จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 4

ตอน สายเลือดนักสู้แห่งทุ่งกุลา 1


บ้านโคกนาโก อำเภอ ป่าติ้ว


เมฆก้อนใหญ่สีดำทะมึนดูน่ากลัวคล้ายกับรูปปีศาจ ตั้งเค้าขึ้นทางด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้านยามเย็น ไม่นานเท่าไรนักสายลมก็โหมพัดกระหน่ำเหมือนกับว่ากำลังจะเกิดพายุทอร์นาโดขนาดย่อมๆ ต้นไม้โอนเอนโยบยาบไปตามกระแสของแรงลมดูแล้วน่ากลัวเหมือนกับว่ามันจะหักโค่นลงมา " ..ครื๊ดดด... แคร๊กก..แคร๊กกก.. " เสียงกิ่งฝรั่งที่ปลูกอยู่ข้างๆบ้านครูดกับแผ่นสังกะสีจนน่ารำคาญ สังกะสีบางแผ่นตะปูถอนออกเมื่อถูกสายลมที่รุนแรงเข้ามาปะทะจึงเปิงขึ้นเล็กน้อยแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ "..เปรี๊ยะ... ครืนนน....ครืนนน....ฮึ่มมมม..." แสงสุรีย์พร้อมเสียงร้องคำรามกึกก้องจนน่ากลัว ประหนึ่งเหมือนกับว่าเมขลาถือลูกแก้ววิเศษหลอกล่อให้รามสูรถือขวานวิ่งไล่ตามฟาดฟันลงเป็นระยะๆ เสียงลูกเล็กเด็กแดงร้องไห้ระงมวิ่งเข้ากอดแม่หาที่พึ่งด้วยความตื่นกลัวจนตัวสั่น ชาวบ้านไล่วัวไล่ควายจากท้องทุ่งนากลับเข้าบ้านเมื่อประเมิณสถานการณ์แล้วเห็นว่าไม่ค่อยจะปลอดภัยนัก ดอกผักแขยงส่งกลิ่นหอมคลุ้งลอยมาตามสายลม แม่บ้านเตรียมนึ่งข้าวควันไฟพวยพุ่งขึ้นจากเตาอยู่เป็นจุดๆ ส่วนพ่อบ้านเตรียมความพร้อมสำรวจหมอแบตเตอรี่สำหรับภาระกิจในยามค่ำคืนหลังจากที่ฝนเทกระหน่ำลงมาแล้ว และอีกไม่นานพวกเขาก็คงจะได้ทำอาชีพหลักของเขา อาชีพที่บรรพบุรุษยึดถือก่อร่างสร้างตัวทำมาแต่ในครั้งอดีตกาล

"... แอ๊บบบ....แอ๊บบบบ...แอ๊บบบบ...อ๊อบบบ...อ๊อบบ.." เสียงเขียดร้องคอรัสประสานเสียงดังระงมไปทั่วท้องทุ่งนา โห่ร้องดีใจไชโยรอสายฝนที่จะเทกระหน่ำลงไม่อีกกี่นาทีข้างหน้า ลูกอ๊อดกลุ่มใหญ่ว่ายน้ำเล่นยิ้มร่า เริงระบำกลางทุ่งนาดีใจรอเม็ดน้ำฝนที่จะมีเพิ่มขึ้นมาอีกเพื่อมันจะได้มีที่อาศัยลี้หลบภัยได้มากขึ้น เพื่อยังชีวิตของมันให้เติบใหญ่เข้าสู่วัยหนุ่มสาวเป็นเขียดเป็นกบต่อไปในวันข้างหน้า

"..อีนางเอ๊ย...อีนาง... แล่นไปซื้อเทียนบ้านลุงหนั่นมาไว้ไห่แม่แนไป๋จั๊กสองเล่ม ลังเทือไฟฟ้ามันดับพอได้ไต้แน คาพ่อเพินเอาไฟหม่อแบตออกไปไต้กบไต้เขียด " เสียงป้าดำร้องเรียกลูกสาววัย10ขวบ ซึ่งตอนนี้เธอกำลังวุ่นอยู่กับสมุดการบ้านของเธอ โดยที่เธอกำลังสปีดเร่งความเร็วให้เสร็จก่อนที่ฝนจะกระหน่ำลงมา

" จ้าแม่.... เหลือข่อเดียวนุชกะสิแล้ว ถ่าคาวนึง " เธอตะโกนต่อรองกับผู้เป็นแม่

" ไปเดี๋ยวนี้หล่ะอีนาง มื้ออื่นกะวันเสาร์มีเวลาตั้งหลาย เดี๋ยวฝนมันสิตกก่อนเร็วๆเลย //// บ๊า...ฟ้าห่าวลมแฮงคักแท้น้อ " กระตุ้นลูกสาวพร้อมกับพึมพำออกมาเมื่อเห็นสภาพอากาศในตอนนี้ เด็กน้อยวัยสิบขวบจำต้องผุดลุกขึ้นจากสมุดของเธอเข้าไปหาผู้เป็นแม่อยู่หน้าเตาไฟอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

" เอามาติ๊หล่ะ ขนมโก๋แก่นำห่อนึง อิอิ " บอกหัวเราะพร้อมกับแบมือไปยังแม่ ทำให้ป้าดำต้องหัวเราะออกมา

" มีค่าจ่งค่าจ้างดีแท้ดอกเนาะ ...เอ๋า... เอาเทียนเหล่มละบาทสองเล่ม เอ้อ!! ซื้อหัวเทียนหม่อแบตมาไห่พ่อเพินนำหัวนึงเด้อ ไป๋เร็วๆฝนสิตกก่อน " บอกลูกสาวและควักเอาเงินเหรียญสิบในกระเป๋าเสื้อยื่นให้ เมื่อได้สิ่งที่เธอต้องการแล้วก็วิ่งลงบันไดบ้านในทันทีจุดหมายของเธอก็คือบ้านลุงหนั่นที่อยู่ห่างไปประมาณสองร้อยเมตร

" อ้าวอีนางสิแล่นไปไสหน่ะ ฟ้าลมมันแฮ่งเป็นฮ้ายอยู่ " เสียงทิดนพพ่อของเธอร้องถาม ขณะกำลังเดินเข้าบ้านมากับนัทลูกชายวัย8ขวบหลังจากที่พึ่งต้อนฝูงวัวเข้าคอกที่บ้านยายหลังถัดกันไป

" นุชสิไปซื้อเทียนบ้านลุงหนั่นจ้าอี๊พ่อ " บอกพร้อมกับวิ่งแจ้นฝ่าสายลมที่พัดโถมแรง

" ไป๋... แล่นหันๆฝนสิตกแล้วอีนาง ฮ่าๆๆ โห้... แล่นดากมนมิ้งกิ้งเลยเว๊ย.. " ทิดนพร้องตะโกนตามหลังและหัวเราะลูกสาวออกมาเมื่อเห็นเธอใช้ความเร็วที่ถือว่าไม่ธรรมดาเลย



หลังจากนั้นไม่นานนักฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เหมือนกับว่าปลุกสรรพสิ่งให้ฟื้นชีพขึ้นมา เสียงเม็ดฝนกระทบกับแผ่นสังกะสีเสียงดังอึงมี่จนฟังไม่ได้ศัพย์บวกกับแสงฟ้าแลบเสียงฟ้าร้องคำรามดังกึกก้องมาเป็นระยะ ตอนนี้เป็นเวลา5โมงเย็นแต่สภาพภายบรรยากาศภายนอกแม้จะห่างออกไปแค่สิบเมตรก็ไม่สามารถจะมองเห็นได้ เนื่องจากสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาเหมือนกับฟ้ารั่วยังกับว่าเก็บกดอัดอั้นมาเสียนานยังไงยังงั้น

" แม้บาดหนิ เป็นได๋น้ออีนางมันสิฮู้จักควมหลบฝนอยู่บ้านลุงหนั่นก่อนบ่น้อเฒ่า //// บักหำเอากะคุมาต่งน้ำฝนใส่แอ่งน้ำกินไห่แม่แนเร็ว " เสียงป้าดำเอ่ยกับสามีก่อนจะเรียกใช้ลูกชายต่อ สายตาจ้องมองฝ่าสายฝนออกไปนึกเป็นห่วงลูกสาวเอาอย่างมาก

" ว้ายย...แง๊ๆๆ หมาน้อยอีแม่เปียกเหมิ๊ดเลย " เสียงของผู้ที่กำลังถูกพูดถึงวิ่งขึ้นบันไดบ้านมา สภาพเปียกโชกไปทั้งตัว

" คือบ่หลบฝนอยู่บ้านลุงหนั่นก่อนอีนาง ฟ้าวแล่นมาหยั๋ง บ่แม่นหัวเทียนหม่อแบตพ่อมึงเปียกน้ำเหมิดแล้วติ " ป้าดำถามเธอ ซึ่งสภาพเธอในตอนนี้เหมือนลูกนกตกน้ำ ไม่มีคำพูดจากปากเธอแต่รอยยิ้มของป้าดำก็เปิดกว้างขึ้นเมื่อเห็นเธอยื่นสิ่งที่ต้องการให้ มันถูกบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกกันน้ำเสียอย่างดี

" เหอะๆๆ มันฉลาดแต่น้อยเว๊ย อีนางหนิ " ++++++++++++

อาหารมื้อค่ำถูกจัดการไปพร้อมกับสายฝนที่ยังเทกระหน่ำลงมาปนกับเสียงฟ้าร้องจนดูน่ากลัว แต่ก็ดูเหมือนว่าระบบการไฟฟ้าของอำเภอป่าติ้วจะยังใช้การได้ดีอยู่ ยังเป็นแสงสว่างให้ที่พักพิงอุ่นใจในยามน่าสิ่วน่าขวานได้เป็นอย่างดี แม้จะเป็นอำเภอขนาดเล็กแต่การบริหารจัดการดูจะมีระบบจนน่าชื่นชม ผิดกับบางแห่งบางอำเภอที่แย่เอามากๆแค่ฟ้าร้องไม่กี่ทีก็ดับเอาดับเอาจนต้องมีคำเปรียบเปรยออกมาว่า " แค่สนุขเยี่ยวรดเสาไฟก็ยังดับเลย "

บ้านโคกนาโก เป็นหมู่บ้านและเป็นตำบลไปในตัวด้วย สาเหตุที่ชื่อโคกนาโก ก็เพราะตั้งตามชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่งทางภาคอีสานนั่นก็คือ ต้นตะโกนั่นเอง เนื่องจากเป็นหมู่บ้านที่มีขนาดใหญ่จึงต้องแยกออกเป็นสองหมู่คือ หมู่ที่4 และหมู่ที่12 โดยการปกครองของนายทรงฤทธิ์ ซึ่งเป็นกำนันประจำตำบลแห่งนี้นี่เอง และมีนายบุญน้อยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่4ช่วยดูแลอีกแรงนึงด้วย มีหมู่บ้านที่ขึ้นตรงต่อตำบลโคกนาโกถึง16หมู่บ้านทีเดียว อาชีพหลักของชาวบ้านแถบนี้ก็คือ เกษตรกรรมนั่นเองโดยอาศัยสายน้ำหลักที่ทอดยาวผ่านเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนวิถีการดำรงชีวิตนั่นก็คือ " ลำเซบาย "

" นุช " หรือเด็กหญิง ศิริกัญญานุช เด็กน้อยวัยสิบขวบสายเลือดอีสาน คือพยานตัวน้อยของทิดนพและป้าดำชาวบ้านโคกนาโกแห่งนี้ เขาทั้งสองคนฝากความหวังไว้และก็คิดไว้ว่าเมื่อเธอคนนี้เติบใหญ่ขึ้นมาจะต้องเป็นคนที่ขยัน ก้าวไกลต่อไปข้างหน้าด้วยความสามารถ โดยที่ทิดนพและป้าดำเองก็พร้อมจะสนับสนุนให้เธอเรียนได้แบบเต็มที่ ตอนนี้เธอกำลังนั่งให้ความสนใจกับหัวไฟที่พ่อของเธอทำการเปลี่ยนหัวเทียนใหม่โดยเจ้านัทน้องชายนั่งให้ความสนใจอยู่ข้างๆอีกคน

" อี๊พ่อสิออกไปได้เขียดตอนได๋หนิ " เสียงเธอเจื้อยแจ้ว เอียงคอจ้องมองเหมือนคนไฝ่รู้

" จักหน่อยนี้หล่ะอีนาง ฝนเริ่มสิเอี้ยน(ซา) แนแล้ว " เสียงพ่อของเธอบอก

" อีพ่อไปผู้เดียวบ่ย้านผีหลอกติ ผมได้ยินหมู่เว้าว่าแถวบ้านเฮามีผีหลอก " เจ้านัทถามด้วยความสงสัย

" บ่มีดอกบักหำเอ๊ย.. สิมีผีหลอกมาแต่ไสว๊า ตั้งแต่น้อยจนเฒ่าปานนี้แล้วพ่อยังบ่เห็นจักเทืออยู่ ฮ่าๆๆ " หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

" เสียงเขียดฮ้องคับท่งแล้วอีพ่อ นุชอยากกินปิ้งเขียดโม้โตใหญ่ๆคือสิแซบดีแหม่ะ " ยิ้มบอกพ่อ หลังจากฝนเริ่มซาเม็ดลงแล้ว ทำให้ได้ยินเสียงเขียดร้องก้องทุ่งนา ตอนนี้เริ่มจะมีแสงไฟอยู่เป็นจุดๆ

" เอาหล่ะ พ่อสิออกไปแล้ว อีนางไปเอาข่องมาไห่พ่อแนไป๋ " สิ้นเสียงบอก เด็กหญิงตัวน้อยแจ้นออกไปจากจุดนั้นเพื่อเอาสิ่งที่พ่อของเธอต้องการอย่างคนรู้ตำแหน่งทันที...


...เด็กหญิงตัวน้อยยืนมองตามหลังผู้เป็นพ่อที่กำลังเดินฝ่าสายฝนที่ตกลงมาปรอยๆ ในหัวใจกำลังพองโตหลับตานึกไปถึงกบตัวใหญ่ที่หอมกรุ่นอยู่บนเตาไฟในยามเช้า จนต้องเผลอยิ้มออกมา

" เข่านอนได้แล้วอีนาง บักหำเอ๊ย เดี๋ยวมื้ออื่นเซ้ากะได้เห็นดอก บ่ต้องไปถ่าพ่อเขาดอกกว่าเพินสิกลับเข่ามามันกะเดิกโพ้ดแล้ว นอนแล้วกะฝันเอาเลขโตดีๆมาบอกแม่แน มื้ออื่นเลขกะสิออกแล้ว เหอะๆ" เสียงป้าดำบอกลูกทั้งสองให้กลับเข้าที่นอนหลังจากผู้เป็นสามีลงจากบ้านไปได้ไม่นานนัก บ้านของป้าดำนั้นจะอยู่ติดกับทุ่งนาฉะนั้นแล้วในตอนนี้จึงสามารถมองเห็นแสงไฟอยู่หลายๆจุด เสียงกบเขียดร้องระงมกันทั่วท้องทุ่งนา เด็กหญิงและเด็กชายตัวน้อยละสายตาหันกลับมา และเดินกลับเข้าห้องนอนอย่างคนว่านอนสอนง่าย

" ไปนอนเอาแฮงไว้ มื้ออื่นแม่สิพาออกไปส่อนอีฮ๊วก ได้ยินป้าศรีเลาว่าฮวกกบมีแต่โตใหญ่ๆ " ป้าดำบอกตามหลังเธอ

" อีหลี๋ติแม่.. นุชอยากกินหมกอีฮวกกบโตใหญ่ๆแหม่ะ " เสียงใสตอบกลับออกมา

" เอ้อ...... หล่ะอยากเหมิดทุกอย่างเอาโล้ดเนาะ เหอะๆ จั่งแม่นมันมักกินคัก จักคือผู้ได๋ดอก " ป้าดำเอ่ยยิ้มๆ

" เอื้อยๆ... ให่ผมไปนำแนเด้อ " เสียงเจ้านัทอ้อนพี่สาวอยู่ข้างๆ

" ไปกะจั่งค่อยไป ตอนนี้บักหล่านอนก่อน ตื่นขึ่นมาค่อยถ่าไปเบิ่งกบโตใหญ่ๆอยู่ในกาละมังดำ " เธอบอกน้องชายพร้อมกับหลับตานึกไปถึงกบเขียดที่พ่อของเธอจะหามาได้ในคืนนี้ หลับสายตาพลางนึกไปยิ้มไปไม่นานนักเธอก็หลับไหลไปพร้อมกับรอยยิ้ม


" จับดีๆจับแหน่นๆอีนางมันสิหลุดมือ "
"คือโตใหญ่คักแถ่ะพ่อ นุชอยากกินปิ้งฮ้อนๆ "
" อึม.. เดี๋ยวแม่เขาสิเฮ็ดให่กินดอก "
" มันหันหน่ามายิ้มให่หมาน้อยอี๊พ่อนำแหม่ะ"
" หมาน้อยเอ๊ย.... กบไสน้อสิมายิ้มใส่คนว๊า"
" ว้ายย อี๊พ่อมันเยี่ยวใส่นุช "

" อีนางเอ๊ย... อีนาง... เข่าไปนอนบ่พอคาวจั่งได๋ได้นอนเพ้อเร็วแถ่ะ " เสียงป้าดำปลุกเธอพร้อมใช้มือจับตัวพลิกให้เปลี่ยนท่านอนตะแคงใหม่ ไม่มีอาการตื่นขึ้นมาแต่มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาแทน

" เอ๋า... อีนางหนิคือสินอนฝันดีคักเนาะ เหอะๆ.. โอ๊ยย... นอนน้ำลายไหลอีก คาแม่นใหญ่เป็นสาวขึ่นมานอนน้ำลายไหลแบบซี้สิบ่อายผู้บ่าวเบาะน้ออีนางเอ๊ยย " พึมพำปนรอยยิ้มและเดินออกมาจากห้องนอนของลูกทั้งสองคน




อากาศยามเช้าตรู่ดูสดชื่นเป็นพิเศษ หลังจากที่ฝนได้เทกระหน่ำลงมาช่วงค่ำเมื่อวาน และก็ยังตกปรอยๆอยู่ตลอดทั้งคืน ฟ้าในเช้านี้ก็ดูเหมือนจะยังไม่เปิดเท่าไรนัก ยังมีเมฆจับตัวกันเป็นกลุ่มดูเหมือนจะครึ้มได้อีกตลอดทั้งวัน เสียงข่าวยามเช้าดังแว่วมาจากบ้านของกำนันทรงฤทธิ์ แม้อากาศจะไม่อำนวยเท่าไรนัก แต่แกก็ยังปฏิบัติหน้าที่คอยส่งข้อมูลข่าวสารในที่ต่างๆให้กับลูกบ้านของแกได้รับรู้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด นกน้อยบินออกจากรังส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ด้วยความเบิกบานใจแข่งกับเสียงของนักข่าวที่รายงานมาเป็นระยะๆ " แป๊ะ... แป๊ะ.. " เสียงแม่บ้านหักไม้ลำปอ เพื่อจุดไฟตั้งหม้อนึ่งข้าวในยามเช้า ควันพวยพุ่งขึ้นอยู่หลายจุดหลายหลัง พ่อบ้านหลายคนก็แบกไถจูงควายมุ่งตรงสู่ท้องทุ่งนา คงจะถึงเวลาแล้วกับอาชีพของพวกเขา ฝนที่ตกลงมาดูมากควรแก่การลงมือได้แล้ว ชาวบ้านบางคนก็หว่านกล้าจนเขียวไปบ้างแล้วก็มี และเช้านี้ทิดนพเองก็ไม่พลาดเช่นกัน แกจูงควายของผู้เป็นแม่พร้อมกับแบกไถลงท้องทุ่งนาตั้งแต่เช้าตรู่

อากาศแสนเย็นสดชื่นทำให้เด็กหญิงตัวน้อยต้องนอนขดตัวม้วนเข้ากับผ้าห่มแบบคลุมโปง มองดูแล้วน่าหมั่นไส้นัก เพราะเธอเหลือช่องตรงจมูกไว้ให้ตัวเองได้หายใจได้สะดวกอยู่นิดนึง น้ำลายที่ไหลอยู่เมื่อคืนตอนนี้แห้งสนิทจนมองเห็นเป็นคราบ


" ..อ๊บ.. อ๊บ.. อ๊บ.. อ๊บ.. อึ่งงง)).. อ่างง)) แอ๊บบบ... แอ๊บบ.. " เสียงกบเสียงเขียดรวมไปถึงอึ่งดังก้องระงมอยู่นอกห้อง เป็นเสียงปลุกชั้นดีให้กับเธอในตอนนี้ เธองัวเงียตื่นขึ้นมาพร้อมกับเปิดผ้าห่มออก เงี่ยหูฟังให้ชัดขึ้น พลันรอยยิ้มก็ผุดขึ้นจนมองให้เห็นฟันสีขาว เด็กหญิงตัวน้อยหันไปสะกิดน้องชายที่นอนหลับไหลอยู่ข้างๆให้ลุกตามเธอขึ้นมาด้วย เมื่อออกมาจากห้องก็มองเห็นแม่ของเธอกำลังขลุกตัวอยู่ในครัว เธอจูงแขนน้องชายให้เดินตามไปตรงที่มีเสียงร้อง นั่นก็คือกาละมังสีดำใบใหญ่ที่วางอยู่ ข้างบนมีผ้าตาข่ายสีเขียวปิดคลุมไว้ เมื่อไปถึงรอยยิ้มของเด็กน้อยทั้งสองก็เปิดกว้างขึ้นเมื่อเห็นกบตัวใหญ่นับ10ตัวรวมไปถึงอึ่งและเขียดอีกหลายตัวแออัดอยู่ในกาละมังใบนั้น แสดงให้เห็นว่าฝีมือของทิดนพผู้นี้ไม่ธรรมดาเหมือนกัน

" อี๊แม่ปิ้งกบโตใหญ่ๆโตนี้เด้อ นุชขอหนังไว้เฮ็ดกลองน้อยนำ " เสียงเธออ้อนแม่แต่เช้าเลย

" เอาไปเฮ็ดกลองมันบ่อิ่มท้องเด๊ แม่ว่าเอาหนังไว้ทอดบ่ดีติอีนาง " ป้าดำให้ความเห็น

" นุชอยากได้ไว้ตีเหล่นยามคืนเนาะ เสียงมันม่วนดี " สิ่งที่เธอหมายถึงก็คือ กลองที่ใช้หนังกบทำ โดยใช้กระป๋องปลากระป๋องยี่ห้อต่างๆมาเปิดฝาออกทั้งสองด้าน แล้วเอาหนังกบที่ลอกออกมาปิดปากกระป๋องโดยดึงให้ตึงโดยจะใช้หนังยางมัดก็ได้ แล้วปล่อยตากแดดให้แห้งก็จะกลายเป็นกลองเล็กที่เราใช้ไม้เคาะดังเสนาะหูได้ดีเหมือนกัน

" จั่งได๋มื้อคืนนี้เข่าไปนอนบ่พอคาวก็เพ้อว่าหนิแหม่ะ ก่อนนอนอีนางกะหัดไหว้หัวบ่อนก่อนนอนแนแม๊ะ เอ้อ..ยกกาละมังเข่ามาให่แม่แน" เสียงแม่บอกเธอ

" นุชฝันว่าได้จับกบใหญ่แหม่ะอีแม่ ฝันว่าอีพ่อเลายืนให่ " เธอบอกและยืนกาละมังส่งให้แม่

" มันคิดเห็นว่าสิได้ปิ้งกบนำพ่อติ๊หนิ จั่งค่อยเก็บไปฝัน พากันไปหาล้างหน่าได้แล้ว เดี๋ยวแม่สิปิ้งกบสู่กินดอก " ป้าดำบอกเขาทั้งสองคนพร้อมใช้มือเข้าไปจับเจ้ากบตัวใหญ่ชะตาขาดขึ้นมา และเจ้ากบตัวใหญ่นี้แหล่ะมันพร้อมจะเป็นเมนูอันแสนอร่อยของครอบครัวเล็กๆครอบครัวนี้ในยามเช้า

แม้จะเป็นเวลาสายมากแล้วแต่อากาศก็ดูเหมือนจะไม่ร้อนเอาเสียเลย เนื่องจากฟ้ายังไม่เปิด ยังดูครึ้มฟ้าครึ้มฝนอยู่นั่นเอง กับข้าวมื้อเช้าเสร็จสิ้นไปด้วยความอร่อย ทิดนพเองก็กลับเข้ามากินข้าวที่บ้านเอง เนื่องจากทุ่งนาของแกอยู่ไม่ห่างจากบ้านเท่าไรนัก การไถในครั้งนี้เป็นการไถตระเตรียมดินเฉยๆเพื่อพลิกหญ้าและวัชพืชต่างๆให้จมเน่าในน้ำนั่นเอง หลังกินข้าวเช้าเสร็จแกก็ต้องกลับออกไปไถต่ออีก ตอนนี้เด็กหญิงตัวน้อยและน้องชายของเธอดูจะเตรียมตัวพร้อมแล้วสำหรับการปฏิบัติการออกล่าลูกอ๊อดที่แม่เขารับปากไว้แต่เมื่อคืน จุดหมายก็คือทุ่งนาแถบไกล้ๆบ้านนี้เอง แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งสองกำลังยืนรอผู้เป็นแม่อยู่ ป้าดำแกกำลังยืนคุยกับชาวบ้านโคกนาโกหมู่ที่4 อยู่ มองดูแล้วเหมือนว่าชาวบ้านคนนั้นจะส่งกระดาษแผ่นเล็กให้แกโดยที่แกส่งเงินคืนเป็นการแลกเปลี่ยน






แม้วันนี้ ศิริกัญญานุช จะต้องเหนื่อยล้ากับการเดินลากผ้าตาข่ายที่เป็นอุปกรณ์ในการจับลูกอ๊อด แต่เธอก็ไม่เคยบ่น แม้จะเป็นเด็กตัวเล็กๆแต่ความทรหดอดทนดูจะเต็มเปี่ยมด้วยสายเลือดของนักต่อสู้ของลูกอีสาน รอยยิ้มที่ปนไปด้วยความเหนื่อยยังมีให้เห็นหลังจากที่เธอก้มมองลูกอ๊อดที่ช้อนมาได้มากมาย โดยมีเจ้านัทน้องชายเป็นคนถือครุน้ำไว้ใส่เดินตามหลังต้อยๆ ใช้เวลาแค่สองชั่วโมงก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับวันนี้ และเมื่อกลับมาถึงบ้านสิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือจัดการเอาสิ่งที่อยู่ข้างในออกจากตัวลูกอ๊อดออกให้หมดจด เพื่อความสะอาด สำหรับเตรียมความพร้อมที่จะทำเมนูแห่งความอร่อยได้หลายอย่างเลยทีเดียว ความเหนื่อยล้าของเธอวันนี้ดูจะมีมากเป็นพิเศษ แม้เพื่อนๆของเธอจะวิ่งตามไปเล่นที่ศาลากลางหมู่บ้าน ที่เธอเคยไปวิ่งเล่นอยู่เป็นประจำก็ต้องถูกเธอปฏิเสธไป
เมื่อความเหนื่อยล้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่นานนักความหลับไหลก็เข้ามาแทนที่เป็นกำไร ศิริกัญญานุชเผลอหลับไปจนเกือบเย็นก็พลันสะดุ้งตื่นด้วยการปลุกของผู้เป็นแม่ เมื่อเธอมองตาตื่นขึ้นมาก็รู้สึกงงกับสิ่งที่เธอเห็น เธอเห็นรอยยิ้มเปิดกว้างของผู้เป็นแม่ แถมแม่ของเธอยังใจดียื่นเงินให้ด้วย20บาท จนเธอต้องงวยงง

" บ่ต้องงงดอก ...เอ๋าแม่ไห่ไว้ซื้อหนม แม่ถืกเลข20บาท ถืกเลขสามโต10บาท ถืกเลขสองโตอีก10บาท เขาเอาเงินมาจ่ายไห่แม่หว่างหั่น " ป้าดำบอกพร้อมกับยิ้มกว้าง

" อีแม่ถืกเลขโตได๋ ได้เลขมาแต่ไส " เธอถามแม่งงๆแต่ก็ปนไปด้วยความดีใจ

" เลขมันออก 159 แม่ตีเอาจากอีนางฝันนั้นหล่ะ" ป้าดำบอกพร้อมกับยิ้มมองดูลูกสาวด้วยความเอ็นดู......



นิยาย กรรมลิขิต 3



ตอน ดวงชะตา


.กรรมหมายถึงการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา เมื่อจงใจแล้วก็ย่อมทำกรรมทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ เรียกว่า กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ตามลำดับ กรรมจึงเป็นคำกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว แต่คนทั่วไปมักเข้าใจว่า กรรมหมายถึงบาปหรือเคราะห์ เป็นการเข้าใจไปในทางร้ายแต่อย่างเดียว เช่น คนที่เกิดมาจนหรือพิการ ก็พูดว่าคนมีกรรม

....พุทธศาสนาสอนว่า ความเป็นอยู่หรือชะตาชีวิตของคนเรานั้น ไม่ขึ้นกับเวลาตกฟาก ไม่ขึ้นกับอำนาจดวงดาว ไม่ขึ้นกับอำนาจพรหมลิขิต แต่ขึ้นอยู่กับกรรม กรรมต่างหากเป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิตหรืออนาคตของคนเรา ทุกคนต่างลิขิตโชคดีโชคร้าย ลิขิตความเจริญความเสื่อมให้แก่ชีวิตด้วยกรรมของตนเอง กล่าวคือ ถ้าอยากได้ดีมีความสุขความเจริญ ก็ต้องทำแต่กรรมดี ในทางตรงกันข้าม ถ้าทำกรรมชั่ว ชีวิตก็จะมีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน เป็นไปตามพระบาลีที่ว่า....

กลฺยาณการี กลฺยาณํ ทำดีได้ดี
ปาปการี จ ปาปกํ ทำชั่วได้ชั่ว

บทความดีๆจาก ธรรมจักรครับ






" ....ขวัญหาย....จดหมายจากแม่ส่งมา
เนื้อจดหมายเขียนว่าทุกข์ตรมเจียนบ้านาฝนแล้ง
พ่อก็ซ้ำมีอันต้องตายเพราะมีโจรปล้นควาย ใช้อุบายเสแสร้ง
ซ้ำยิงแทงพ่อยับดับสิ้นใจ บาปซ้ำ..."

เสียงร้องเพลงดังก้องออกมาจากห้องน้ำ แต่แล้วพลันเสียงร้องก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้นแทรกเสียก่อน

" ไผ่เอ๊ย...ไกล้อาบแล้วยังน้ำนั่นหน่ะ เร็วๆแน แม่หาภาเข่าออกมาแล้วเด๊ะ..
คาต๊ะฮ้องเพลงอยู่ฮั่นหล่ะ " เสียงป้าไหมนั่นเอง

" ไกล้แล้วหล่ะแม่.. ผมสิออกไปเดี๋ยวนี้หล่ะ " //// บาปซ้ำกรรมมาน้องของสาวข้าเป็นไป โจรขืนใจเป็นบ้าใบ้....เสียคน " ตอบแม่ออกไปแล้วกลับไปคลอเพลงอีกทำให้ป้าไหมต้องหัวเราะกับลูกชายของแก

" เหอะๆ ไผ่เอ๊ย..จั่งแม่นมักมักฮ้องเพลงคักน้อ "

กับข้าวมื้อเย็นวันนี้ก็เป็นไปด้วยความเรียบง่ายแต่ผสมไปด้วยความอร่อยเช่นเดิม วิถีการดำรงชีวิตของพวกเขาแม้จะดูลำบากยากแค้นอยู่เนืองๆ แต่ก็เป็นการดำรงชีวิตที่มีความสุข การได้อยู่กับธรรมชาติและแผ่นดินที่สามีทิ้งไว้ให้ ได้ทำอาชีพที่ตัวเองถนัด นี่คือความสุขที่ป้าไหมเลือก สายใยและนัน(ลูกเขย)เองก็พร้อมที่จะเดินตามรอยเท้าผู้เป็นแม่ของเขาด้วยเช่นกัน


....แสงอรุณยามเช้าปลุกสรรพสิ่งให้ตื่นจากความหลับไหล จากความฝัน ยามเช้าคือเสรีภาพแห่งมวลชีวิตของมนุษย์ เหล่านกกาโผผินบินออกจากรังทำหน้าที่ของมัน นี่คือวัฏจักรของสิ่งมีชีวิตที่ดำเนินมา และจะเป็นอย่างนี้ต่อไปตราบนานเท่านาน วีถีครอบครัวชาวนาตั้งแต่บรรพบุรุษรากเหง้าที่ดำรงชีวิตเป็นไปด้วยความเรียบง่าย ทำให้เกิดภาพความงดงามในมโนคติของผู้ที่ได้พบเห็น และเมื่อได้เข้าไปสัมผัสคลุกคลีอย่างลึกซึ้งแล้วก็จะรู้ว่า นี่แหล่ะความสุขของชีวิตที่แท้จริง การใช้ชีวิตความเป็นอยู่แบบเรียบง่ายและพอเพียง จะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขทั้งร่างกายและจิตใจ และสิ่งที่เราต้องปรับใจเปิดกว้างให้ได้เพื่อให้ใจเกิดสุขนั่นก็คือความเพียงพอ ชีวิตของคนเราเริ่มต้นใหม่ได้ในทุกๆวันดั่งเช่นแสงอรุณ ค่ำคืนที่เลวร้ายผ่านเข้ามาและก็ต้องผ่านพ้นไป ยังมีเช้าวันที่สดใสรอเราอยู่ข้างหน้า ล้มวันนี้เพื่อลุกตื่นในวันข้างหน้า อุปสรรคคือสิ่งที่ต้องทะลวงฟันฝ่า เป็นบททดสอบของจิตใจ ฝึกให้เป็นคนที่สู้ชีวิตที่มีคุณค่า ก้าวย่างต่อไปข้างหน้าด้วยความทรนง ช่วงชีวิตของคนเราอาจจะมีทั้งช่วงที่มืดมนและสดใส ค่ำคืนของชีวิตอาจไม่ใช่ความมืดและถึงอย่างไรแม้ในความมืดก็ใช่ว่าเราจะมองไม่เห็นอะไรเลย เมื่อชีวิตเราต้องเผชิญกับความมืด ไม่ว่าจะสั้นหรือยาวเพียงไรจงอย่าหวั่นหรือสิ้นหวังกับการมองเห็นทางออก เพราะเมื่อเราปรับสายตาให้คุ้นชินเราก็อาจจะมองเห็นได้แม้ภาพอาจจะไม่ชัดก็ตามที.....










" วัดอุดมคีรีเขต " คือสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านหนองนางาม วัดแห่งนี้มีพระภิกษุ-สามเณรอยู่ทั้งหมด9รูป ภายใต้การปกครองของพระครูอุดมรัตนคุณ หรือที่ชาวบ้านเรียกสั้นๆจนติดปากว่า หลวงพ่อพระครูเพชร ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้ ซ้ำยังควบตำแหน่งเจ้าคณะตำบลบ้านหนองนางามอีกด้วย เสียงสนทนาดังออกมาจากศาลาการเปรียญหลังใหญ่หลังจากที่พระภิกษุ-สามเณรฉันภัตตาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้หลวงพ่อพระครูอุดมรัตนคุณ กำลังนั่งซักไซ้ไล่เลียงกับคนกลุ่มหนึ่ง

" เอ้อ...แล้วพวกมึงสามคนซือจั่งได๋กันแนหล่ะ " เสียงหลวงพ่อพระครูฯผู้มีอภิญญาเป็นเลิศในแทบทุกด้าน เอ่ยปากถามพร้อมกับจ้องมองไปยังเด็กทั้งสามคนที่กำลังนั่งก้มหน้าสงบเสงี่ยมอยู่ยังเบื้องหน้าของท่าน

" ผมซือขวัญครับ... ผู้นี้ซือไผ่ ส่วนถัดไปซือว่าจักรครับ พวกผมเป็นหมู่กันครับหลวงพ่อ " เด็กชายตัวน้อยที่ชื่อขวัญเอ่ยปากบอกพร้อมกับพนมมือไหว้ แสดงให้เห็นว่าผ่านการอบรมบ่มนิสัยมาพอสมควร

" เออ...ดีๆ ซูมื้อนี้มันแฮ่งต๊ะหาเณรน้อยยากอยู่ บวชเข่ามากะดีแล้วหล่ะ สิได้เล่าเฮียนเขียนอ่านไปนำ วัดหลวงพ่อนี่กะเปิดสอนนักธรรมอยู่คือกัน คันตั้งใจเฮียนหลวงพ่อกะสิส่งให่ได้เฮียนจนได้ดิบได้ดีเป็นมหาพุ้นหล่ะ " ท่านเอ่ยและยิ้มอย่างมีเมตตา

" จั่งซั่นกะถือว่าเป็นวาสนาของลูกๆมันหล่ะขอรับหลวงพ่อพระครูฯ กระผมกะหวังว่าพอสิให่พวกมันฮู้จักควมแน เป็นคนดีต่อไปในข้างหน่าแค่นี้กะดีใจแล้วหล่ะขอรับ " ทิดจวนพ่อของเจ้าขวัญที่นั่งอยู่ข้างหลังของลูกชายพูดพร้อมกับยิ้มปีติเมื่อได้ยินทางหลวงพ่อพระครูฯท่านบอก

" ฉันกะบ่มีปัญญาสิส่งลูกมันเฮียนคือคนอื่นเขาดอกจ้าหลวงพ่อใหญ่ พอดีลูกมันมาขอฉันว่าอยากสิบวชเฮียนเอา กะเลยพากันเห็นดีนำ " เสียงป้าไหม แม่ของเจ้าไผ่พูดสนับสนุนทิดจวนอีกที

" เออ ..เออ..ดีแล้วหล่ะแต่ว่ามันเกิดปีได๋หล่ะสามคนหนิ " หลวงพ่อพระครูฯเอ่ยถาม

" มันเกิดปีมะเมียขอรับ" เสียงทิดจวนเอ่ยปากบอกพร้อมกับพนมมือ

" อืม....ปีมะเมียกะเป็นปีม้าเนาะ คือสิพากันคล่องแคล่วว่องไวดี อ่านออกเขียนได้อยู่ดอกตี๊ บักได๋เก่งๆวาสนาดีเดี๋ยวหลวงพ่อสิส่งเข่าไปเรียนบาลีอยู่ทางอำเภอพล หลวงพ่อมีหมู่อยู่หั่น ขออย่างเดี๋ยวไห่พากันตั้งใจหมั่นเพียรเอา เอ๊า....ลองเบิ่งหมอนี้ก่อน เกิดมื้อหยั๋งเดือนหยั๋งมึงหน่ะ " หลวงพ่อพระครูฯ ชี้มือไปที่เจ้าขวัญ










" ผมเกิดวันอาทิตย์ เดือนสิงหาคมครับ " ขวัญพนมมือบอกอย่างนอบน้อม พระครูผู้มีอภิญญารอบด้านใช้หลักคำนวนนับมืออย่างผู้รู้ไม่ถึงนาทีก็ยิ้มออกมาพลางนึกในใจว่าเด็กน้อยคนนี้เป็นผู้ที่มีวาสนาสูงยิ่งนัก น้อยคนที่เคยได้ตรวจดูดวงชะตาให้จะมีวาสนาสูงดั่งเช่นเด็กน้อยคนนี้

" หมอนี้มันวาสนาดีเว๊ย... วาสนามึงสูงอีกต่างหาก อุปถัมภ์กะดีคือกัน ..ตกวันอาทิตย์ม้าคนเลี้ยงไว้ใช้ มีเดชมีอำนาจดี เดือนเก้าตกพระยานั่งแคร่ สิได้ดิบได้ดีไปหน้า เป็นคนใจบุญ คันแม่นบวชกะสิได้เป็นฮอดเจ้าสมภารเจ้าอาวาสพุ้นหล่ะมึง สติปัญญาไหวพริบกะดี คืออยู่ว่ะ มึงหน่ะเป็นตาได้ดิบได้ดีรวยไปหน่าอยู่เด้อ " ท่านพระครูฯกล่าวยิ้มๆพร้อมกับจ้องมองเจ้าขวัญด้วยแววตาอ่อนโยน

" คันเป็นแบบนั้นอีหลีกะถือว่าเป็นบุญกระผมหล่ะขอรับ เฒ่ามากะพอสิได้เพิ่งมันแน
แฮ่งมีลูกซายอยู่ผู้เดียวอยู่ขอรับ " ทิดจวนกล่าวสุขใจอยู่ลึกๆเอื้อมเอามือไปลูบหัวลูกชายด้วยความเอ็นดู

" เอ๊า... แล้วหมอนี้เด...มึงเกิดมื้อหยั๋งเดือนหยั๋ง " หลวงพ่อพระครูฯชี้มือไปที่เจ้าไผ่ซึ่งนั่งถัดจากขวัญไป

" ผมเกิดวันเสาร์ต้นเดือนกุมภาพันธ์ครับ " ไผ่บอกพร้อมกับพนมมือ ซึ่งหลวงพ่อพระครูฯก็ใช้เวลาคำนวนตามหลักสูตรโหราศาสตร์ที่ท่านร่ำเรียนมาไม่นานเช่นกัน

" หมอนี่ตกมื้อบ่ดีปานได๋ ต่อไปหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเจ้าของลำบากแน แต่มึงตกเดือนดีเด้อ มึงตกเดือนยี่ม้าอัศวราชธาตุไฟในแก้ว สติปัญญากะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี วาสนามึงกะอยู่ปานกลางแต่ว่าสู่บักนี้บ่ได้ " ท่านชี้มือไปที่เจ้าขวัญพลางกล่าวกับเจ้าไผ่ต่อไปว่า

" แต่ว่ามึงตกอุปถัมภ์ดี ไปไสมาไสสิมีคนอุปถัมภ์คำซูดี เว้าง่ายๆกะคือว่ามึงมีอุปภัมภ์ดีกว่าวาสนาว่ะ เป็นคนมีศิลปะอยู่แนจั๊กหน่อย แต่ต้องคอยระวังเจ้าของเด้อมึง คบหมู่คบพวกกะเบิ่งดีๆ คันมึงบ่เฮ็ดไห่เจ้าของเดือดฮ้อนกะสิมีหมู่มาเฮ็ดไห่มึงเดือนฮ้อนแทน จำคำกูไว้ไห่ดี " ท่านกล่าวพร้อมมองตาเป็นประกายไปที่เจ้าไผ่

" ครับผม " เสียงเจ้าไผ่ตอบพร้อมพนมมือไหว้ สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ป้าไหมเองก็ดูสีหน้าจะไม่ต่างกับเจ้าไผ่เช่นเดียวกัน

" เอ๊า.... ต่อไปบักนี้ " หลวงพ่อพระครูฯชี้มือไปที่เจ้าจักรซึ่งนั่งก้มหน้าเงียบอยู่

" ผมเกิดวันพุธปลายเดือนพฤจิกายนครับ " จักรพนมมือไหว้บอกท่าน ท่านพระครูฯนิ่งไปครู่นึงก่อนจะเอ่ยออกมาว่า

" มึงตกมื้อบ่ดีปานได๋ วันพุธตกม้าสาธารณะ หากินลำบากฝืดเคืองแน สติปัญญาดีอยู่ แต่วาสนามึงสู่บักสองคนนี่บ่ได้ อุปถัมภ์กะบ่ค่อยมีปานได๋ ตกเดือน12กะบ่ทรงดีปานได๋ มึงเป็นคนมีศรัตรูแนจักหน่อย เออ...หมอนี้ทรงใจหลายอยู่เนาะ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ่นอยู่กับใจมึงเด้อ สิดีฮึ๊บ่ดีกะขึ่นอยู่นำใจมึง มึงต้องเลือกไห่มันดี อย่าเป็นคนมือเร็วใจเร็วเดี๋ยวมันสิติดคุกติดตะรางเอาได้ง่ายๆ แต่ว่าคันบวชเข่ามากะดีแล้วหล่ะ หลวงพ่อกะสิได้บอกได้สอนแนอยู่ดอก " ท่านเอ่ยอย่างมีเมตตาธรรม

" ฟังแล้วเป็นตาหนักใจนำมันแท้น้อขอรับพระครูฯ วาสนาฮึ๊อุปถัมถ์อั่นได๋กะบ่มีนำหมู่เขา " ทิดเลิศกล่าวด้วยสีหน้าไม่สบายใจ

" บ่พอสิแก้ได้ติจ้าหลวงพ่อ " ป้าอ้อยแม่เจ้าจักรที่นั่งอยู่ข้างๆผู้เป็นสามีกล่าวออกมาด้วยความไม่สบายใจอีกคน

" ชะตาชีวิตคนเฮาเนาะมันบ่คือกัน แม่นสิเกิดปีเดียวกันกะตามซ่างแต่มื้อเดือนมันบ่คือกันมันกะเลยต่างกันแน แข่งบุญแข่งวาสนามันกะทรงยากอยู่แหล่ว คนเฮาสิมีบุญวาสนามาก่อนกะคือสะสมส่างบุญส่างกุศลมาหลาย ส่างกรรมดีกะส่งผลมาดี แต่กะอย่าไปคิดหลายเมื่อเฮาเกิดมาแล้วเฮากะตั้งใจเฮ็ดคุณงามความดีหลายๆมันกะดีขึ่นมาเองดอก ขออย่างเดียวอย่าไปเฮ็ดนวบ่ดีเพิ่มเดี๋ยวมันสิหนักหน่าตื่มลงไปอีก " หลวงพ่อพระครูกล่าวเยือกเย็น

" ขอรับ ผมกะว่าอยู่ดอก พากันอยู่บ้านกะหายิงแต่นก กัดแต่ปลาเอาโล้ด
ได้บวชเข่ามากะสิดีขึ่นอยู่ดอกตี๊ขอรับ แต่ว่ามื้อได๋ดีหล่ะขอรับพระครู " ทิดเลิศกล่าว

" เอาเป็นว่ามื้อฮือ (วันมะรืน) ช่วงประมาณนี้กะได้เด้อพอดีว่างอยู่ มันบวชบ่ยากดอกบวชเณรน้อย บ่ยากคือบวชพระดอก เอาตามนั้นเนาะ " หลวงพ่อพระครูเอ่ย

" ขอรับ จั่งซั่นพวกผมกะสิขอโตลาก่อนขอรับ เดี๋ยวมื้อนั้นกะสิได้พาหมู่ลูกมันมาขอรับ " ทิดจวนกล่าวพร้อมกับก้มกราบลาท่าน

" ได้ๆ เอาตามนั้นเนาะ ดีแล้วดีแล้ว วัดเฮาสิได้มีเณรน้อยเพิ่มขึ่นมาอีกแน ลูกซายมาบวชแล้วกะสิดึงพ่อดึงแม่เข่ามาวัดมาส่างบุญส่างกุศลนำ " ท่านกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างมีเมตตา...

นิยาย กรรมลิขิต 2


..เสียงข่าวยามเช้าจากบ้านกำนันชม กำนันตำบลหนองนางาม ดังแว่วมาแต่เช้า เสมือนเป็นนาฬิกาปลุกชั้นดีให้กับชาวบ้านตื่นตระเตรียมพร้อมกับหน้าที่การงาน แสงอรุณเช้าวันใหม่ดูสดใสเป็นพิเศษ ท้องทุ่งนาเต็มไปด้วยหญ้าที่เขียวขจีหลังจากที่ฝนตกติดต่อกันเป็นระยะ วิถีชิวิตของชาวนากำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว หัวหน้าครอบครัวเริ่มทำการสำรวจอุปกรณ์ของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นไถ คราดเพื่อเตรียมความพร้อมอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้ใช้มาเป็นปีดูจะมีให้เห็นอยู่หลายครอบครัว แม่บ้านก็เตรียมก่อไฟนึ่งข้าว ส่วนเยาวชนตัวเล็กตัวใหญ่ก็เตรียมความพร้อมของตัวเองเช่นกัน ต้องตื่นแต่เช้าเตรียมตัวไปโรงเรียนซึ่งเป็นหน้าที่หลักของพวกเขา โรงเรียนบ้านหนองนางามเปิดสอนนักเรียนระดับชั้น ป.1-6 ตอนนี้มีครูประจำอยู่10คน และมีนักเรียนอยู่ในสังกัด170คน ซึ่งไผ่ ขวัญ จักรเองก็พึ่งจบออกมาจากโรงเรียนแห่งนี้ ส่วนผู้ปกครองคนไหนที่มีฐานะดีหน่อยก็จะส่งบุตรหลานของตัวเองเข้าไปศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมในอำเภอมัญจาคีรี ซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบ20กิโล ซึ่งต้องอาศัยบริการรถสองแถวใหญ่ที่คอยวิ่งรับส่งอยู่เป็นประจำ หรือใครที่มีฐานะดีหน่อยก็ซื้อมอเตอร์ไซค์ให้บุตรหลานตัวเองขี่ไปเองเสียเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ไผ่เองก็ต้องพลาดโอกาสกับการที่จะได้ศึกษาต่อเนื่องจากป้าไหมเองก็ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร เป็นคนหาเช้ากินค่ำไปวันๆ ลำพังค่าอุปกรณ์การศึกษาเล่าเรียนก็หนักเต็มทนไหนเลยจะต้องมาแบกภาระกับค่ารถ ค่ากินในแต่ละวันคงไม่ไหวแน่ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าไผ่จึงต้องยอมรับชะตากรรมของตัวเอง ขวัญและจักรก็เช่นกัน แม้เจ้าไผ่จะเสียดายอยู่บ้างกับการที่พลาดหวังในการศึกษาต่อ แต่เขาก็ไม่ได้คิดน้อยใจป้าไหมเลยเนื่องจากเข้าใจดีว่าแค่นี้แม่เขาก็เหนื่อยเต็มทนแล้ว


" นก " หรือขวัญชนก เพื่อนนักเรียนหญิงตอนชั้นประถมที่ไผ่ดูจะสนิทสนมเป็นพิเศษ เธอและเพื่อนคนอื่นๆมีโอกาสดีกว่าไผ่หลายเท่านักเมื่อพ่อกับแม่ของเธอให้ได้โอกาสกับเธอได้ศึกษาต่อในตัวอำเภอ มีหลายครั้งที่ไผ่เฝ้ามองเธอในยามเช้าและคิดอยากที่จะติดตามไปเรียนด้วยในตัวอำเภอ แต่มันก็เป็นได้แค่ความคิดความฝันเท่านั้นสำหรับเขา แม้แต่เช้านี้ก็เช่นกันที่ไผ่ยืนมองเพื่อนหญิงของเขา

" เพินนก.. เป็นได๋ไปเรียนในโตอำเภอมีหมู่หลายบ่ ครูเพินสอนดีคือจั่งโรงเรียนเฮาบ่ " ไผ่หมายถึงโรงเรียนบ้านหนองนางามที่เขากับนกพึ่งจะจบออกมา สายตาจ้องมองดูขวัญชนกที่กำลังเดินไปเพื่อจะขึ้นรถสองแถวขนาดใหญ่ที่จอดรออยู่ ตอนนี้นักเรียนดูจะมากทีเดียวเนื่องจากบ้านหนองนางามเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่

" ครูเพินสอนดีอยู่เพินไผ่ ที่สำคัญหมู่กะหลายนำ ตอนนี้นกมีหมู่ตั้งหลายคนแล้ว " ขวัญชนกหันกลับมาบอกพร้อมกับยิ้มให้เขา

" ดีแล้วหล่ะเพินนก ตั้งใจเรียนเด้อเฮากะอยากไปเรียนอยู่แต่กะบ่มีโอกาสดอก " บอกพร้อมยิ้มเจื่อนๆ อีกไม่นานเมื่อขวัญชนกได้เจอเพื่อนใหม่มิตรภาพใหม่ สุดท้ายก็คงจะลืมเขาเพื่อนที่เคยเรียนชั้นประถมด้วยกันเป็นแน่แท้ ไผ่ถอยตัวออกมายังจุดนั้นด้วยหัวใจที่หดหู่ และเดินไปยังจุดที่เขาคิดว่ายังมีมิตรภาพความเป็นเพื่อนให้เขาอยู่เต็มเปี่ยมนั่นก็คือบ้านของขวัญนั่นเอง ....ทิดจวนพ่อของขวัญนั้นเป็นคนในหมู่บ้านแห่งนี้ส่วนป้าพรแม่ของขวัญเป็นคนบ้านโคกหินแตกที่อยู่ห่างกันออกไปไม่ไกลนัก บ้านโคกหินแตกอยู่ภายใต้การปกครองของตำบลหนองนางามเช่นกัน

" เพินขวัญ.. มื้อนี้กินเข่าแล้วเฮาออกไปหายิงนกบ่เพินเดี๋ยวค่อยออกไปหาเพินจักรพุ้นเลย " ไผ่ถามเพื่อนรัก ซึ่งเจ้าขวัญตอนนี้ดูจะให้ความสนใจกับดอกดาวเรืองที่ตัวเองปลูกไว้อยู่หน้าบ้าน ตอนนี้ออกดอกสีเหลืองคละเคล้าสีส้มดูสวยงามเป็นยิ่งนัก

" ไปกะไปติเพิน อยู่บ้านซือๆกะเซ็ง ออกไปเหล่นนำตีนภูแนกะดี " เอ่ยบอกแต่สายตายังให้ความสนใจกับเจ้าดอกไม้

" จั่งซั่นเฮากลับไปกินเข่าก่อนเด้อ จักหน่อยสิออกมาหา /// นี่แหม่นเฮามีหมู่เป็นผู้หญิงฮือผู้ซายหว่า ฮ่าๆๆ " บอกเพื่อนรักพร้อมกับเดินหัวเราะกลับไปยังบ้านของเขา

หลังจากที่ไผ่จัดการกับภาระกิจท้องของตัวเองเรียบร้อยแล้ว จึงได้ขออนุญาตป้าไหมผู้เป็นแม่ซึ่งป้าไหมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เมื่อจัดเตรียมอาวุธคู่กายแล้วก็เดินออกไปหาเพื่อนรัก ขวัญเหมือนจะเตรียมพร้อมรอเจ้าไผ่อยู่ก่อนแล้วทั้งสองมุ่งหน้าไปยังทิศเหนือของหมู่บ้าน ซึ่งจุดประสงค์ของพวกเขาก็คือบ้านของลุงเลิศ พ่อของเจ้าจักรนั่นเอง ลุงเลิศแกเป็นคนในหมู่บ้านแห่งนี้ ส่วนป้าอ้อยผู้เป็นแม่ เป็นคนทางอำเภอผาขาว จังหวัดเลยที่ย้ายตัวเองลงมาอยู่กับสามีเฉกเช่นเดียวกันกับป้าไหม



สามสหายมุ่งหน้าสู่ภูเม็งซึ่งมองเห็นอยู่ไม่ไกลนัก เดินผ่านหน้าวัดอุดมคีรีเขต ดูข้างในแล้วช่างร่มรื่นเป็นยิ่งนัก เหมาะสำหรับที่จะปฏิบัติธรรมขัดเกลากิเลศภายในใจ แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งสามกำลังจะสวมบทนักล่า เลยจำต้องตัดความคิดนี้ออกไปเสียก่อน เยื้องกันไปเป็นโรงเรียนที่พวกเขาพึ่งจบออกมา มองเห็นน้องๆอยู่เป็นกลุ่มที่กำลังช่วยกันทำความสะอาดสถานที่ให้ดูสะอาดสะอ้าน สถานที่นี้ช่วยสอนอะไรให้หลายๆอย่าง คุณครูเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สองที่ช่วยประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้อ่านออกเขียนได้และสอนให้เป็นคนดี มิตรภาพความทรงจำที่ดี คิดย้อนกลับไปเห็นครั้งใดก็พลันเรียกรอยยิ้มออกมาได้ทุกๆครั้ง ทุ่งหญ้าเขียวขจี น้ำจากฝนที่ตกติดต่อกันเป็นระยะ ยังความชุ่มชื้นให้กับผืนดินเป็นอย่างมาก น้ำท่วมขังอยู่หลายๆที่ หมู่มวลวิหกโผบิน ร้องก้องพงไพร " ภูเม็ง " ภูเขาที่มีลักษณะคล้ายรูปเตียงตั้งตระหง่านยาวเหยียดอยู่ ณ เบื้องหน้า พวกเขาทั้งสามใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงยังตีนภูเม็ง รอยยิ้มของเจ้าไผ่ผุดขึ้นมาพร้อมกับส่งสัญญาณให้เพื่อนดูกับนกตัวหนึ่งที่จับอยู่บนยอดไม้ อากาศที่แสนจะสดชื่นและต้นไม้ที่มีอยู่แบบสมบูรณ์ของภูเขาลูกนี้เป็นที่ดึงดูดใจให้นกนาๆชนิดรวมถึงสัตว์ต่างๆได้เข้ามาใช้เป็นที่อาศัยหากิน และใช้เป็นที่พักพิงอยู่เป็นจำนวนมาก นกน้อยตัวนี้ยังจับกิ่งไม้ยืนสงบนิ่ง โดยหารู้ไม่ว่ามัจจุราชกำลังเคลือบคลานเข้ามาถึงตัว ไผ่กระชับหนังสติ๊กซึ่งใช้เป็นอาวุธคู่กายพร้อมล้วงเข้าไปในกระเป๋าย่ามเพื่อเอากระสุนซึ่งใช้ลูกหิน เตรียมพร้อมยกเล็ง หลับตาข้างขวาลงให้เหลือข้างซ้ายมองเพียงข้างเดียว เพื่อจุดโฟกัสจะได้แม่นยิ่งขึ้น โดยมีจักรและขวัญยืนลุ้นว่า " เป้าหมายสังหาร " จะร่วงหรือจะบิน

" ปิ๊วววว "

เสียงลูกหินแหวกอากาศธาตุไปด้วยความเร็ว


คนที่เชื่อมั่นในหลัก " กรรมลิขิต" ว่า " ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว " ย่อมทำแต่ความดีหลีกหนีความชั่ว รู้จักพึ่งตนเอง ขยันทำกิจการไม่เกียจคร้าน ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่สร้างวิมานในอากาศ ประสงค์สิ่งใดก็ลงมือทำ เพื่อให้เป็นจริงตามปรารถนา เมื่อมีอุปสรรคเกิดขึ้นก็ไม่ย่อท้อ พยายามหาทางแก้ไขและต่อสู้จนประสบความสำเร็จ คนประเภทนี้แม้จะเกิดมายากจนเพราะอำนาจของกรรมชั่วที่ทำไว้ในอดีต ก็มักจะก่อร่างสร้างตัวจนฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น ด้วยอำนาจกรรมดีที่ทำในปัจจุบัน ไม่มัวแต่เพ้อฝันอยากได้ดีลอยๆ โดยไม่ลงมือทำ ถ้าความอยากได้ดีลอยๆ โดยไม่ต้องทำอะไร จะเป็นเหตุให้สำเร็จความปรารถนาแล้ว ใครเล่าในโลกนี้จะยากจน หรือพลาดจากสิ่งที่หวัง.

บทความจากธรรมจักร



" ปิ๊ววว..." เสียงลูกหินแหวกอากาศธาตุไปด้วยความเร็ว ในขณะที่เจ้าวิหคน้อยตัวนั้นกำลังเพลินเพลินกับสรรพสิ่งรอบข้างอันแสนสดชื่น โดยหารู้ไม่ว่ามัจจุราชตอนนี้กำลังพุ่งตรงเข้ามาหาแบบที่มันไม่เคยคาดคิดมาก่อน

" ....ปึ๊กกก.... " เสียงดังหนักแน่น เมื่อก้อนหินวิถีกระสุนของไผ่เข้าปะทะที่กลางลำตัวนกน้อยเต็มๆ ขนปลิวว่อนทันทีพร้อมกับผงะหงายลอยไปตามความแรงของวิถีกระสุน ขาดใจตายตั้งแต่อยู่ในนภากาศก่อนที่จะตกลงถึงพื้นดินด้วยซ้ำ

" เย๊ ..เย๊.. แฮกหมานแล้วหมู่เฮา ฝีมือเพินไผ่หนิยังใซ้ได้อยู่เว๊ยย... " เจ้าจักรเอ่ยยิ้มๆเมื่อเป้าหมายสังหารครั้งแรกเป็นไปตามความคิดของเขา ขวัญเดินเข้าไปเก็บนกน้อยที่ตอนนี้นอนกองอยู่พื้นดินมันไร้ซึ่งลมหายใจเสียแล้ว ความเจ็บปวดคงไม่ต้องเอ่ยถึงว่าโดนเข้าไปหนักเพียงไร การล่าของพวกเขาทั้งสามถูกดำเนินไปเรื่อยๆจนถึงเที่ยงวัน โดยไผ่กับจักรจะสลับผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่หน่วยซุ่มยิง โดยที่ขวัญจะคอยเป็นหน่วยเคลียร์พื้นที่เก็บเหยื่อที่ถูกวิถีกระสุนเสียมากกว่า " ภูเม็ง " ภูเขาที่กินพื้นที่ยาวไปหลายอำเภอยังถือว่ามีความอุดมสมบูรณ์เกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ทีเดียว อำเภอมัญจาคีรีนั้นก็คงจะตั้งชื่อตามภูเขาลูกนี้ก็เป็นได้ " เม็ง " เป็นภาษาพื้นเมืองแปลความหมายได้ก็คือ เตียงนั่นเอง และได้เปลี่ยนคำว่าเม็งมาใช้เป็นภาษาบาลีว่า มัญจา ซึ่งบนภูเขาเม็งนั้นมีก้อนหินใหญ่รูปร่างลักษณะคล้ายเตียงนอนปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้ และเติมคีรีซึ่งแปลว่าภูเขาเข้าไป มัญจาคีรีก็น่าจะแปลรวมได้ว่า เมืองที่มีภูเขารูปเตียงนั่นเอง

สามสหายเพลิดเพลินอยู่กับการยิงนกไปจนถึงเกือบบ่ายโมงก็มีอันต้องยุติลง เมื่อท้องเริ่มจะหิวและเริ่มจะสร้างปัญหาให้กับพวกเขาเสียแล้ว เย็นนี้คงได้อิ่มอร่อยกับเมนูของโปรดเป็นแน่แท้เลย วันนี้ดูเหมือนว่าไผ่และจักรจะเป็นผู้ที่ทำอกุศลกรรมขึ้นเสียด้วยสิ เพราะในกระเป๋าย่ามที่ขวัญสะพายอยู่นั้นมีนกนอนแอ้งแม้งอยู่เกือบ20ตัวเป็นฝีมือของเขาสองคนทั้งนั้นเลย การเดินทางออกมาจากภูเม็งด้วยการเดินเท้าฝ่าต้นไม้ใบไม้หรือต้นหญ้าเหมือนจะราบรื่นดี แต่เหมือนว่าวันนี้การสะสมกรรมของพวกเขาจะยังไม่หยุดอยู่แค่นี้เสียแล้ว เมื่อเท้าของเจ้าขวัญพลันสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่งจนได้





" ตึ๊กกก... โอ๊ย..." ร้องเสียงหลง หน้าคะมำล้มลงไม่เป็นท่าจนไผ่และจักรที่เดินตามหลังมาต้องงวยงง

" หึ๊ยย... แม่นหยั๋งเพินขวัญ....เป็นหยั๋งเพิน " เสียงไผ่กับจักรถามขึ้นพร้อมกันและไผ่เองก็วิ่งเข้าไปเพื่อจะดึงแขนเพื่อนรักขึ้น แต่เท้าของไผ่ก็ไปสะดุดกับของแข็งที่ถูกใบไม้ปกคลุมอยู่เช่นกันถึงกับหน้าคะมำไปอีกคน แต่ยังไม่ถึงกับล้มยังประคองตัวได้อยู่ และเขาคิดว่าสิ่งที่ทำให้ขวัญล้มหน้าคะมำนั้นคงจะเป็นสิ่งที่เขาเจออยู่แน่ๆ

" เพินจักรระวัง เฮาเตะอีหยั๋งบุ๊หนิอยู่ใต้ใบไม้ เป็นสีแข็งไอยู่แหม่ะ " ไผ่บอกเพื่อนรักที่กำลังจะตามเข้ามาให้ระวังก่อนและเขาก็ดึงแขนขวัญให้ลุกขึ้นมาได้

" เดี๋ยวเฮาหาไม้เขี่ยออกเบิ่งก่อน ใบไม้มันหนาเติบอยู่ " จักรเจอกิ่งไม้แห้งที่วางอยู่ไม่ไกลนักเขาค่อยๆเขี่ยใบไม้แห้งออกเพื่อดูว่ามีสิ่งใดซ่อนตัวอยู่ข้างล่างโดยไผ่และขวัญยืนลุ้นระทึกอยู่ไกล้ๆ หลังจากเปิดใบไม้แห้งออกพวกเขาทั้งสามก็เผยอยิ้มออกมาเมื่อมองเห็นเต่าตัวขนาดเขื่องนอนสงบนิ่งอยู่ตรงจุดนั้น กระดองของมันมีสีเหลืองแก่ปนสีน้ำตาล

" เต่าเพ็กเพิน เอากลับไปผัดเผ็ดดีบ่ " เสียงของจักรดังขึ้นถามความเห็นเพื่อนรักทันที

" แล้วแต่โตเพินจักร เฮาบ่อยากเฮ็ดปานได๋ดอกเต่าหนิ เฮาได้ยินแม่เพินว่าเต่าเป็นสัตว์เก่าแก่แหม่ะบ่เป็นตาเอาไปเฮ็ดกินดอก " ไผ่บอก

" เฮาเห็นแต่เพินพากันเอาไปปล่อยไว้พุ้นแหม่ะทางบ้านกอก ตำบลสวนหม่อน ตอนนี้ได้ข่าวว่าหลายขนาดเลย " ขวัญเสริมคำพูดของไผ่

" บ่เป็นหยั๋งดอกเพิน จั่งได๋กะเอากลับไปบ้านนำก่อนเฮ็ดจั่งได๋ค่อยว่ากันเนาะ เดี๋ยวเฮาถือเองดอก " จักรเอ่ยยิ้มๆ วันนี้รู้สึกว่าจะได้สิ่งเหนือความคาดหมายเข้ามาอีกอย่าง ทั้งสามคนจึงมุ่งหน้าเดินทางกลับเข้ายังหมู่บ้านโดยที่จักรเป็นคนอุ้มเอาเจ้าเต่าเพ็กติดมือมาด้วย " เต่าเพ็ก " เป็นเต่าที่มีกระดองสูง ลักษณะคล้ายหมวกเหล็กทหาร ถ้าโตเต็มที่จะมีกระดองสีเหลืองปนดำยาวประมาณ 30เซ็นติเมตรและหนักถึง7กิโลกรัมทีเดียว ขาหลังแข็งแรง สั้นป้อม ตู้ มีเกล็ดขนาดใหญ่ที่ผิวหนังขาหลังมีลักษณะแบบขาช้าง นิ้วไม่มีพังผืดและมีเล็บที่แข็งแรง มีให้พบเห็นตามทั่วไปในแถบอีสาน โดยเฉพาะอำเภอมัญจาคีรีแห่งนี้ดูจะมีเยอะเป็นพิเศษทีเดียว เดินผ่านจนมาถึงหน้าวัด " อุดมคีรีเขต " อีกครั้งพลันหูแว่วได้ยินเสียงดังมาจากเขตพุทธาวาสข้างใน

" อเสวนา จะพาลานัง ปัณฑิตานัญจะเสวนา ปูชาจะปูชะนียานัง
เอตัมมังคะละมุตตะมัง ปฏิรูปเทสะวาโส จะบุปเพจะกะตะปุญญตา "

เสียงใสแว่วนี้ทำให้พวกเขาทั้งสามต้องส่องสายตาหาต้นตอและก็พบกับเจ้าของเสียงซึ่งเป็นสามเณรรูปหนึ่งนั่งสงบเสงี่ยมมีหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในมือโดยมีสามเณรอีกรูปนั่งอยู่ข้างๆ มองดูแล้วยังรอยยิ้มให้กับพวกเขาทั้งสามเหมือนมีมนต์สะกดนิ่งของกุศลกรรมอันดีชักนำให้พวกเขาต้องยืนสงบมองดูด้วยสายตาเป็นประกายแฝงไปด้วยความศรัทธา



" ป๊ะเพิน... ฟ้าวกลับเข่าบ้านเถาะ เฮาหิวเข่าแล้วแหม่ะ " เสียงของจักรดึงความสงบภายในใจของขวัญกับไผ่หลุดออกมาจากภวังค์ จำต้องเดินตามจักรออกมาจากจุดนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อกลับเข้ามาถึงบ้าน สหายรักต่างคนต่างก็จัดการกับปากท้องของตนเองเป็นที่เรียบร้อยโดยมีจุดนัดหมายกันที่บ้านของขวัญเพื่อจัดการกับนกที่ยิงมาได้ พวกเขาใช้เวลาจัดการไม่นานนักก็สามารถถอนขนบรรดานกที่หามาได้เสร็จเรียบร้อยแต่ว่าก็จำเป็นต้องใช้ไฟลนตามตัวของนกเพื่อให้ขนเล็กนั้นดูเกลี้ยงเกลาอีกหน่อย ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องก่อกองไฟขึ้นโดยงานนี้เจ้าไผ่รับผิดชอบไป โดยมีทิดจวนพ่อของเจ้าขวัญคอยนั่งสังเกตุดูพวกเขาอยู่ห่างๆ

" พวกมึงพากันยิงมากะด้อกะเดี้ยเนาะ แต่ละมื้อบ่พากันเฮ็ดอีหยั๋งหายิงแต่นก กูว่านกแถวนี้สิดับแนวย้อนหมู่สูนี้หล่ะ หึหึ " ทิดจวนเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอยู่ในลำคอโดยที่นั่งซ่อมแซมข้องไปด้วย สายตาเหลือบมองดูพวกเขาทั้งสามนั่งจัดการกับนกแบบผู้ชำนาญงาน

" ออกโรงเรียนกะบ่มีหยั๋งเฮ็ดน้ออี๊พ่อ กะถ่าเฮ็ดแต่นาซอยเจ้า อยากเรียนกะบ่ได้เรียนแนวเจ้าบ่ไห่ผมเรียน จั่งซั่นกะไห่ผมบวชเรียนติหล่ะ " ขวัญเอ่ยกับพ่อของเขาภายในใจพลางนึกไปถึงสามเณรรูปนั้นอยู่จนต้องเผลอยิ้มออกมาด้วยความศรัทธาอยู่ลึกๆ

" เอ่อ...กะดีคือกันว่ะ พ่อเห็นเณรน้อยอยู่วัดเพินกะบวชเรียนหลายคือกันเด๊ะ หลวงพ่อพระครูเพินส่งไปเรียนจนได้ดิบได้ดีกะมีหลายคือกัน ไคกั่วพวกสูสิมาหายิงนกยิงกะปอมอยู่เลาะบ้านอยู่เด๊ะ อายุแค่นี้ซอยเวียกซอยงานกะบ่ทันได้ปานได๋ดอก หาร่ำหาเรียนคือสิเหมาะกั่วพ่อว่า " ทิดจวนบอกทำให้เจ้าขวัญผู้เป็นลูกชายถึงกับยิ้มออกมา

" ครับอี๊พ่อ ผมกะอยากเรียนครับแต่คันผมบวชกะต้องไห่เพินไผ่เพินจักรบวชนำกันพอได้มีหมู่แน " บอกพ่อแต่สายตากลับมองไปที่เพื่อนรักทั้งสอง

" เดี๋ยวค่อยคุยกันเพินขวัญ แต่ตอนนี้ซอยเฮาคิดก่อนว่าสิเฮ็ดแบบได๋กับเต่าโตนี้ดี " จักรขอความเห็นพร้อมจ้องมองดูเต่าเพ็กที่นอนสงบนิ่ง ซึ่งถูกจักรวางไว้อยู่ไกล้ๆกับเตาไฟ

" โตถามพ่อเฮาพุ้นเพินจักร เฮาบ่ฮู้แนวเฮ็ดดอก " ขวัญโยนออกไปให้พ่อช่วยคิด

" ลุงจวนเต่าเฮ็ดหยั๋งกินค่อยสิแซบลุง ผัดเผ็ดดีบ่ครับ ลุงเฮ็ดได้บ่ " ????????

" เฮ็ดเป็นอยู่ แต่กูบ่อยากฆ่าเต่าปานได๋ว๊ะ แต่ถ่าฆ่ามาแล้วกูสิเฮ็ดให่กินเองกะได้อยู่ " ทิดจวนบอกซึ่งในใจแกก็หมายความตามนั้นจริงๆ แม้เมนูผัดเผ็ดเต่าดูจะเป็นเมนูที่อร่อยแล้ว แต่คนโดยทั่วไปก็ไม่ค่อยที่จะนำเต่ามาทำเป็นอาหารเท่าใดนัก โดยเชื่อว่าเต่านั้นเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์และเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนยาวนั่นเอง

" บ่ยากดอกลุงจวน เดี๋ยวผมจัดการสำเร็จโทษไห่เอง " จักรบอกพร้อมกับก้มจับเอาเต่าที่นอนสงบนิ่งอยู่โดยหารู้ไม่ว่าชะตากรรมของมันตอนนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว โดยที่ทุกคนไม่คาดคิดเจ้าจักรโยนเต่าเพ็กตัวเขื่องเข้าเตาไฟทันทีทำเอาลุงจวน ไผ่และขวัญต้องสะดุ้งอ้าปากหวอมองค้างตาม เมื่อถูกความร้อนจากไฟการดิ้นรนหนีเอาตัวรอดก็เริ่มขึ้น เมื่อเต่าเริ่มโผล่หัวออกมาจากกระดองขาทั้งสี่ข้างของมันถูกใช้ในทันทีเพื่อนำตัวเองออกหนีจากเปลวไฟที่กำลังลุกโชน แต่การหนีตะเกียกตะกายเอาตัวรอดของมันนั้นดูจะไร้ค่าขึ้นมาทันที เมื่อจักรใช้ไม้เขี่ยมันกลับเข้าไปยังจุดเดิมอีกครั้งพร้อมกับใช้ไม้บีบกดเน้นน้ำหนักลงไปบนกระดองเพื่อไม่ให้เต่าคลานหนีออกมาได้ ท้ายสุดแล้วความร้อนที่แผดเผายังอานุภาพให้เจ้าเต่าชะตาขาดตัวนี้ต้องหมดเรี่ยวแรงที่จะดิ้นรนต่อสู้ได้ ค่อยๆปิดเปลือกตาลงเหมือนกับว่าน้ำตาหลั่งไหลออกมายอมรับชะตากรรมของตัวเองแบบน่าสงสาร จนไผ่และขวัญต้องเบือนหน้าหนีออกมาทันที

" อ่า....เพินจักร " เสียงขวัญครางออกมาเบาๆ ไม่มีคำพูดนอกเหนือจากนั้นเมื่อเห็นการกระทำของเพื่อนรัก นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาเห็นเพื่อนคนนี้โยนสิ่งมีชีวิตให้เปลวไฟเผาไหม้ตายทั้งเป็นแบบนี้ อนิจจา.... เวรกรรม...เวรกรรม...



วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 1


ตอน ปฐมกรรม 1


...ชะตาชีวิตของคนเราแต่ละคนนั้นย่อมไม่เหมือนกัน แต่ละคนแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง แต่ละคนมีทั้งดีและไม่ดีคลุกเคล้ากันไป เราสามารถที่จะแก้ไขตัวเองไปในทางที่ดีได้ในปัจจุบันเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว แต่กรรมเก่าเราไม่อาจรู้ได้ว่าที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรสิ่งใดไว้บ้างถึงได้ส่งผลให้ต้องได้รับได้เจอในภพปัจจุบัน ชะตาชีวิตคนเราขึ้นอยู่กับกรรมเก่าและกรรมใหม่ เหมือนดังที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า " สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" กรรมย่อมเป็นไปตามดุลยภาพแห่งการกระทำ ความแรงของกรรมขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของผู้กระทำและมักจะส่งผลโดยทางตรงและทางอ้อม ถ้าวันหนึ่งวันใดชีวิตของเราต้องผกผันตกต่ำ ด้อยโอกาสในวาสนาบารมี เกิดท้อใจจนย่อหย่อนในการดำเนินชีวิต ปล่อยชีวิตให้ระหกระเหินตกต่ำโดยไม่คิดสู้ ยิ่งมีวิบากกรรมมากทุกข์ทรมานมาก ก็ยิ่งต้องดิ้นรนให้มาก หาทางสร้างคุณงามความดีชดเชยให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นดีกว่า เพราะถ้าเป็นกรรมที่เบาบางก็อาจหายไปได้ ถ้าเป็นกรรมหนักก็จะบรรเทาเบาบางลงไปครับผม.....




... ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลงต่ำจนเกือบจะถึงยอด "ภูเม็ง" ภูเขาลูกยาวที่กินพื้นที่ไปหลายอำเภอของจังหวัดขอนแก่น และภูเขาลูกนี้ยังเป็นเขตกั้นแดนระหว่าง อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น กับ อำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิอีกด้วย แสงสีส้มอ่อนของดวงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องกระทบยอดไม้ อีกไม่นานนักสรรพสิ่งรอบข้างก็คงมืดมิดเป็นไปตามวัฐจักรแห่งกาลเวลา สายฝนยามเดือน7 ที่เทกระหน่ำลงมาช่วงบ่ายยังความชุ่มชื้นให้กับผืนดินและสิ่งมีชีวิต ท้องทุ่งนาบางแห่งถึงกับมีน้ำท่วมขัง ขวย "จิ้งโกร่ง" (จิโปม) ที่แต่ก่อนผุดขึ้นใต้ต้นหว้าต้นใหญ่อยู่ละลานตา ซึ่งเจ้าของมันใช้เป็นที่อำพรางตัวขุดรูกบดานอยู่ข้างล่าง เสมือนนักรบที่คอยระแวดระวังภัยเมื่อมีศัตรูคุกคาม ตอนนี้เกราะกำบังข้างบนของมันถูกน้าฝนชะล้างจนมองแทบไม่เห็นเค้า ดอกบาน ค่ำตามคันนาบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมคละเคล้ากับกลิ่นของผักแขยงที่กำลังแตกใบเขียวสวย กลิ่นสาบของไอดินโชยกรุ่นเข้ามาปะทะนาสิก ยังความอิ่มเอมใจให้แก่ชาวนา อีกไม่นานนักพวกเขาก็จะได้ทำหน้าที่ของพวกเขาอีกครั้งนึง ซึ่งมีโอกาสเพียงแค่ปีละครั้งเท่านั้นเอง เสียงเขียดจะนาน้อยร้องคอรัสประสานเสียงร้องระงมไปทั่วท้องทุ่งนา เสมือนเป็นดนตรีชั้นเลิศขับกล่อมบรรเลงสรรพสิ่งรอบข้าง เพิ่มเสน่ห์ให้กับผืนดินถิ่นอีสาน ที่เหมือนมีมนตราดึงดูด "อาคันตุกะ" ผู้ที่ไม่เคยได้พบเห็นได้สัมผัสบ่อยครั้งนัก เฝ้าปรารถนาที่จะได้พบเจอและกลับมาสัมผัสกับกลิ่นอายของธรรมชาติแบบนี้อยู่ร่ำไป....


" ไผ่เอ๊ยไผ่...ไผ่เอ๊ย.. ไปไสอีกน้อมันค่ำมันมืดแล้วคือจั่งบ่เห็นมาอาบน้ำอีกอยู่ ...ใยเอ๊ย...น้องหนีไปเหล่นทางได๋อีกหล่ะ เห็นจูงควายมาเข่าคอกแล้วคือจั่งหายมิดจ้อยเลย " เสียงป้าไหมร้องตะโกนออกมาจากบ้านถามลูกสาว เมื่อตะโกนเรียกหาลูกชายไม่พบ ควันไฟกำลังพวยพุ่งขึ้นมายังจุดที่แกอยู่ หม้อนึ่งถูกยกขึ้นวางไว้ที่เตาไฟเพื่อเตรียมที่จะนึ่งข้าวในตอนเย็น

" ใยว่าคือสิไปเหล่นนำเขาบักขวัญคือเก่านั่นหล่ะแม่ ไปไสไกลบ่เป็นดอกนอกจากหม่องหั่น " สายใย ลูกสาวคนสวยที่พึ่งแต่งงานไปเมื่อไม่กี่เดือนร้องตอบแม่กลับเข้าไป ขณะสาละวนเก็บยอดผักชะอมที่ปลูกไว้อยู่ข้างรั้วบ้าน ช่วงนี้ฝนตกอยู่เป็นระยะๆมันทำให้ต้นชะอมแตกยอดอ่อนเขียวอยู่ทั่วต้น

" ไปนำน้องมาอาบน้ำแนไป๋หล่า มันมืดมันค่ำแล้ว " เสียงป้าไหมยังดังแว่วออกมาจากข้างใน

" โอ๊ย...เดียวมันกะกลับมาเองดอกแม่ อย่าไปยากนำมันหลาย // อ้ายนันเลากะจั่งแม่นโดนเข้าบ้าน คือว่าสิออกไปส่องเบิ่งนาคาวเดียวนึง " ตอบผู้เป็นแม่กลับไปและสุดท้ายมาลงน้ำเสียงบ่นให้ผู้เป็นสามี


" ไหม " หญิงหม้ายวัย 35ปี ผู้มีลำเนาอยู่ " เมืองปราสาทหิน ถิ่นภูเขาไฟ" ดินแดนที่ขึ้นชื่อว่า "ตำน้ำกิน" ต้องย้ายตัวเองขึ้นมาอยู่กับทิดไกรผู้เป็นสามีที่ บ้านหนองนางาม อำเภอ มัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ตั้งแต่ตอนอายุ 25ปีหลังจากแต่งงานได้เพียงแค่อาทิตย์เดียว หลังจากนั้นไม่นานทิดไกรก็พาไหมแยกครอบครัวออกมาจากผู้เป็นพ่อและแม่ โดยที่พ่อของเขาได้แบ่งที่สวนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลังที่แกอยู่มากนักใช้เป็นที่ปลูกบ้านหลังใหม่ของพวกเขา การสร้างอนาคตร่วมกันของพวกเขาถูกดำเนินไปตามวิถีทางแบบที่เรียบง่าย ทิดไกรยังได้ที่นาที่ผู้เป็นพ่อแบ่งมาให้อีกหนึ่งแปลงจำนวน 15ไร่ เพื่อให้ลูกชายและลูกสะใภ้ได้ประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองต่อไป แต่เหมือนชะตาฟ้าลิขิตถูกสวรรค์แกล้ง หลังจากที่แต่งงานอยู่กินกันได้เพียงแค่ 12ปี ทิดไกรก็พลันเสียชีวิตลงก่อนวัยอันควรแบบที่ใครๆไม่คาดคิดด้วยระบบหัวใจล้มเหลว หรือทางภาคอีสานเรียกว่าโรคไหลตายนั่นเอง ยังความเสียใจให้คนที่อยู่ข้างหลังเป็นทวีคูณโดยทิ้งพยานรักไว้ให้ไหมดูต่างหน้าถึงสองคน นั่นก็คือสายใย และเจ้าไผ่นั่นเอง

... หมู่บ้านหนองนางาม ตำบลหนองนางาม อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่400กว่าหลังคาเรือนเลยทีเดียว เดิมหมู่บ้านแห่งนี้ชื่อว่า บ้านหนองหญ้าไซ แต่ต่อมาต้องเปลี่ยนเป็นหนองนางามเนื่องจากสาเหตุ ได้มีที่นาแปลงหนึ่งอยู่เหนือหมู่บ้านติดกับหนองหญ้าไซ หนองน้ำประจำหมู่บ้าน เจ้าของที่นาผืนนี้เมื่อถึงฤดูทำนาเขาไม่เคยได้ใส่ปุ๋ยหรือแม้แต่มูลสัตว์เลย แต่ข้าวที่ปักดำไว้กลับงอกงามออกผลผลิตให้แก่เจ้าได้มากในทุกๆปี และเมื่อนำชื่อมาเปรียบเทียบกัน คำว่าหนองหญ้าไซที่คนนำมาบริโภคไม่ได้ แต่คำว่านางาม (ซึ่งเป็นข้าว) เป็นพืชที่คนรับประทานได้ คนเก่าแก่แต่ก่อนจึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ชื่อนี้แทน และหนองน้ำ " หนองหญ้าไซ " ก็ถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็น "หนองนางาม " โดยปริยายเช่นกัน...





" เย๊...เย๊.....เอาอีก... จั่งซั่นแนแม๊ะเนาะ โฮ้....เที่ยวนี้หมุนหลายรอบขนาดเลยเว๊ย..คัก...คัก.." เสียงดังมาจากซุ้มหน้าบ้านหลังหนึ่ง แสงไฟภายในบ้านยังพอให้พวกเขามองเห็นกับกิจกรรมที่กำลังทำกันอยู่ในตอนนี้

" ตายแท้ๆปลากัดโตเพินจักร ถืกปลากัดเฮาหย่องกัดจนปากส่อยโตส่อยเหมิดแล้ว เอาอีกบักหล่า... เอาอีก... น้านหล่ะ ฮ่าๆๆ ได้ใจขนาดเลยเว๊ย " เสียงร้องเชียร์ของเจ้าไผ่เด็กนักเรียน ที่พึ่งจะจบชั้นป.6ออกมาได้ไม่นานนั่นเอง พร้อมกับเต้นแสดงอาการลิงโล้ดดีใจเมื่อปลากัดตัวเก่งของเขาไล่กัดปลากัดของจักรเพื่อนรักจนเกิดแผลไปทั่วตัว

" แย่ขนาดเลยว่ะ..เฮาอุตส่าห์เลือกเอาโตที่คิดว่าสุดยอดออกมาแล้วคือเป็นแบบซี้ไปได้ว่ะ // เอาคืนเว๊ย..มึงกัดแพ้ถืกโยนเข่ากองไฟแท้ๆหล่ะงานนี้ " เสียงจักรบ่นออกมาแสดงให้เห็นว่าอารมณ์กำลังไม่จอยกับเจ้าปลากัดของเขา

" ใจเย็นเพินจักรใจเย็น..เฮาว่ามันถืกกัดไปคักแล้วจนบาดไปเหมิดโตเฮาว่าเทน้ำออกสา... เซาเถาะเนาะ " ขวัญให้ความเห็นกับเพื่อนสายตายังจับจ้องไปที่ขวดโหลขนาดกลางที่ตอนนี้ข้างในมีปลากัดสองตัว ซึ่งตัวหนึ่งดูจะมีแผลเหวอะไปทั่วลำตัวเนื่องจากถูกปลาอีกตัวไล่กัด

" เดี๋ยวก่อนเพินขวัญกำลังมันส์เลย " จักรบอกพร้อมกับลุ้นปลากัดของตัวเองให้ฮึดสู้ปลากัดของไผ่อีกครั้ง แต่เมื่อดูแล้วสถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ไปกันใหญ่และผลสุดท้ายปลากัดของจักรต้องออกโง่หนีอย่างไปเป็นท่า

" ฮ่าๆๆ เป็นได๋เพินจักร เฮาว่าแล้วปลากัดของเฮาโตนี้บ่ธรรมดา " ไผ่ร้องดีใจออกมาเมื่อรู้ว่าปลาของตัวเองเป็นฝ่ายชนะ

" เทน้ำออกเร็วหลูโตนมัน " ขวัญกระตุ้นไผ่เพื่อนรักให้เทน้ำจากขวดโหล ไผ่จัดการตามที่เพื่อนบอกและเขาก็นำปลากัดเข้ายังขวดของเขาที่เตรียมไว้ก่อนหน้านั้น

" ออกโง่เลยเนาะมึง อุตส่าห์ตั้งใจสิแก้คืนเถี่ยวก่อนกะยังบ่ได้อยู่...โง่คักแม่นบ่....โง่หลายมึงต้องเจอแบบซี้ " จักรสบถออกมาเมื่อไม่พอใจกับฟอร์มปลากัดของเขา และเขาก็ทำในสิ่งที่เพื่อนรักทั้งสองไม่คาดคิดเมื่อจับปลากัดของเขาเดินตรงไปที่เตาไฟ ซึ่งแม่ของขวัญก่อไว้อยู่หน้าบ้าน

" ฮ๊ะ... เฮ๊ยย.... เพินจักรอย่า " เสียงไผ่และขวัญดังขึ้นพร้อมกัน


ตอน ปฐมกรรม (ต่อ)

..กรรมชั่วที่เราทำด้วยเจตนา ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจก็ตาม ถึงเราจะไม่สามารถลบล้างได้ แต่เราสามารถทำกรรมดี ทำดีให้มากๆ หรือดีอันยิ่งใหญ่ เพื่อไม่ให้กรรมชั่วบางชนิดมีโอกาสให้ผล หรืออาจจะเข้าไปตัดรอนกรรมชั่วนั้นลงได้โดยเด็ดขาด ( อุปฆาตกกรรม) หรือเข้าไปลดกรรมชั่วนั้นให้มีโอกาสให้ผลน้อยลง เบาบางลง (อุปปีฬกกรรม) อีกทั้งกรรมดีที่เราทำนั้นก็จะไปสนับสนุนกรรมดีที่เรามีอยู่ให้มีโอกาสให้ผลเต็มที่ (อุปัตถัมภกรรม) เหมือนดังพระบรมราโชวาทในลักษณะที่ว่า "เราไม่สามารถทำทุกคนให้เป็นคนดีได้ทั้งหมด แต่เราต้องสนับสนุนคนดีให้คนดีได้ปกครองบ้านเมืองเพื่อป้องกันคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ " ฉะนั้น เราไม่สามารถล้างกรรมชั่วได้ทั้งหมด แต่เราสามารถทำกรรมดี เพื่อให้กรรมดีมีอำนาจมากกว่ากรรมชั่ว ไม่ให้กรรมชั่วมีอำนาจมากกว่า หรือไม่ให้กรรมชั่วมีโอกาสให้ผลได้ เมื่อเราทำกรรมดีมากๆ ดีอย่างที่สุด ดีอย่างยิ่งใหญ่ กรรมดีที่เราทำนั่นแหล่ะ จะเข้าไปตัดรอน เข้าไปเบียดเบียนกรรมชั่ว ไม่ให้กรรมชั่วมีโอกาสให้ผลได้ ตัวอย่างในสมัยพุทธกาล ก็อย่างเช่น ท่านองคุลิมาล ฆ่าคนมาเป็นร้อยเป็นพันคน แต่ทำกรรมดีอันยิ่งใหญ่คืออรหันตมรรค อรหันตผล ซึ่งกรรมชั่วที่จะนำไปสู่อบายภูมิเป็นอันไม่มี กลายเป็นอโหสิกรรมไป (กรรมที่ไม่มีโอกาสให้ผล หรือให้ผลไม่ทัน หรือกรรมที่ผ่านพ้นไปแล้ว) เพียงมีแต่เศษกรรมเล็กๆ น้อยเท่านั้น

(แต่นั่นการทำความดี นั่นแหล่ะ ดีที่สุด)

บทความดีๆจากพระพุทธศาสนาครับ




" ออกโง่เลยเนาะมึง.. อุตส่าห์ตั้งใจสิแก้คืนเถี่ยวก่อนกะยังบ่ได้อยู่...โง่คักแม่นบ่....โง่หลายมึงต้องเจอแบบซี้ " จักรสบถออกมาเมื่อไม่พอใจกับฟอร์มปลากัดของเขา และเขาก็ทำในสิ่งที่เพื่อนรักทั้งสองไม่คาดคิดเมื่อจับปลากัดของเขาเดินตรงไปที่เตาไฟ ซึ่งแม่ของขวัญก่อไว้อยู่หน้าบ้าน

" ฮ๊ะ... เฮ๊ยย.... เพินจักรอย่า " เสียงไผ่และขวัญดังขึ้นพร้อมกันเมื่อเห็นจักรเพื่อนรักโยนปลากัดของเขาเข้าไปที่เตาไฟ ถือว่าโดนไปแบบสองเด้งเลยสำหรับปลากัดตัวนี้ แค่บอบช้ำจากบาดแผลที่ได้รับจากสนามการต่อสู้ก็นับว่าแย่พอแล้ว

" เพินจักรแหมะ.. ไปโยนมันเข่ากองไฟเฮ็ดหยั๋งคือบ่เอากลับไปปล่อยคืนหนอง " ขวัญหมายถึงหนองนางาม หนองน้ำประจำหมู่บ้าน " หนองนางาม " หนองน้ำที่มีขนาดใหญ่ เป็นที่ชุกชุมของปลาอยู่หลายสายพันธุ์ ทั้งที่มีเองตามธรรมชาติและก็มีไม่น้อยเลยทีเดียวที่ชาวบ้านร่วมกันปล่อยลงแทบทุกๆปี ที่สำคัญหนองน้ำแห่งนี้ไม่เคยเหือดแห้ง นับว่าหนองน้ำแห่งนี้ยังประโยชน์ให่แก่ชาวบ้านหนองนางามและหมู่บ้านไกล้เคียงได้มากมายเลยทีเดียว

" ซางมันเถาะ.. ปะสาปลากัดขี่แพ้โตเดียวมันบ่สมควรสิได้กลับคืนหนองน้ำดอก มันสมควรตายหลายกั่วที่เฮ็ดให่เฮาอารมณ์เสีย " จักรบอกพร้อมกับยืนมองปลากัดที่กำลังถูกไฟเผาไหม้

" อ้าวๆ... พากันเลิกได้แล้วเด้อ ค่ำมืดตืดตาแล้วมาหาอาบน้ำกินเข่าได้แล้วขวัญเอ๊ย... พากันเหล่นหยั๋งกะด้อกะเดี้ยแท้ บักไผ่กับบักจักรกะกลับบ้านได้แล้วหล่า บ่แม่นแม่สูจ่มหาแล้วติ " เสียงทิดจวนพ่อของเจ้าขวัญดังออกมาจากข้างในบ้าน

" เฮากลับก่อนเด้อสั่นหน่ะเพิน มื้ออื่นค่อยว่ากันใหม่ " ไผ่บอกเพื่อนรักพร้อมกับคว้าคอขวดปลากัดของเขาเดินฝ่าความมืดกลับบ้านซึ่งอยู่ไกลออกไปไม่เท่าไรนัก ส่วนจักรเองก็กลับเช่นกันแต่แยกกันคนละทาง บ้านของไผ่นั้นอยู่ทางทิศตะวันออกส่วนบ้านของเจ้าจักรอยู่ทิศเหนือบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัด " อุดมคีรีเขต " สถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจพุทธศาสนิกชนและเป็นที่หล่อหลอมจิตใจของชาวบ้านหนองนางามนั่นเอง ถัดกันไปไม่เท่าไรก็เป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียนบ้านหนองนางาม โรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษา

..เมื่อกลับมาถึงบ้าน เจ้าไผ่นำขวดปลากัดของเขาเข้าไปเก็บไว้ที่ห้องน้ำ เหตุผลที่เขาเลือกนำมาไว้ตรงจุดนี้ก็เพราะ ห้องน้ำเป็นที่เย็น อากาศไม่ร้อนทำให้ไม่เกิดปัญหากับปลากัดของเขา ตอนนี้เขามีปลากัดอยู่ในความดูแลถึง20ตัวเลยทีเดียว เขาใช้ไม้กระดานปูวางทับไปบนก้อนอิฐเพื่อยกให้สูงจากพื้นขึ้นมาหน่อย ขวด20ขวดถูกตั้งเรียงรายโดยมีแผ่นกระดาษปิดคั่นเพื่อป้องกันไม่ให้ปลากัดแต่ละตัวมองเห็นกัน ใช้ต้นหญ้าใส่ลงในแต่ละขวดเพื่อให้ปลากัดได้พักตัวด้วย อาหารสำหรับปลาก็ดูจะหาได้ง่ายตามแอ่งน้ำทั่วไปนั่นก็คือ "ลูกน้ำ" นั่นเอง

" ไผ่เอ๊ย..ฟ้าวอาบน้ำเด้อหล่า แล้วๆสิได้มากินเข่า " นันร้องบอกเมื่อรู้ว่าเป็นเสียงใครอยู่ในห้องน้ำ

" ครับพี่อ้าย.. ผมเบิ่งปลากัดจักคาวก่อนครับเดี๋ยวกะแล้วดอก "
น้ำพริกปลาทูกับทอดไข่ใส่ผักชะอม เป็นเมนูง่ายๆสำหรับมื้อค่ำของครอบครัวเล็กๆครอบครัวนี้ วิถีคนอีสานการกินอยู่ช่างเรียบง่ายนัก ความฟุ้งเฟ้อ การเห่อตามแฟชั่นสมัยนิยม ยังไม่มีให้เห็นเหมือนดั่งเช่นทุกวันนี้ ซึ่งนับวันดูจะรุนแรงตามกระแสเหลือเกินเพราะรับเอาวัฒนธรรมจากโลกตะวันตกเข้ามาใช้จนน่าใจหาย...

บทเกริ่นจากตัวคนเขียนบท..กรรมลิขิต

ไผ่ ขวัญ จักร 3สหายสายเลือดลูกอีสานที่สาบานร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมเป็นร่วมตายคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สัญญาที่จะไม่ทอดทิ้งกัน ติดตามชีวิตเรื่องราวของพวกเขาว่า แต่ละคนจะเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองดำเนินไปในทิศทางไหน และเส้นทางของชีวิตแต่ละคนจะจบลงอย่างไร
ช่วยลุ้นช่วยติดตามเชียร์พวกเขาได้ในนวนิยายเรื่องยาว กรรมลิขิต ผ่านจินตนาการอันโลดแล่นอีกครั้งกับคนแดนไกลแต่หัวใจคงเดิม

โดย รุทธิ์ อีเกียแดง


ตัวอย่างบางตอน....

(บทบรรยาย) ผู้เขียนใช้ภาคภาษาไทยครับ
(บทสนทนา) ผู้เขียนใช้ภาคภาษาอีสานนะครับ

" เอ้อ...แล้วพวกมึงสามคนซือจั่งได๋กันแนหล่ะ " เสียงหลวงพ่อพระครูฯผู้มีอภิญญาเป็นเลิศในแทบทุกด้าน เอ่ยปากถามพร้อมกับจ้องมองไปยังเด็กทั้งสามคนที่กำลังนั่งก้มหน้าสงบเสงี่ยมอยู่ยังเบื้องหน้าของท่าน

" ผมซือขวัญครับ... ผู้นี้ซือไผ่ ส่วนถัดไปซือว่าจักรครับ พวกผมเป็นหมู่กันครับหลวงพ่อ " เด็กชายตัวน้อยที่ชื่อขวัญเอ่ยปากบอกพร้อมกับพนมมือไหว้ แสดงให้เห็นว่าผ่านการอบรมบ่มนิสัยมาพอสมควร

" เออ...ดีๆ ซูมื้อนี้มันแฮ่งต๊ะหาเณรน้อยยากอยู่ บวชเข่ามากะดีแล้วหล่ะ สิได้เล่าเฮียนเขียนอ่านไปนำ วัดหลวงพ่อนี่กะเปิดสอนนักธรรมอยู่คือกัน คันตั้งใจเฮียนหลวงพ่อกะสิส่งให่ได้เฮียนจนได้ดิบได้ดีเป็นมหาพุ้นหล่ะ " ท่านเอ่ยและยิ้มอย่างมีเมตตา

" จั่งซั่นกะถือว่าเป็นวาสนาของลูกๆมันหล่ะขอรับหลวงพ่อพระครูฯ กระผมกะหวังว่าพอสิให่พวกมันฮู้จักควมแน เป็นคนดีต่อไปในข้างหน่าแค่นี้กะดีใจแล้วหล่ะขอรับ " ทิดจวนพ่อของเจ้าขวัญที่นั่งอยู่ข้างหลังของลูกชายพูดพร้อมกับยิ้มปีติเมื่อได้ยินทางหลวงพ่อพระครูฯท่านบอก

" ฉันกะบ่มีปัญญาสิส่งลูกมันเฮียนคือคนอื่นเขาดอกจ้าหลวงพ่อใหญ่ พอดีลูกมันมาขอฉันว่าอยากสิบวชเฮียนเอา กะเลยพากันเห็นดีนำ " เสียงป้าไหม แม่ของเจ้าไผ่พูดสนับสนุนทิดจวนอีกที

" เออ ..เออ..ดีแล้วหล่ะแต่ว่ามันเกิดปีได๋หล่ะสามคนหนิ " หลวงพ่อพระครูฯเอ่ยถาม

" มันเกิดปีมะเมียขอรับ" .........................



(ขอบพระคุณทุกๆท่านที่ติดตามอีกครั้งครับ)

...นิยายเรื่องนี้ตัวผมเองต้องการสื่อถึงการทำคุณงามความดีและบทสุดท้ายของการได้รับในสิ่งที่ตัวละครแต่ละตัวกระทำลงไป นี่เป็นละครกฏแห่งกรรมก็ว่าได้ แม้เนื้อหาจะไม่เฉียบคมแต่ตัวผมเองก็พยามสื่อออกมาในรูปแบบของตัวเองฉบับมือสมัครเล่นที่ใช้เวลาที่ว่างส่วนหนึ่งทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ โดยผ่านจินตนาการอันไร้ขอบเขต...



(รุทธิ์ อีเกียแดง)