จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 19



                                                                กรรมลิขิต


                                                           ตอน เส้นทางเดิน 7




แสงอรุณยามเช้าทอประกายสีทองปลุกเร้าให้สรรพสิ่งรอบกายขยับตื่นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง กรุงเทพมหานครรวมไปถึงเขตรอบนอกในยามเช้าดูหนาแน่นไปด้วยรถที่เบียดเสียดแย่งกันทำความเร็วเพื่อให้ทันต่อภาระกิจหน้าที่การงานของแต่ละคน พ่อแม่บางคนต้องขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนในตอนเช้าก่อนที่จะเลยไปที่ทำงานของตัวเอง บ้างก็อาศัยแท็กซี่ รถเมล์หรือแม้แต่รถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง การแข่งขันในสังคมเมืองหลวงนั้นเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้อยู่ในขั้นที่รุนแรง การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่นก็แทบจะมีให้เห็นได้น้อยมาก ความเห็นแก่ตัวดูจะมีมากขึ้นเป็นเท่าตัวเพราะนี้คือการเอาตัวรอดเพื่อให้ตัวเองได้ยืนอยู่บนสังคมยุคไอทีที่นับวันจะเดินหน้าไปไกลสุดกู่จนทำให้ละเลยและลืมนึกถึงด้านจริยธรรมสิ่งที่ดีงามไป สังคมทุกวันนี้เป็นสังคมที่น่าตกใจพอสมควร ความเจริญในด้านวัตถุเปลี่ยนไป ทำให้ความเจริญในด้านจิตใจของคนเราขยับเปลี่ยนตามไปด้วย ซึ่งถือว่ามันเป็นสิ่งที่ควรหันมาตระหนักและให้ความสนใจกันมากขึ้นก็คงจะดี  การเปรียบเทียบสังคมที่ดูจะแตกต่างกันอยู่บ้างนะครับ เมื่อหันกลับมามองดูแล้วผมในนามผู้เขียนต้องขอเลือกสังคมชนบทดีกว่าครับเพราะดูแล้วมันสามารถเข้าถึงความสงบสุขได้มากกว่ากันเป็นไหนๆ..


   ค่านิยมสังคมเมือง
            1. ชอบหรูหรา ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
            2. นิยมสินค้า Brand name จากต่างประเทศ
            3. ยกย่องผู้มีอำนาจเงินทอง
            4. นิยมในเรื่องวัตถุ
            5. เห็นแก่ตัว มีการแข่งขันกันมาก
            6. เชื่อในเรื่องหลักการเหตุผล
            7. ชอบเสี่ยงโชค
            8. ร่วมงานหรือพิธีกรรมทางศาสนาน้อย
            9. ชีวิตอยู่กับเวลา แข่งขันกับเวลา
           10. ขาดความมีระเบียบวินัย
           11. ไม่ชอบเห็นใครเหนือกว่า เห็นแก่ตัว

         ค่านิยมสังคมชนบท
          1. ประหยัด อดออม เศรษฐกิจพอเพียง
          2. นิยมภูมิปัญญาไทย สิ้นค้าไทย
          3. ยกย่องคนดี ความมีน้ำใจ
          4. นิยมเรื่องคุณงามความดี มีจริยธรรม
          5. เสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นแก่ส่วนรวม
          6. เชื่อโชคลาง ไสยศาสตร์
          7. ชอบเล่นการพนัน
          8. ชอบทำบุญ ร่วมพิธีกรรมทางศาสนามาก
          9. ชีวิตขึ้นอยู่กับธรรมชาติ อาศัยธรรมชาติ
         10. พึ่งพาอาศัยกันและกัน
         11. มีความสันโดษ พอใจในสิ่งที่มีอยู่












อำเภอสามพราน  จังหวัดนครปฐม..



 เกียรติศักดิ์นักเรียน  โรงเรียนนายร้อยตำรวจนั้นยิ่งใหญ่
เราเทอดเหนือดวงใจเรานี่               
สู่เกียรติศักดิ์สมัครมาเพื่อรักษาหน้าที่  น้อมนำดวงจิตสถิตย์ความดี
ความยุติธรรมเรามี เราพร้อมที่จะพลีชีวา         

    เมื่อทรชนใจบาปหยาบช้ามาประจัญ
ทุกคนจะสู้ไม่รู้ไหวหวั่น เพื่อสุขสันต์ประชา                                 
เราอุทิศชีวา เพื่อสถาพรชัย
สิ้นชีพสูญไป  ให้โลกเชิดชู                                                 

    พวกเราทุกคนมีจิตเป็นมิตรประชา
ผองชนเป็นสุข  เราทุกข์ไม่ว่า  จะรักษาให้คงอยู่                                               
เกียรติของเราเทียบเท่าชีวิต เราต้องคิด กอบกิจเชิดชู
ทุกคราวเราจะสู้    เพื่อผองชน





                       เสียงเพลงเงียบลงพร้อมกับการแยกย้ายขบวนแถวที่มองดูด้วยสายตาแล้วยังเป็นภาพที่น่าชมยิ่ง ความเป็นระเบียบวินัยของกลุ่มนักเรียนนายร้อยตำรวจนั้นถูกปลูกฝังลงรากลึกด้วยครูผู้ฝึกที่มากด้วยประสบการณ์  ความรู้คู่คุณธรรมคือสิ่งสำคัญยิ่งที่จะสามารถเป็นผู้นำได้

              “ ขวัญชัย “  นักเรียนนายร้อยชั้นปีที่2 เขาได้เลือกเส้นทางที่ตัวเองชอบและใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก ตลอดระยะเวลาของการก้าวย่างเข้ามาสัมผัสตรงจุดนี้เขาได้รับการฝึกสอนในหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง  การทดสอบและเพิ่มทักษะความพร้อมในด้านร่างกายควบคู่ไปกับการอบรมในด้านสภาวะจิตใจเพื่อให้เป็นบุคคลที่มีประสิทธิภาพ ปีแรกของการก้าวเข้ามา ณ.โรงเรียนแห่งนี้ ขวัญชัยและกลุ่มเพื่อนๆต้องถูกฝึกให้รู้จักถึงความอดทนอดกลั้นและความวิริยะอุตสาหะเป็นพิเศษ เพื่อให้รู้จักการฟันฝ่าอุปสรรคให้ตลอดรอดฝั่ง แต่สำหรับในปีนี้สิ่งที่เขาและบรรดาเพื่อนๆร่วมชั้นเดียวกันต้องเรียนรู้นั่นก็คือการเรียนรู้ การวินิจฉัยพิจารณาสิ่งต่างๆ รู้จักการวางตนต่อผู้บังคับบังชาและผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ขวัญชัยและบรรดาเพื่อนๆต่างก็น้อมนำพร้อมที่จะเรียนรู้ให้ถึงรากลึกแก่นแท้เพื่อที่จะได้นำไปใช้ในชีวิตจริงและมันคงจะช่วยพัฒนาสังคมให้น่าอยู่เป็นยิ่งนัก

             การที่ต้องอยู่ห่างบ้านคือสิ่งที่เขาต้องสัมผัสมาโดยตลอด มีหลายๆครั้งที่เขาต้องนั่งอยู่เงียบเหงาโดยปล่อยความคิดให้ล่องลอย ภาพวิถีแห่งความเป็นอยู่ที่เขาสัมผัสมาตั้งแต่เด็กมันยังตราตรึงและสร้างความสุขให้ทุกครั้งเมื่อยามที่คิดถึงมัน การเข้าบรรพชาสามเณรทำให้เขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆฝึกความแกร่งภายนอกแต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนอยู่ภายใน มาวันนี้เขาสามารถที่จะเผชิญกับโลกภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ มิตรภาพและความจริงใจคือสิ่งที่เขาได้รับจากบรรดาผองเพื่อนและครูผู้ฝึกสอนและนี่คงเป็นเพราะความอ่อนน้อมถ่อมตนที่เขามีให้กับบรรดาเพื่อนๆก่อนนั่นเอง..

 “ ขวัญ..เข้าห้องเรียนได้แล้ว มัวนั่งคิดอะไรอยู่ว๊ะ..”  พิทักษ์..เพื่อนร่วมชั้นร้องเตือนเมื่อมองเห็นว่าขวัญชัยกำลังนั่งก้มหน้าอยู่บนม้าหินอ่อนใต้ต้นหูกวางสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง  เสียงร้องเตือนมันทำให้ชายหนุ่มต้องเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับขยับกายลุกขึ้น สายตาจ้องมองเพื่อนรักต่างถิ่นพลางนึกขอบคุณกับความเอื้ออาทรที่เพื่อนคนนี้มีให้เขาโดยตลอด

 “ ไม่มีอะไรมากหรอกพิทักษ์แค่เรารู้สึกว่าคิดถึงบ้านนิดหน่อยเพื่อน ..ป๊ะ..ไปกันได้แล้วหว่ะ “   ตอบเพื่อนไปพร้อมกับเดินตามหลังเพื่อนรักขึ้นไปข้างบนในทันที









                บ่ายคล้อยในย่านรามคำแหงพลุกพล่านไปด้วยรถยนต์และผู้คนสัญจร  ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าน้อยใหญ่ถูกสร้างเรียงรายอยู่ฟากสองฝั่งถนนเพื่อรองรับเม็ดเงินจากการจับจ่ายใช้สอยของผู้คนในย่านนั้นหรือในย่านใกล้เคียง มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐเป็นมหาวิทยาลัย “ตลาดวิชา”  ซึ่งรับบุคคลเข้าศึกษาโดยไม่ต้องสอบการคัดเลือกและไม่จำกัดจำนวน ทำการเรียนการสอนแบบตลาดวิชาคือ มีการเรียนการสอนในชั้นเรียนเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยปกติทั่วไปแต่ไม่ได้บังคับเข้าชั้นเรียน  จึงทำให้เป็นที่นิยมของผู้คนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นวัยที่อยู่ในช่วงการศึกษาจริงๆ รวมไปถึงวัยที่พร้อมทำงานแล้วก็ยังสามารถมาลงศึกษาต่อได้ ในย่านรามคำแหงนั้นนักศึกษาเกินครึ่งจะมาจากแดนสะตอปักษ์ใต้ จึงทำให้ร้านค้าและร้านอาหารของภาคใต้แถบนั้นดูจะมีมากเป็นพิเศษเพื่อรองรับกับบรรดานักศึกษาแดนสะตอได้เข้าถึงกลิ่นไอของความเป็นใต้บ้านเกิดของเขาได้มากยิ่งขึ้น


                                                           ณ ร้านอาหารเสบียงเล 



“ แหม..เจ้าป่าน..นกพึ่งจะรู้ว่ารสชาติอาหารจากใต้มันเป็นอย่างไรก็วันนี้แหล่ะ..เผ็ดเล่นเอานกหน้ามืดหูชาเลยนะเเก..อูยย..แสบร้อนไปหมดแล้วอ่ะ “  เสียงขวัญชนกสาวสวยจากเมืองหมอแคนเอ่ยกับสายป่านเพื่อนรัก หน้าตาของเธอเหยเกเล็กน้อยเมื่อโดนอานุภาพความเผ็ดร้อนจากอาหารที่ขึ้นชื่อของปักษ์ใต้ “ คั่วกลิ้งและน้ำพริกกุ้งเสียบ “  สองรายการนี้คงสร้างความตราตรึงให้เธอจดจำไปนานแสนนานทีเดียวเพราะนอกจากมันจะอร่อยแล้วยังมีความสามารถทำให้หูของเธออื้อชาได้อีกด้วย



“ คริ..คริ.. แหมก็นกเป็นคนบอกเราเองไม่ใช่เหรอ อยากจะทานอะไรที่มันจัดจ้านหูตาจะได้สว่างเสียที..แล้วเป็นไงหล่ะทีนี้สว่างขึ้นบ้างยัง “   สายป่านพูดเย้าเพื่อนรักพร้อมกับอดขำท่าทางของขวัญชนกไม่ได้



“ ก็นกพูดเปรียบเปรยเล่นเฉยๆไม่นึกว่าป่านจะสั่งเผ็ดแบบนี้มาให้..รู้งี้ไม่สั่งก็ดี “   เธอบอกแล้วยื่นมือไปยกแก้วน้ำขึ้นมากระดกลงคอเพื่อให้คลายความเผ็ดร้อนลงไปบ้าง



“ ก็ไม่หรอกจ้านก สองเมนูนี้เขาจะเผ็ดอยู่แล้วไง แม่ค้าเขารู้ว่าป่านเป็นคนใต้ก็เลยจัดมาให้แบบสูตรใต้เป๊ะเลย  วันนี้ป่านพานกมาชิมอาหารทางใต้แล้วนะ คราวหน้านกต้องพาป่านไปชิมอาหารอีสานบ้างหล่ะ “   รอยยิ้มอาบใบหน้าบวกคิ้วหนาตาโตจ้องมองเพื่อนรักต่างถิ่นด้วยความสงสาร


“ จ้า..เดี๋ยวนกจะพาไปกินลาบกะปอมก้อยไข่มดแดงแล้วก็คั่วแม่เป้งก็แล้วกัน คริ..คริ..”   เสียงหัวเราะใสๆดังขึ้นมาบ้างหลังจากที่นั่งซี๊ด..ปากอยู่นาน คำพูดของเธอมันทำให้สาวจากเมืองตรังทำสีหน้าเอ๋อเล็กน้อย สมองกำลังนึกภาพตามอยู่ว่าเจ้าสามรายการที่ว่านี้มันมีหน้าตาแบบไหนกัน



“ กลับกันเถอะป่าน บ่ายคล้อยแล้วเดี๋ยวต้องกลับไปทำรายงานอีก ช่วงนี้นกชอบจะปวดหัวบ่อยๆด้วยสิ สงสัยพักผ่อนไม่เพียงพอมั้ง “   ขวัญชนกเอ่ยชวนเพื่อนรักซึ่งทำให้สายป่านผุดลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปจ่ายค่าอาหารในมื้อนี้พร้อมกับเดินตามหลังเพื่อนออกมาจากร้านในทันควัน


“ ปุ๊ก..อุ๊บบ..โอ๊ยย..”   เสียงดังเกิดขึ้นห่างกันไม่ถึงเสี้ยววินาที มันเกิดจากการเดินชนประทะกันเข้าเต็มๆเนื่องจากการเร่งรีบไม่ทันได้ระวังทำให้ร่างของสายป่านต้องผงะหงายเสียหลักล้มเซแบบหมดท่า หนังสือในมือของเธอหล่นกระจาย  แต่มือของชายหนุ่มผู้ถูกชนประสานเมื่อครู่ดูจะว่องไวน่าให้คะแนนความสามารถนักเชียว เมื่อเขาช้อนเอาร่างที่สวยสมส่วนไว้ได้ทันก่อนที่ตัวเธอจะสัมผัสลงกับพื้น  และมันกลับสร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มบนความไม่ระวังให้กับชายหนุ่มขึ้นมาอีกครั้งเมื่อน้ำหนักตัวเธอดึงกระชากให้เขาล้มตามลงไปอยู่ที่พื้นด้วยในสภาพที่โดนโอบกอด ดีที่ว่าท่อนแขนอันแข็งแกร่งของเขากันศรีษะของเธอให้พ้นจากรัศมีของแรงกระแทกไว้ได้ทัน



“ เอ่อ..ผมขอโทษครับคุณ..เป็นไงบ้างครับเจ็บมากไหม “  ไผ่ศธรเอ่ยตะกุกตะกักสีหน้าเจื่อนเล็กน้อย เขาใช้ท่อนแขนโอบพยุงเธอให้ลุกขึ้นนั่ง ซึ่งตอนนี้มีสายตาเกือบสิบคู่กำลังจ้องมองมารวมไปถึงสายตาของขวัญชนกเพื่อนรักที่กำลังมองดูแบบงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเพื่อนของเธอถึงลงไปนอนอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มคนนั้นได้



“ เอ่อ..ป่านไม่เป็นไรค่ะ..ขอบคุณค่ะ “   เสียงเธอกล่าวขอบคุณเขาแต่ภายในใจพาลนึกว่า ” คนบ้าอะไรก็ไม่รู้เดินไม่รู้จักมอง..แถมยังถือวิสาสะมากอดเฉยเลย ”   เธอพยุงตัวลุกขึ้นยืนโดยที่ชายหนุ่มเป็นผู้เก็บหนังสือที่วางกระจัดกระจายยื่นส่งให้



“ นี่ครับ..หนังสือของคุณ..ผมต้องขอโทษอีกครั้งที่เดินไม่ระวังเองเลยทำให้คุณต้องเจ็บตัวฟรี “   ไผ่ศธรกล่าวขอโทษเธออีกครั้งพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มอันสดใสถูกตอบสนองคืนมาเล็กน้อยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เมื่อครู่นี้เธอคงจะไม่เจ็บมากมายนัก



“ ไผ่..ไผ่ตินั่น..แม่นอีหลี..”  เสียงร้องทักจากขวัญชนกพร้อมแสดงอาการดีใจเมื่อมองดูแล้วว่าชายหนุ่มคนนี้คือเพื่อนที่เคยเรียนอยู่ในวัยเด็กด้วยกัน



“ อ้าว..เพินนก..นึกว่าแม่นผู้ได๋.โอ๊ย..ดีใจแท้..นกมาเรียนอยู่นี่ติ “  ไผ่ศธรเป็นฝ่ายแปลกใจบ้างเมื่อรู้ว่าเป็นใคร เขาไม่ได้เจอกับเธอมานานมากทีเดียว จำได้ว่าเคยเจอเธอเมื่อครั้งล่าสุดเมื่อ6ปีที่แล้วซึ่งตอนนั้นเขายังบวชเป็นสามเณรอยู่



“ จ้าไผ่..แม่นแล้ว..นกมาเรียนอยู่รามฯนี่หล่ะ พอดีว่าเอื้อยของนกเพินมาเฮ็ดงานอยู่บางกะปินกกะเลยมาพักอยู่นำเพิน ..ไผ่เด้..อยู่ไสหนิ..”



“ ไผ่เฮ็ดงานอยู่แถวบางกะปิคือกัน..พอดีว่ามื้อนี้มาหาย่างเบิ่งของหน้ารามฯ  ต้องถือว่าเป็นเรื่องดีคักที่ได้มาพ้อนก “  ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ



“ จ้า..นกกะดีใจคือกัน ต่อไปกะสิได้พ้อกันเรื่อยๆอยู่เนาะ เอ้อ..นี่ป่าน..หมู่นกเอง “  ขวัญชนกชี้มือไปที่เพื่อนรักซึ่งมันทำให้ชายหนุ่มต้องเผลอยิ้มขึ้นมา พลางนึกในใจว่าโลกกำลังเล่นตลกอะไรกับเขาหรือเปล่าเมื่อสาวสวยที่เขาเดินชนเมื่อครู่นี้คือเพื่อนรักของขวัญชนกเพื่อนของเขาในวัยเด็ก



“ ครับ..ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะครับคุณป่าน..” ชายหนุ่มทักทายพร้อมส่งประกายยิ้มให้กับเธอ..
    

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 18

  กรรมลิขิต


                                                            ตอน เส้นทางเดิน 6



                                 ความฝันและความหวัง คนเราทุกคนมักจะมีความฝันและความหวังควบคู่กันอยู่เสมอ การมีความฝันนั้นไม่ได้แปลว่าเราต้องอยู่ในโลกแห่งความฝันเสมอไป  เราสามารถใช้ประโยชน์จากความฝันเพื่อเป็นแรงผลักดันให้เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง.. คนเราทุกคนต่างก็ต้องต่อสู้เพื่อการมีชีวิตรอดตามสัญชาตญาณ.ยกเว้นนอกเสียจากผู้ที่หมดสิ้นแล้วซึ่งความฝันและความหวัง.. ความสุขภายในที่บังเกิดขึ้นมาคือการที่เราได้พยายามทำเพื่อความฝัน เมื่อได้ทำแล้วก็เหมือนได้ทำเพื่อตนเองถึงแม้ว่าบางครั้งจะล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่าแต่ก็มีความสุขที่ได้พยายามแล้ว ไม่มีอะไรเสียเปล่าถ้าได้ลงมือกระทำ ความสุขอยู่ที่ใจ ทำเท่าที่เราทำได้ ชีวิตคงไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้...
                               ความเป็นจริงกับความฝันบางความฝัน ยังมีปัจจัยที่ห่างกันเยอะ ถึงแม้ปัจจัยในตัวของเราจะมีโอกาสเป็นไปได้สูง แต่ปัจจัยสิ่งแวดล้อมอาจจะไม่ส่งผลให้ความเป็นไปได้นั้นเกิดขึ้นมา สิ่งที่ต้องทบทวนอยู่รอบแล้วรอบเล่าคือ เมื่อเราต้องรับภาพจินตนาการแห่งความฝันนั้นออกมา การประเมิณค่าจากประสบการณ์ที่ด้อยกว่าอาจจะทำให้เราทำได้แค่ เกาะฝัน  เป็นฝันที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นจินตนาการโดยที่มองไม่เห็นแสงสว่างเอาเสียเลย  การที่ไม่มีฝันก็เหมือนชีวิตมันสิ้นหวัง  แต่ฝันบางฝันก็เป็นได้แค่อยู่ในจินตนาการเพียงเท่านั้น..ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกความฝันให้เป็นไปในทิศทางไหน

                               ..เกมส์ชีวิต.. มิใช่เกมส์ชีวิตในสวน (เกมส์ที่กำลังนิยมในเฟคบุ๊ค) การเล่นเกมส์ทั่วไปต้องเดินตามแนวทางที่ระบบได้ถูกสร้างไว้ เกมส์ชีวิตในสวนก็เช่นกันต้องทำการเร่งปลูกพืชทำแต้มขยับเรเวลเพื่อไล่กวดตามหลังกลุ่มเพื่อนๆให้ทัน ดูเป็นการแข่งขันที่ดูเร้าใจน่าหวาดเสียวตื่นเต้นเล็กน้อยถึงปานกลาง เมื่อซื้ออะไรเข้ามาไม่ชอบใจก็จัดการโล๊ะทิ้งไปแบบไม่เสียดาย แล้วก็เริ่มสร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และคงจะเดินหน้าทำแต้มไปเรื่อยๆจนกว่าจะสิ้นสุดที่ระบบได้ตั้งไว้  นี่คือเกมส์ชีวิตในสวนทั่วๆไป             

   แต่เกมส์ชีวิตจริงมิได้เป็นเช่นนี้ ทุกสิ่งอย่างอยู่ที่ระบบการควบคุมจากสภาวะจิตของเราโดยตรง การก้าวไปข้างหน้าจึงต้องแตกต่างกับเกมส์ชีวิตในสวนอย่างสิ้นเชิง การที่จะไปวิ่งตามใครๆเช่นนั้นมันคงจะไม่เข้าทีนัก การเดินเกมส์ต้องเป็นไปด้วยความแน่วแน่และมั่นคง เพราะเมื่อใดที่เราเดินพลาดขึ้นมามันจะกระทบกับตัวเราเข้าเต็มๆ  ทุกข์จริง สุขจริง  มีร้องไห้จริง หัวเราะจริง เพราะมันคือเกมส์ชีวิตแห่งความเป็นจริง สุขทุกข์อยู่ที่ใจเป็นตัวกำหนด การเดินเกมส์ชีวิตที่ใช้สภาวะของจิตนำทางดูจะเป็นเรื่องที่ดีมากที่เดียว จิตที่สะอาดบวกด้วยความเชื่อมั่นที่จะก้าวเดินคือหลักประกันให้เราได้มีชัยไปเกินกว่าครึ่ง  ความฝันและความหวัง ที่ตั้งไว้คงจะดูไม่ไกลสำหรับความเป็นจริงแน่นอน..{ เป็นกำลังใจให้พี่ๆเพื่อนๆน้องๆทุกคน..ให้ประสบผลสำเร็จกับความฝันและความหวังที่ตั้งไว้นะครับ...

                                                                 {จากใจ..รุทธิ์ อีเกียแดง}



                  



                       สายลมโชยพัดโบกกิ่งไม้ให้ไหวเอนไปตามแรง ก้อนเมฆที่ดูสีดำทะมึนจนน่ากลัวถูกสายลมพัดพาเข้ามาให้จับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน มองดูแล้วคล้ายกับว่าเป็นรูปภาพของเหล่าภูตปีศาจอสูรกายกำลังแยกเขี้ยวจ้องมองลงมายังเบื้องล่างแบบเขม็งเกลียวเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อมนุษย์ผู้ที่ไม่สามารถละจากบ่วงพันธะให้หลุดพ้นได้

   "  ครืนน..ครืนนน…ฮึ่มม.. " เสียงร้องดังโหยหวนอยู่เป็นระยะๆเหมือนจะส่งสัญญาณเตือนให้ผู้คนที่อยู่เบื้องล่างสำเหนียกถึงความเกรงกลัวตามพวกมัน..และเตรียมความพร้อมกับการรับสายน้ำตาหลากหลายล้านเม็ดของพวกมันที่กำลังจะกลั่นออกมา ซึ่งตอนนี้พวกมันกำลังสำนึกตัวถึงสิ่งที่พวกมันได้ก่อขึ้นมาโดยที่แก้ไขอะไรตอนนี้ไม่ได้เลย ทำได้ดีที่สุดตอนนี้ก็คือคราบน้ำตาแห่งความเสียใจเพียงเท่านั้น ..ผงธุลีทรายเบื้องล่างถูกอำนาจของกระแสลมโอบอุ้มขึ้นจนฟุ้งกระจายไปทั่วอาณาบริเวณ เสียงลมพัดกิ่งไม้ไหวเอนไปตามแรงจนเกิดเสียงดัง “ วิ๊ววว..วิ๊ววว..”  เล่นเอากลุ่มคนที่อยู่เบื้องล่างต้องร้องตะโกนโหวกเหวกส่งสัญญาณรับมือในทันควัน

           วัวควายอยู่กลางทุ่งนาถูกไล่ต้อนเข้ายังหมู่บ้านก่อนเวลากำหนด คนแก่ที่อยู่ลานหน้าบ้านก็ใช้ไม้เท้ายันพื้นขยับตัวเข้าสู่ภายในบ้านซึ่งถือเป็นที่คุ้มภัยได้ดีที่สุด เสียงลูกเล็กเด็กแดงร้องไห้อยู่เป็นจุดๆสลับกับเสียงร้องอันโหยหวนของเหล่าปีศาจที่อยู่ข้างบน ซึ่งอีกไม่นานนักเหล่าปีศาจพวกนี้คงสุดที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่และคงจะปล่อยลงสู่เบื้องล่างให้ผู้คนได้สัมผัสถึงกลิ่นไอที่มาพร้อมกับอุณหภูมิที่ดูจะแตกต่างก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง..

   " แม่ว่าแล้ว..มันฮ้อนผิดสังเกตุมาสองมื้อแล้ว คิดอยู่ว่าจั่งได๋มันกะต้องตกมื้อนี้แท้ๆเลย "  เสียงป้าไหมเอ่ยกับสายใยผู้เป็นลูกสาวขณะที่ตัวแกกำลังสาละวนเร่งกระจายใบหม่อนให้ทั่วกระด้งโดยที่มีตัวหนอนน้อยกำลังนอนรออาหารของมันอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

   " โอ้…ปีนี้ฟ้ามันคือห่าวแท้น้อ ลมกะแฮ๊งแฮงเว๊ย..ใยเอ๊ยใย..ออกไปฮับบักนันแนเด้อ..มันสั่งความมานำลุง "  เสียงลุงจวนร้องตะโกนฝ่าสายลมที่พัดโหมกระหน่ำ ควาย3ตัวถูกแกไล่ต้อนอย่างเร่งรีบเพื่อให้ถึงบ้านก่อนที่ฝนจะเทลงมา

   “ จ้าลุงจวน เดี๋ยวใยสิออกไปเดี๋ยวนี้หล่ะจ้า… “  เธอตอบลุงจวนกลับไป

   “ แม่เบิ่งหลานนำแนเด้อ..ใยออกไปฮับอ้ายนันเพินจักคราวก่อน “  สายใยบอกแม่พร้อมกับวางงานที่ทำอยู่ก่อนจะรีบแจ้นออกไปยังทุ่งนาที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าใดนัก

       สายฝนกระหน่ำเทลงมาหลังจากที่นันและสายใยต้อนควายกลับเข้ามาถึงบ้านไม่ถึง10นาที เสียงเม็ดฝนห่าใหญ่ที่ปนมาพร้อมกับลูกเห็บกระทบเข้ากับสังกะสีหลังคาบ้านจนเกิดเสียงดังอึงมี่  เสียงเด็กน้อยร้องตะโกนแข่งกับเสียงลมและฝนแสดงอาการดีใจตื่นตากับก้อนน้ำแข็งใสๆขนาดเล็กที่ตกมาจากฟากฟ้าโดยที่ไม่นึกกลัวเอาเสียเลยจนผู้เป็นแม่ต้องออกมาดึงแขนให้กลับเข้าไปข้างในบ้าน “ ครืนนน..ครืนนน..ฮึ่มมม..”  เสียงฟ้าร้องอยู่เป็นระยะพร้อมกับกระแสลมที่ยังคงโหมอยู่ไม่ขาดระยะ สายฝนกระหน่ำเทลงมาพราวพร่างจนทำให้มองไม่เห็นวิสัยทัศน์แม้จะอยู่ในระยะห่างไม่กี่เมตรก็ตามที   ผืนดินแห่งความแห้งแล้งตอนนี้กำลังถูกอาบชะโลมด้วยคราบน้ำตาของกลุ่มเมฆาที่ชาวบ้านมองว่าเป็นน้ำทิพย์จากเบื้องบนประทานมาให้ อีกไม่นานเกินรอพวกเขาก็จะได้เริ่มวิถีทางอาชีพที่พวกเขาใช้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตมาตั้งแต่รุ่นอดีตกาลนานนม..รอยยิ้มแห่งความเปรมปรีย์เริ่มจะบังเกิดขึ้นมาหลังจากที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้มาเสียนานเลย…



                  



           เสียงข่าวยามเช้าจากบ้านของกำนันชมยังทำหน้าที่เป็นข่าวสารให้แก่ลูกบ้านของแกด้วยดีตลอดมา  ในระยะเวลาที่แกเข้ามารับตำแหน่งกำนันประจำตำบลหนองนางามที่ผ่านมานั้น ถือว่าแกทำหน้าที่เป็นผู้นำชุมชนในการพัฒนาหมู่บ้านได้ดีเยี่ยม โครงการหลากหลายโครงการเห็นเป็นรูปธรรมขึ้นมาด้วยฝีมือที่มุ่งมั่นและทุ่มเท ทำให้แกกลายเป็นที่รักของลูกบ้านไปโดยปริยาย  และลูกบ้านทั้งหลายก็คงยินยอมพร้อมใจมอบความเชื่อมั่นให้แกเป็นผู้นำของหมู่บ้านต่อไปจนจะครบวาระแห่งการเกษียณอายุราชการของแกแน่นอน…

           แสงอาทิตย์ทอประกายสีทองผ่องอำไพ สาดส่องท้องทุ่งนาอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา น้ำฝนที่ตกมาเมื่อคืนทำให้ท้องทุ่งดูจะมีความชุ่มชื่นขึ้นมาในทันควันซึ่งดูจะแตกต่างก่อนหน้านี้มากมายนัก เสียงนกน้อยร้องขับขานกระโดดโลดเต้นจับกิ่งไม้เล่นกิ่งแล้วกิ่งเล่าอย่างอารมณ์ดี  นกเอี้ยงสองตัวยืนคุยกันเล่นอยู่บนหลังเจ้าทุยอย่างออกรส โดยที่เจ้าทุยไม่นึกรำคาญเอาเสียเลย มันยังคงก้มหน้าเลาะเล็มหญ้าพร้อมกับสูดดมเอากลิ่นความหอมสดชื่นจากผืนดินที่ถูกอาบไปด้วยน้ำฝนก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง  

“ ใยเอ๊ย..บักไผ่มันติดต่อส่งข่าวมาแนบ่นางเอ๊ย..เห็นบักขวัญบอกว่าช่วงนี้มันบ่ค่อยได้ติดต่อกันปานได๋กะเลยบ่ค่อยฮู้ว่ามันอยู่กินจั่งได๋ “  เสียงของลุงจวนนั่นเองแกพึ่งกลับมาจากนำควายไปล่ามให้เลาะเล็มหญ้าอยู่ชายทุ่ง  ร่างสูงผอมที่มีผ้าขาวม้าพาดที่บ่าด้านซ้ายอยู่ตลอดจนมองเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของแกไปเสียแล้ว มีบ่อยครั้งที่แกจะโดนสายใยแซวว่าแกคงจะอยากเหมือนนักร้องคนดัง ไมค์ ภิรมย์พร ที่มีอัลบั้มชุดผ้าขาวบนบ่าซ้ายจนดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองไทย ซึ่งทำให้ลุงจวนถึงกับต้องหัวเราะออกมาชอบใจ

   “ น้องมันกะติดต่อมาตลอดนั่นหล่ะลุง ยังส่งเงินกลับบ้านอยู่บ่ขาด เห็นว่าอีกบ่โดนกะสิไปสมัครเรียนรามฯนำหมู่เขาอยู่ว่าซั้น “ สายใยบอกยิ้มๆพลางนึกถึงใบหน้าของน้องชายอันเป็นที่รักของเธอ

   “ เอ้อ..ดีแล้วๆ จั่งได๋กะอย่าให้มันคือบักจักรเด้อ ..ลุงได้ยินอาวเลิศกับอาอ้อยจ่มอยู่ตลอดว่าลูกซายเลาบ่ได้ส่งเงินกลับมาบ้านเลย แถมข่าวคราวกะเงียบบ่ยอมติดต่อมาให้ฮู้ “  

   “ จ้าลุง ใยกะได้ยินอยู่ว่าบักจักรตอนนี้ติดหมู่คักหลาย บอกกะบ่ค่อยฟังปานได๋ว่าซั้นน้องมันว่า  แนวหมู่เคยอยู่นำกันมาแต่น้อยเนาะกะเลยต้องบอกเตือนกันแต่บอกแล้วมันกะบ่ค่อยฟังกันกะจักสิว่าจั่งได๋ บ่คือบักขวัญน้อลุง อีกจักหน่อยกะสิได้เป็นเจ้าคนนายคนมีกระบี่ห้อยข้างติดดาวโก้เลย ลูกซายลุงจั่งแม่นเก่งคักเนาะ “ สายใยเอ่ยชื่นชมถึงขวัญชัยลูกชายสุดที่รักของลุงจวน ซึ่งทำให้แกต้องยืนภูมิใจกับความสามารถของลูกชาย

  “ เป็นวาสนาของมันหล่ะนางเอ๊ย “ ลุงจวนบอกสายใยพร้อมกับส่งประกายยิ้มออกมา




                




                        แสงไฟภายในร้านอาหารอีสาน “ สกาวเดือน “ ตอนนี้ดูอึมครึมสลัวๆ  นี่เป็นการสร้างบรรยากาศให้กับลูกค้าที่มานั่งลิ้มรสความแซบกับหลากหลายเมนูที่ขึ้นชื่อของทางอีสาน ความสว่างที่มากเกินไปบางครั้งก็อาจทำให้สิ่งรอบข้างดูจะไม่งามตานักทีเดียว เสียงเพลงดังอยู่เป็นระยะๆสลับเปลี่ยนหมุนเวียน นักร้องชาย-หญิงของทางร้านสกาวเดือนมีอยู่แค่ห้าคน  เพลงลูกทุ่งดูจะเน้นมากเป็นพิเศษเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของความเป็นอีสานซึ่งลูกค้าส่วนมากก็เป็นคนอีสาน หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับภาระกิจการงานในช่วงกลางวันแล้ว ก็แวะมาเติมแรงทางกายด้วยรสชาดอาหารที่อร่อยพร้อมกับเติมความสุขทางใจกับเสียงเพลงไปด้วย

                   ค่ำคืนนี้ไผ่ศธรทำหน้าที่ของเขาด้วยความราบรื่นอีกครั้ง มีบ่อยครั้งที่เขาต้องเจอกับสภาวะทางอารมณ์ของลูกค้าหลากหลายคนแตกต่างกันไป  ความเมาของลูกค้าดูจะเป็นอันดับต้นๆที่มักจะเกิดขึ้นกับเขาในด้านหน้าเวที ไม่เว้นแต่วริศราหรือเอิญ นักร้องสาวดาวเด่นประจำร้านที่มักจะโดนลูกค้าที่เมาควบคุมตัวเองไม่ได้ลวนลามอยู่ด้านหน้าเวทีเป็นประจำ แต่เขาและเธอต่างก็ต้องยอมรับแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้และเข้าใจดีว่านี้คืออาชีพที่พวกเขาเลือกเอง สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็คือการยิ้มสู้และคอยให้กำลังซึ่งกันและกันหลังจากที่การแสดงของพวกเขาผ่านพ้นไปแล้วนั่นเอง..