวพาดหัวของหนังสือพิมพ์ชื่อดังของเช้าวันใหม่มันได้สร้างใบหน้าแห่งความวิตกกังวลให้กับณรงค์ฤทธิ์เสี่ยหนุ่มเจ้าของไนท์คลับชื่อดังย่านคลองตันเป็นอย่างมาก เขาโยนหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ..สายตามองดูภาพที่อยู่หน้าหนังสือพิมพ์แบบไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก

“ เฮ้อ..มันไปเฮ็ดอีท่าได๋ว๊ะ..ให่เขานำกลิ่นจนพ้อ..โง่หลายเนาะมึง “ เสี่ยหนุ่มสบถออกมา ( คาดเดาได้ว่าคนที่ถูกรวบตัวพร้อมของกลางนี้คงจะเป็นเครือข่ายที่รับของจากเสี่ยหนุ่มเป็นแน่ ) งานนี้เสี่ยหนุ่มคงต้องสั่งการต่อสายตรงแบบด่วนจี๋เข้าหาลูกล้อผู้ที่ยอมสยบต่ออำนาจของเงินตราจัดการเช็คบิลตัดตอนก่อนที่ผู้ต้องหาจะซัดทอดโยงใยมาถึงตัวเอง หรือไม่อย่างนั้นคงต้องได้ใช้วิศรุจหนุ่มจอมอหังการจากแดนพนมรุ้งเข้าเป็นตัวประสานอีกครั้งนึง แต่งานนี้ดูจะไม่ง่ายเลย เพราะเป้าหมายอยู่ในความควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยงแค่ไหนเสี่ยหนุ่มก็เลือกที่จะทำเพื่อปัดตัวเองให้พ้นจากวิบากที่กำลังจะเผชิญอยู่ในขณะนี้…


/////////////////////////////////////////////////////////////////////








สายลมอันสงบเงียบพัดโชยผ่านท้องทุ่งนาอันใหญ่กว้าง มองเห็นใบข้าวเขียวที่กำลังยืนต้นไหวเอนไปตามแรงมองดูแล้วช่างเหมือนกับบรรดาสาวสวยทั้งหลายกำลังร่ายรำโยกยายส่ายตัวพริ้วไหวไปตามจังหวะเสียงเพลงทำนองลาติน เสียงเจ้าปลาช่อนตัวใหญ่สะบัดหางอันแข็งแกร่งกระทบผืนน้ำอยู่กลางทุ่งนา เพื่อส่งร่างของมันให้พุ่งขึ้นสู่เหนือผิวน้ำเพื่องับเจ้าเขียดจะนาหนุ่มตัวนึงที่กำลังนั่งร้องเพลง " เป็นเพื่อนไม่ได้หัวใจอยากเป็นแฟน " จีบเขียดจะนาสาวน้อยที่อยู่กอข้าวถัดกันไปแบบสบายอารมณ์โดยที่ไม่รู้ถึงชะตากรรมของตัวเอง ส่งผลให้ผืนน้ำบริเวณนั้นเกิดการกระเพื่อมเป็นวงกว้างจนเจ้าปูนาขาเกตัวใหญ่ที่กำลังใช้ก้ามอันทรงพลังหนีบกอข้าวเล่นอยู่ไม่ไกลรับรู้ถึงแรงสั่นไหวได้ ต้องหยุดกิจกรรมอันไม่สมควรที่ทำอยู่ในขณะนี้ไปโดยปริยาย และเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินที่จะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องรีรอให้ทางการประกาศเตือนออกมา พร้อมกับถอยร่นแทรกตัวเข้าในกอข้าวเป็นที่กำบังหลบภัยให้ตัวของมันในเร็วพลัน...

วิถีชีวิตของคนอีสานเป็นตำนานสืบสานต่อมาตั้งแต่รุ่นบรรพชน ความเชื่อที่ถูกฝังแน่นจนซึมซับเข้าไปอยู่ในสายเลือด ขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงามถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนน่าภาคภูมิใจ ความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศจนก่อเกิดเป็นตำนานที่ใครหลายๆคนต้องขนานนามให้ว่า " สายเลือดนักสู้แห่งที่ราบสูง "

ท้องทุ่งนาข้าวที่เขียวขจีมองสุดลูกหูลูกตายาวไปถึงภูเม็ง ภูเขาลูกใหญ่ที่ตั้งตระหง่านขวางกั้นแบ่งเขตแดนระหว่างจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดชัยภูมิ ดูแล้วช่างเป็นภาพที่ดูงามตา นี่คือธรรมชาติที่มีมนต์เสน่ห์ในตัวโดยมิได้เพิ่มเสริมเติมแต่งแต่อย่างใดแต่ก็สามารถสร้างรอยยิ้ม และยังความอิ่มเอมจิตอยู่ภายในลึกๆเมื่อได้มายืนสัมผัสกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ณ ตอนนี้ สยามประเทศคืออู่ข้าวอู่น้ำที่ประเทศเพื่อนบ้านต่างอิจฉา เนื่องด้วยสภาพภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยและมีพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์กว้างใหญ่ไพศาล อาชีพเกษตรกรรมจึงเป็นอาชีพหลักในการดำเนินชีวิตและช่วยหล่อเลี้ยงประชากรภายในประเทศ ดังมีคำกล่าวว่า สยามประเทศคือแผ่นดินขวานทองที่บริบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารในน้ำก็มีปลาในนาก็มีข้าว “ เป็นคำกล่าวอ้างที่ดูจะเป็นจริงทีเดียว “








สายลมหอบพัดพาอากาศอันเย็นสดชื่นเข้าปะทะกับใบหน้าคมได้รูปของเด็กหนุ่ม ทำให้เขาต้องลุกขึ้นยืนสูดรับเอาความเย็นบริสุทธิ์ที่ธรรมชาติเสกสรรจรรโลงแต่งแต้มเข้าเสียเต็มปอด ร่มเงาจากต้นหว้าขนาดใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมพื้นที่กว้างพอประมาณช่างเป็นเกราะกำบังแสงแดดได้อย่างดีเยี่ยม จนบางครั้งทำให้เด็กหนุ่มต้องเผลออ้าปากหาวหวอดอยู่เป็นระยะ..เด็กหนุ่มกลับลงนั่งยังจุดเดิมอีกครั้ง สายตาเพ่งดูกับวัตถุสีขาวขนาดเล็กๆที่ลอยอยู่เหนือน้ำพร้อมกับคอยลุ้นอยู่อย่างใจจดใจจ่อว่าวัตถุสิขาวนี้จะขยับเมื่อใด และแล้วมันก็สร้างรอยยิ้มให้กับเขาเมื่อเจ้าวัตถุนั้นโดนกระตุกดึงให้จมลงข้างล่างแล้วก็กลับขึ้นมาลอยอยู่เหนือผิวน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อดูแล้วเห็นว่าการดึงในลักษณะนี้สิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างล่างคงจะไม่สามารถหลุดรอดจากการเกี่ยวติดของเบ็ดไปได้แน่แท้ เขาจึงยกไม้ลำปอขนาดยาวที่ถูกวางไว้แนบบนคันนาขึ้นมา “ ใช่แล้วมันคือไม้คันเบ็ดของเขานั่นเอง “

ไผ่ศธรเลือกใช้ไม้ลำปอของแม่มาใช้ทำคันเบ็ด เนื่องจากว่าหาง่ายไม่ต้องเดินไปหาตัดกิ่งไผ่ให้ยุ่งยากแค่เดินไปที่ข้างเล้าก็มีให้เลือกเยอะแยะ เด็กหนุ่มยกสายเบ็ดขึ้นพร้อมกับมีปลาหมอตัวขนาดเขื่องติดขึ้นมาด้วย การนั่งตกเบ็ดตามทุ่งนาข้าวเป็นภาพที่หาดูได้ไม่ยากนักมีให้เห็นอยู่เป็นจุดๆ ไผ่ศธรเลือกทำเลที่ถือว่าเข้าทีนัก ต้นหว้าใหญ่ช่วยแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาความเย็นได้มากโข อากาศร้อนๆฝูงปลามักจะเข้ามาอาศัยหลบพักพิงสัมผัสความร่มรื่น จึงเป็นจุดที่เหมาะและลงตัวที่สุดสำหรับความคิดของเด็กหนุ่ม

“ ได้จั่งซี้อีกจั๊กสามโตกะคือสิพอแล้วหล่ะ..โตใหญ่เป็นต๊ะปิ้งแซบคัก “

เด็กหนุ่มนึกในใจขณะที่ปลดเจ้าปลาหมอชะตาขาดให้หลุดจากการเกี่ยวติดของตะขอเบ็ด หลังจากปลดเป็นที่เรียบร้อยแล้วปลาหมอตัวเขื่องก็ถูกนำไปใส่ไว้ในข้องใบเล็กที่ถูกวางแช่น้ำไว้ซึ่งตอนนี้มีปลาหมออยู่ข้างในเกือบ20ตัวแล้ว ไผ่ศธรเดินกลับมายังจุดเดิมอีกครั้ง เด็กหนุ่มใช้มือปั้นเหยื่อที่อยู่ในถ้วยให้เป็นก้อนกลมๆขนาดไม่ใหญ่นัก เขาใช้หัวแม่มือดันเบ็ดให้เข้าไปฝังตัวในก้อนกลมๆพร้อมกับเหวี่ยงลงไปในจุดที่ว่างระหว่างกอข้าวแล้วก็นั่งรอลุ้นอย่างใจเย็น เหยื่อที่เด็กหนุ่มใช้ก็คือ “ มดแดงที่มีไข่เล็กๆปนติดมาด้วย หรือที่ภาษาอีสานเรียกว่า ..ไข่ผาก.. และการที่จะทำให้การปั้นหล่อจับตัวกันไม่เปื่อยยุ่ยหลังจากที่โดนน้ำนั่นก็คือ ..ยางของต้นไทร.. และดูจะเหมือนว่าปลาจะชอบลิ้มลองดีนักเชียว สังเกตุได้ว่าเด็กหนุ่มใช้เวลาไม่นานเท่าไรนักเขาก็ได้ยกสายเบ็ดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า..เล่นเอาเจ้าตัวถึงกับยืนยิ้มไม่หุบกับผลงานของตัวเอง…











" บ่ฮักบ่ว่าเจ้าดอกคำแพง เว้านำพออ้ายมีแฮง เดินแข่งปัญหารายวัน
บ่หวังได้ครอง ขอแค่มองให้มีใจมั่น ขอยืมหน้ามาเข้าฝัน แค่นั้นก็เป็นบุญใจ "





เสียงเพลงดังแว่วมาจากวิทยุเครื่องโปรดของสายใยที่ตั้งอยู่ข้างๆกี่หน้าบ้าน ซึ่งตอนนี้เธอกำลังขะมักเขม้นใช้มือจับกระสวยให้พุ่งลอดผ่านเส้นใยของไหมที่ถูกย้อมสีสันเรียงรายขึงเป็นแนวอยู่นับพันเส้น เท้าของเธอดูจะทำหน้าที่ปฏิสัมพันธ์กับมือได้อย่างยอดเยี่ยม เท้าทำหน้าที่วางน้ำหนักลงบนไม้ที่ถูกวางคู่ขนานอยู่เบื้องล่างเพื่อใช้สำหรับเปิดช่องให้สลับกันดูจะลงตัวกับมือที่กำลังสาละวนอยู่ด้านบน เสียงเธอคลอเพลงไปตามนักร้องชื่อดังในวิทยุแบบสบายอารมณ์ สายลมที่พัดเข้ามาแผ่วเบาทำให้เพิ่มความสุนทรีย์แห่งความรู้สึกได้ดีเยี่ยม ทำให้งานของเธอตอนนี้ดูจะลงตัวได้ดีทีเดียว ผ้าซิ่นไหมลายงามถูกแสงแดงส่องลอดผ่านเข้ามากระทบในบางจุดมองดูแล้วช่างแวววาวงามตาเหลือเกิน ผลงานฝีมือของป้าไหมและสายใยเคยถูกส่งเข้าประกวดในงานวิถีอีสานอยู่หลายๆครั้งและก็มักจะมีของรางวัลติดไม้ติดมือมาให้ชื่นชมอยู่บ่อยครั้ง สายใยถือเป็นช่างฝีมือในด้านนี้ที่ชาวบ้านหนองนางามให้การยอมรับ แม้ว่าเธอจะอายุยังอยู่ในวัยสาวแต่การที่มีแม่เป็นช่างทอผ้าไหมฝีมือเยี่ยม จึงได้รับการฝึกปรือถ่ายทอดความรู้ให้แบบไม่มีกั๊กจากป้าไหมผู้ขยัน และสายใยเองก็เป็นคนที่สอนง่ายและเรียนรู้ได้เร็วจนป้าไหมเองต้องเอ่ยปากชมลูกสาวแสนสวยอยู่ไม่ขาดปาก “ เอ๊า..กะใยเป็นลูกสาวอี๊แม่เนาะ บ่เคยได้ยินเขาว่าติ ลูกไม้ย่อมหล่นบ่ไกลต้น “ นี่คือประโยคที่เธอพูดกับผู้เป็นแม่อยู่บ่อยๆ

“ โอ๊ย..เนาะ ..จ๊ะแม่นเพินอารมณ์ดีคักเนาะ เอาเพลงนักร้องคนโปรดผมไปฮ้องเสยแม๊ะ พี่อ้ายกับน้องพิมไปไสหล่ะเอื้อยใย “ เสียงไผ่ศธรแซวพี่สาวของเขาและถามหาพี่เขยกับหลานสาวคนเก่งขณะเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับจัดการนำคันเบ็ดเข้าไปเก็บใว้ที่ข้างยุ้งข้าว

“ พี่อ้ายกับหลานคือสิอยู่บ้านปู่พุ้นหล่ะ…เป็นได๋หล่า..หมานบ่หล่ะ “ เธอหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่และเอ่ยถามน้องชายคืน

“ บ่บอก..เบิ่งเอาเองโล้ด ฮ่าๆๆ..บ่อยากสิคุยเล๊ยย.. “ ไผ่ศธรลากเสียงสูงทำหน้าล้อเลียนพี่สาวคนสวยของเขาพร้อมกับยื่นข้องใบเล็กๆส่งให้เธอ เล่นเอาสายใยต้องนั่งอมยิ้มในความขี้เล่นของน้องชาย

“ อืม..ได้หลายเติบอยู่ตั๊วะหนิ เดี๋ยวจั๊กหน่อยเอื้อยสิปิ้งดอก บักหล่าไปต่อยบักหุ่งข้างเฮือนลงมาไว้ให่เอื้อยนำแน..เอ้อ..สิลงกรุงเทพอยู่มื้ออื่นมื้อฮือนี่หาซักผ้าเตรียมไว้ยังหล่ะ “ เธอเอ่ยถามน้องชาย

“ ยังเอื้อย..เดี๋ยวผมสิไปจัดการดอก เว้ามาแล้วกะใจหายอยู่เลิ๊กๆ สิได้หนีไกลจากเอื้อยจากอี๊แม่..ผมคือสิคิดฮอดบ้านคักแท้ๆ ดีแต่ว่ามีเพินจักรถ่าอยู่พุ้นกะสิบ่เหงาปานได๋ เว้ามากะตื่นเต้นจั๊กหน่อยอยู่เอื้อยใย..ได้ยินเพินจักรว่ามีงานที่ผมมักที่สุดถ่าอยู่..เพินจักรบอกว่าฮู้จักอ้ายคนนึง เพินสิเป็นผู้ฝากงานให่ผมเองว่าซั่น “

ไผ่ศธรบอกพี่สาวสายตาทอประกายแห่งความหวังอยู่ลึกๆกับสิ่งที่เขาใฝ่ฝัน ถ้ามันเป็นอย่างที่เขาคิดมันคงทำให้การเริ่มต้นของเส้นทางชีวิตดูจะเป็นไปในทางที่ดี..แต่..ทุกสิ่งอย่างไม่มีอะไรที่สมบูรณ์พร้อมเสมอไปอยู่แล้ว เขาจึงไม่อยากที่คาดหวังเต็มร้อยกับสิ่งที่จะต้องเผชิญและรอเขาอยู่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้….