จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 12



กรรมลิขิต

ตอน ชะตาชีวิตหรือชะตาฟ้าลิขิต 2

เหตุเพราะกรรมนำเกิดตามวิถี ทุกชีวีกรรมเก่าเป็นเจ้าของ
ใช่อยากเด่นอยากดังอยากหวังปอง กรรมพาพ้องพบพานเนิ่นนานเนา
ก่อนตัดสินรักชังชั่งใจก่อน โปรดโอนอ่อนอย่าตีตราว่าโฉดเขลา
มีเมตตาเอาใจเขาใส่ใจเรา คงบรรเทาใจสงบพบสุขพลัน


เสียงกาเหว่าร้องก้องยามใกล้รุ่งสาง เป็นสัณญาณคอยปลุกเตือนให้กับสรรพสิ่งรอบข้างให้ตื่นจากความหลับใหล ภารกิจหน้าที่ของแต่ละชีวิตต่างก็มีบทบาทหน้าที่หรือจุดมุ่งหมายต่างเส้นทางต่างวาระและต่างเวลากันออกไป แต่ภาพโดยรวมแล้วทุกๆชีวิตต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอด เพื่อปากเพื่อท้องของตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก เพื่อพยุงตัวเองถีบชีวิตให้พ้นจากความลำบากยากเข็ญ ความต้องการของแต่ละชีวิตมีมาก-น้อย ต่างขึ้นอยู่กับกิเลสและสภาวะแห่งจิตใจของแต่ละบุคคล บุคคลไหนที่รู้จักความพอเพียงหรือพอดีก็สามารถทำให้ชีวิตเกิดประกายแห่งความสุขได้ถึงแม้จะเกิดมาบนเส้นทางที่ด้อยโอกาสทางสังคมก็ตามที แต่กลับมีบุคคลบางพวกที่มีโอกาสต้นทุนทางสังคมสูงต่างกลับมุ่งแสวงหากอบโกยด้วยความไม่รู้จักพอด้วยสภาวะจิตใจที่ถูกกิเลสความอยากครอบงำอยู่หนาเตอะ บุคคลเหล่านี้ยอมที่จะกระทำได้ทุกวีถีทางแม้จะเป็นการที่ได้มาแบบไม่เป็นธรรมหรือถูกต้องก็ตามที และบุคคลจำพวกนี้นี่เองที่ไม่ค่อยได้สัมผัสกับความสุขอันแท้จริง เพราะพวกเขาต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังกับทรัพย์สมบัติที่พวกเขาพึงได้มา อนิจจา..มนุษย์เราหนอ..







.....แสงของอรุณในเช้าวันใหม่ทอแสงส่องสว่างเข้ามาทางหน้าต่างบวกกับเสียงร้องของเจ้ากาเหว่ายังร้องร่ำแบบไม่แคร์ต่ออาการระคายเคืองโสตประสาทของผู้ที่ได้ยิน บางรายถึงกับก่นด่าเจ้านาฬิกาปลุกชั้นดีตัวนี้อยู่บ่อยครั้ง สามเณรไผ่ศธรขยับกายพร้อมกับใช้หลังมือถูขยี้ตาตัวเองไปมาเพื่อปรับให้ชินกับสภาพของแสงภายนอก อากาศหน้าร้อนดูจะเป็นปัญหามากกับห้องปูนซีเมนต์ที่มีขนาดไม่โอ่โถงและโล่ง ทำให้เขาต้องหันไปพึ่งเจ้าพัดลมตัวเล็กช่วยผ่อนคลายอากาศที่ร้อนอบอ้าวตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว เขาค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่งแต่ดูเหมือนว่าตัวจะโอนเอนไปมาเหมือนกับคนหมดเรี่ยวแรง สักพักก็ล้มตัวลงนอนแผละกลับไปยังที่เดิม ความคิดในสมองถูกดึงแว๊บเข้ามาจนเกิดเป็นมโนภาพ เป็นเวลา3ปีแล้วที่เขาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้จนเกิดเป็นกิจวัตรประจำวัน ภาพของสามเณรขวัญชัยเพื่อนรักที่เคยยืนยิ้มให้เห็นอยู่ในห้องนี้ ก่อนที่เดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อไปร่ำเรียนต่อผุดประกายขึ้นมา เพื่อนรักของเขาตอนนี้เส้นทางชีวิตดูจะสดใสเป็นพิเศษ เพราะท่านพระครูอุดมรัตนคุณได้ส่งเข้าไปร่ำเรียนศึกษาต่อในระดับสูงขึ้นอีก โดยร่วมเดินทางไปพร้อมกับพระมหาธีระเทพพระพี่เลี้ยงที่เคยอยู่ที่วัดแห่งนี้มาก่อน สามเณรขวัญชัยเพื่อนรักของเขาจบเปรียญธรรม4ประโยคที่วัดมิ่งวรารามแห่งนี้ ( โดยทางวัดมิ่งวรารามเป็นโรงเรียนเปิดสอนบาลีและได้ส่งนักเรียนของตนเข้าสอบสนามสอบในจังหวัดขอนแก่นทุกๆปี ซึ่งในแต่ละปีวัดแห่งนี้สร้างผลงานได้ยอดเยี่ยมทีเดียว)

“ วัดสระเกศ “ คำนี้ยังดังกึกก้องในหูของเขา สามเณรไผ่ศธรรู้เพียงว่าเพื่อนรักของเขาถูกส่งเข้าไปศึกษาร่ำเรียนอยู่ที่วัดแห่งนี้ และไม่สามารถรู้เลยว่าวัดแห่งนี้อยู่ส่วนไหนของเมืองกรุง เพราะตัวเขาเองยังไม่เคยมีโอกาสได้ย่างกรายเข้าไปสัมผัสในกรุงเทพมหานคร เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยเลย ในส่วนเขาตอนนี้กำลังเดินตามหลังเพื่อนรักอีกที และดูเหมือนว่าอุปสรรคเส้นทางของเขาดูจะไม่สวยหรูเหมือนกับเพื่อนรักสักเท่าไร สามเณรไผ่ศธรต้องปรับตัวเองให้ชินกับความเหงาความเดียวดายและต้องช่วยเหลือตัวเองในทุกๆอย่าง เพราะไม่มีพระพี่เลี้ยงคอยดูแลเหมือนกับเพื่อนรัก พลบค่ำมาต้องอยู่กับหนังสือตำราเรียนที่เป็นภาษาบาลีแทบทุกวัน ด้วยเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่พอสมควรการอยู่พักก็ดูจะเป็นสัดส่วนของแต่ละคน จึงทำให้เขาเกิดอาการของความเหงาเข้ามาครอบงำได้ง่าย เพื่อนสามเณรด้วยกันก็พลันเงียบงันพอพลบค่ำต่างก็เก็บตัวเงียบขลุกตัวอยู่ในห้องของใครของมันและต่างก็มีพระพี่เลี้ยงคอยกำกับดูแล เพราะภิกษุ-สามเณรเหล่านี้ต่างถูกส่งตัวเข้ามาจากต่างถิ่นด้วยกันทั้งนั้น

ป้าไหม สายใยและนันเอง นานๆทีถึงจะได้เข้ามาเยี่ยม ทุกครั้งที่มาสามเณรไผ่ศธรจะอดยิ้มไม่ได้กับความน่ารักน่าชังของหลานสาวตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังอยู่ในวัยซน ตอนนี้เขาเองก็กำลังสับสนกับตัวเอง เส้นทางของชีวิตจะเป็นไปในรูปแบบไหนดี จะต้องตกอยู่ในลักษณะแบบนี้อีกนานเท่าไร ความยากจนแร้นแค้นถูกบังคับให้เขาต้องตัดสินใจเข้ามาอยู่ในจุดนี้ ในขณะเดียวกันที่เพื่อนในวัยเดียวกันที่พ่อแม่พอจะมีกินอยู่บ้าง ส่วนมากจะถูกส่งเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยมของตัวอำเภอหรือตัวจังหวัด พวกเขาเหล่านี้ก็มีโอกาสที่จะได้เจอเพื่อนๆมากมาย ไม่เหงาไม่เดียวดายเหมือนกับเขา และเพื่อนๆเหล่านี้ยังได้เลือกเส้นทางในการศึกษาที่ตัวเองชอบและใฝ่ฝันต่อไป ซึ่งตัวเขาเองก็แอบมองอยู่หลายๆครั้งที่มีโอกาสได้ออกไปยังนอกสถานที่ ต่างกันกับทางป้าไหมที่ต้องคอยหาเลี้ยงปากท้องในแต่ละวันก็ลำบากยิ่งแล้วจะหาเงินที่ไหนมาเสียให้เขาได้ร่ำเรียนเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ ยิ่งช่วงนี้สุขภาพป้าไหมเองก็ดูจะเจ็บออดๆแอดๆอยู่เรื่อยๆ คงเป็นเพราะอายุมากขึ้นและการตรากตรำทำงานหนักทุกวันนั่นเอง ลำพังเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็ดูจะขัดสนอยู่แล้ว แล้วไหนจะต้องเจียดมาเป็นค่าหมอค่าหยูกยาอีก “ เฮ้ออ..” สามเณรไผ่ศธรถอนหายใจออกแผ่วเบาพร้อมกับยกท่อนแขนก่ายหน้าผากตัวเอง ส่วนวีระจักรเพื่อนรักอีกคนตอนนี้ได้ข่าวว่าลงไปทำงานที่กรุงเทพแล้ว เพราะหลังจากที่เขาถูกส่งตัวเข้ามาที่วัดมิ่งวรารามได้เพียง5เดือนเศษ เพื่อนรักของเขาก็ได้ขอท่านพระครูฯลาสิกขาสู่เพศฆราวาส โดยให้เหตุผลเพียงสั้นๆว่า อยากไปทำงาน แต่ลึกๆแล้วเขารู้ดีว่าเพื่อนรักคนนี้ก็เกิดอาการเดียวกันกับเขาในตอนนี้ก็คือความเหงากับการไม่มีเพื่อนเข้าครอบงำสภาวะจิตใจนั่นเอง และมีสิ่งหนึ่งที่เขาและเพื่อนรักคนนี้จะลืมไม่ได้ก็คือ “ คำมั่นคำสัญญาที่จะไม่ทอดทิ้งกันจะคอยช่วยเหลือกันมีทุกข์ร่วมทุกข์มีสุขร่วมสุข หรือแม้แต่ที่ต้องเจอปัญหาอันเลวร้ายพวกเขาทั้งสองจะต้องช่วยเหลือกันถึงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตามที “ นี่คือคำสัญญามั่นที่พวกเขาทั้งสองได้ให้ไว้ต่อกันในพระอุโบสถหลังใหญ่ที่วัดอุดมคีรีเขต บ้านหนองนางาม ก่อนที่ตัวเขาเองจะถูกส่งตัวเข้ามาที่ตัวอำเภอพล






สามเณรไผ่ศธรปล่อยให้ความนึกคิดล่องลอยไปกับอารมณ์เหงาๆในยามเช้าพลันก็ต้องดึงกลับให้คงที่ เขาขยับกายลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟภายในห้อง และก็ทำภารกิจประจำวันของตัวเอง การเดินบิณฑบาตในตัวเมืองต้องออกแต่เช้าตรู่ เส้นทางที่ต้องเดินทุกวันก็ดูเหมือนจะไม่ไกลจนเกินไปนักสำหรับเขา ออกจากวัดที่อยู่เยื้องกับ บขส. มุ่งตรงถึงแยกหอนาฬิกาแล้วก็เดินขนานมาตามเส้นทางรถไฟแล้วก็วกกลับเข้าวัด ระยะทางก็น่าจะอยู่ที่ไม่เกินสองกิโลเมตร ส่วนในตอนเพลนั้นก็ต้องคอยไปรับปิ่นโตจากโยมแม่อุปัฏฐาก (ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคิวรถ บขส. มากนัก)



//////////////////////////////////////////////////////////////////



(อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร)








...ณ โรงเรียนมัธยมป่าติ้ววิทยาคาร…


“ เหว๋ย…เหว๋ย… เร็วๆแนสองคนนั่น คาแต่ย่างคุยกันอ้อยอิ่งอยู่หั่นหล่ะ เร็วๆมันสิกลับเข้าโรงเรียนบ่ทัน…” เสียงนักเรียนกลุ่มที่อยู่ข้างหน้าร้องดังขึ้น บอกให้เพื่อนชายหญิงอีกสองคนที่เดินตามหลังมารีบเดินให้ทันกลุ่มของตน ทำให้ดรุณีร่างเล็กวัย15ต้องหยุดชะงัก ใบหน้าอาบด้วยรอยยิ้มที่เอียงอายเล็กน้อย มองเห็นฟันมีเขี้ยวเล็กๆที่แซมอยู่ผุดประกายขึ้นมา พร้อมกับเร่งฝีเท้าของตัวเองให้เร็วขึ้นเพื่อให้ทันกลุ่มเพื่อนที่อยู่ข้างหน้า…..

นิยาย กรรมลิขิต 11



...คำนำ....
..บทละครต่อไปนี้ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะชักนำไปในทางที่ไม่สมควรหรือเสื่อมเสีย และไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝง เป็นจินตนาการที่เกิดจากตัวคนเขียนเอง หากสิ่งใดไม่สมควรผู้เขียนขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย จุดประสงค์ของผู้เขียนต้องการสื่อให้ผู้อ่านเกิดความบันเทิงเท่านั้นครับ

กรรมลิขิต

ตอน เส้นทางแห่งวิบาก 2




เวลา 23.45 น .

เขตอำเภอ ลำลูกกา

" ....เปรี๊ยง.....เปรี๊ยงงง....." เสียงปืนดังขึ้นติดต่อกันสองนัดซ้อน ถัดจากนั้นเพียงไม่กี่วินาทีก็เกิดฝุ่นคลุ้งตลบเมื่อรถเก๋งคันงามยี่ห้อดังจากญี่ปุ่นพุ่งชนกระแทกเข้ากับกลุ่มเสาหลักข้างทางหลวงแบบจังเบอร์เพราะเสียการทรงตัว คล้ายกับว่าไร้การควบคุมจากเจ้าของที่อยู่ภายใน เจ้ารถเก๋งคันงามจอดนิ่งสนิทหลังจากที่ส่วนหน้าเก๋งชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ข้างถนนเหมือนกับว่าเป็นระบบเบรคชั้นเยี่ยมจนกระจังหน้าบุบเข้ามาเกือบจะถึงตัวคนขับ เจ้าของที่อยู่ภายในตอนนี้ไร้ซึ่งลมหายใจตั้งแต่เสียงปืนดังขึ้นไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้


"... แป๊นน...แป่นนน..แปร๊นนน.." แค่เพียงอึดใจเสียงเจ้ามอเตอร์ไซด์คันใหญ่เชื้อสายเดียวกันกับรถเก๋งก็พุ่งทะยานออกไปจากจุดนั้นพร้อมกับร่างของชายในชุดดำ2คนที่สวมหมวกกันน๊อคปิดอำพรางใบหน้า มีรอยยิ้มเหี้ยมเกิดขึ้นเล็กน้อยกับชายที่นั่งอยู่ด้านหลัง เมื่อมองเห็นว่างานที่ได้รับมอบหมายมาเสร็จลงได้แบบง่ายดายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา และนี่มันคงสร้างความปวดหัวให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในเขต จังหวัดปทุมธานีในอีกไม่นานต่อจากนี้ไป คงจะเป็นคดีสะเทือนขวัญและถูกกล่าวถึงตามหน้าจอทีวีและหนังสือพิมพ์เป็นแน่แท้









......หนึ่งชั่วโมงต่อมา......

มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาจอดเคียงข้างรถเก๋งคันหรูในปั๊มน้ำมันย่านรังสิต ชายหนุ่มในชุดดำก้าวลงจากรถพร้อมกับพยักหน้าให้สัญญาณกับคู่หูที่ทำหน้าที่เป็นคนขับ หลังจากนั้นเจ้า KR 150 CC. ก็พุ่งทะยานออกไปแบบรู้หน้าที่มุ่งตรงเข้าไปยังเขตดอนเมืองต่อไป ใบหน้าที่เฉยชาของชายหนุ่มในชุดดำเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อหมวกกันน๊อคถูกเปิดออก และรอยยิ้มกับเปิดกว้างขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมองเห็นบุคคลภายในรถเก๋งคันหรูที่ติดเครื่องรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ...

" อ้ายรุจมาซ้าไป15นาที ปล่อยให่เดือนมานั่งถ่าอยู่ตั้งโดน " เสียงผู้ที่อยู่ในรถเก๋งต่อว่าแสดงสีหน้างอหลังจากที่ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปนั่ง

" แหม..เดือนกะดายเนาะ... อ้ายแค่มาซ้าแค่บ่กี่นาทีเองเด๊ะหล่ะ แค่นี้กะเคียดให่อ้ายแล้วติหนิ ฮึ๊..งึดหลายน้อคนเอ๊ยย.. กะมื้อนี้แก่นมันขับซ้าเองเนาะ..อ้ายต้องไถ่โทษแล้วมั้งงานหนิแหม่ะ..อึ๊หึ๊… " ชายหนุ่มอธิบายกับเธอพร้อมกับจูบเข้าไปที่หน้าผากอันกลมมนได้รูป ทำให้ใบหน้าที่บึ้งอยู่เล็กน้อยก่อนหน้านี้เปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มแทน

" ตลอดหล่ะอ้ายรุจหน่ะ โยนควมผิดให่อ้ายแก่นเพินตลอดเลย บ่เคยยอมรับเจ้าของ " เธอยังมีอารมณ์แสนงอนอยู่บ้างแต่เธอก็เข้าใจเขาดี แม้คำพูดจะออกมาในลักษณะนี้แต่ส่วนลึกภายในของเธอแล้วกลับรักเขามาก และเข้าใจดีว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เขาต้องผ่านกับงานอะไรมา สิ่งที่เธอจะต้องทำในขณะนี้ก็คือพาเขากลับไปยังคอนโดหรูที่ชายหนุ่มคนรักซื้อไว้อยู่ในย่านมีนบุรีและตัวเธอเองคือสิ่งที่สำคัญมากที่ช่วยให้เขาผ่อนคลายได้มากขึ้น

..รถเก๋ง BMW สีดำวิ่งออกจากปั๊มแห่งนั้นในเวลาต่อมา ชายหนุ่มปรับเอนเบาะและข่มเปลือกตาลงเล็กน้อยหลังจากที่ตัวเขาต้องผ่านงานอันตึงเครียดมา เขาปล่อยให้แฟนสาวทำหน้าที่คนขับแทน เธอคือคนที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด แม้ว่าจะดึกสักแค่ไหนเธอก็ยังทำหน้าที่ของเธอได้แบบไม่ขาดตกบกพร่องแม้ว่าบางครั้งเธอจะเอ่ยปากในเชิงตัดพ้อเขาอยู่เรื่อยๆ แต่มันก็เป็นแค่อารมณ์หงุดหงิดภายนอกเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วเธอกลับรักเขาและพร้อมมอบกายถวายชีวิตให้กับเขาเลยที่เดียว วิศรุจเจอเธอในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในเขตรามอินทรา หลังจากที่เขาเข้าไปดูลาดเลากับงานที่ได้รับมอบหมาย ด้วยความมุ่งมั่นแห่งการเป็นนักรักชั้นเลิศ ชายหนุ่มก็สามารถดึงเธอเข้ามาครอบครองได้ในเวลาที่ไม่นานนัก วิศรุจมอบความรักและปรนเปรอเธอทุกอย่างจนทำให้เธอมอบกายถวายชีวิตให้กับเขาแม้เธอจะรู้ดีว่าเส้นทางที่วิศรุจกำลังเดินอยู่นี้มันเลวร้ายมืดมนขนาดไหน แต่เมื่อความรักความสิเหน่หาเข้าครอบงำแล้ว ทุกๆอย่างก็ดูจะไร้ค่าสำหรับมนุษย์ปุถุชนผู้มีจิตอันต่ำเยี่ยงนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเดือนนภา สาวสวยวัย22จากจังหวัดอุบลราชธานีคนนี้…

วิศรุจ หนุ่มลูกอีสานแห่งเมืองตำน้ำกินดินแดนที่ขึ้นชื่อถึงความแห้งแล้งในอดีตกาล ชีวิตเส้นทางแห่งความยากแค้นแสนเข็ญเป็นจุดกำเนิดให้ผันตัวเองก้าวย่างเข้ามาในเส้นทางที่ดำมืดจนยากเกินที่ตัวเขาจะถอนกลับ ชีวิตของเขาเริ่มต้นเหมือนกับเด็กลูกอีสานทั่วไป ต้องปากกัดตีนถีบดิ้นรนสู้ทำงานเพื่อสร้างตัวเองให้สู่ความมั่นคงแห่งอนาคตของตัวเอง “ ชลบุรี “ คือจังหวัดของการเริ่มต้นที่เขาตัดสินใจเหยียบย่างเพื่อจะก่อร่างสร้างตัวเพราะจังหวัดแห่งนี้เป็นเมืองท่าที่มีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อยู่มากมาย ด้วยนิสัยแห่งการรักสนุกชอบท่องเที่ยวแห่งอิสระเสรีทำให้ชีวิตเขาเองต้องผกผันมาสู่เส้นทางแห่งนักฆ่าหรือที่เรียกกันว่า “ มือปืน” ผู้มีอิทธิพลในจังหวัดชลบุรีดึงเขาเข้ามาอยู่ในสังกัดหลังจากที่เห็นเขาสร้างวีรกรรมในผับแห่งหนึ่งย่านบางแสน ด้วยบุคลิคที่เงียบและเคร่งขรึมภายนอกบวกกับความเลือดเย็นภายในมันทำให้เขาต้องตาต้องใจผู้มีอิทธิพลในพื้นที่นั้นเป็นอย่างมาก เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่จุดนี้ถึง2ปี ก็ได้รับการติดต่อมาจากทางกรุงเทพฯให้เข้าไปช่วยงาน โดยเขารู้เพียงคร่าวๆในตอนนั้นว่าผู้ที่อยู่ทางกรุงเทพฯเป็นเพื่อนกันกับนายที่อยู่ชลบุรีนั่นเอง วิศรุจดึงตัวเพื่อนสนิทเข้ามาร่วมงานกับเขาอีกคน ปฐมพงษ์ หรือแก่น เด็กหนุ่มจากเมืองแก่นขอน ผู้ที่เข้ามาเป็นคู่หูของเขาและทำหน้าที่เป็นคนขับขี่ที่พร้อมจะพาเขาไปได้ทุกที่ทุกเส้นทางในเขตกรุงเทพและปริมณฑลรวมไปถึงเขตรอบนอก รู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี จึงไม่น่าแปลกใจที่ชายหนุ่มจะดึงตัวเขาเข้ามารับหน้าที่ในจุดนี้ เพราะถ้าหากไม่แน่จริงพวกเขาก็คงจะจบเห่ลงแบบง่ายๆและต้องเขาไปใช้วิบากแห่งกรรมที่เขาได้กระทำลงไปต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแบบเลือดเย็น…



ไอค่อนสกาย ไนท์คลับ

ณรงค์ฤทธิ์ เสี่ยหนุ่มผู้ทรงอิทธิพลกำลังนั่งดื่มอยู่ในห้องส่วนตัวโดยมีหญิงสาวนั่งขนาบข้างอยู่สองฝั่ง เสียงเธอหัวเราะระริกด้วยความชื่นมื่นพร้อมกับปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองแบบเต็มที่ เพราะหนุ่มผู้นี้คือผู้มีพระคุณแก่พวกเธอและพวกเธอเองก็พร้อมที่จะสนองความพึงพอใจให้กับชายหนุ่มผู้นี้แบบไม่มีข้อยกเว้น อรและดาหลา ดาวเด่นแห่งไนท์คลับแห่งนี้พวกเธอคือจุดดึงดูดเม็ดเงินจากนักเที่ยวยามราตรีได้มากที่สุด ด้วยหุ่นที่อวบอัดและทรวดทรงที่ใครเห็นแล้วต้องอ้าปากค้างพาลนึกเป็นห่วงหนักอกหนักใจแทนพวกเธอเป็นยิ่งนัก เพราะมันทะลักล้นออกมาจนที่จะอดเป็นห่วงเอาเสียไม่ได้นั่นเอง


“ ให้น้องเป็นฮัก อ้ายสิขอเป็นแฮง อ้ายเป็นคนหาเจ้าคอยเก็บแบ๊งค์ สร้างฝันด้วยแรงที่อุ้มด้วยฮัก..เห็นดีนำบ่ หรือมีแล้วบ้อ… “

เสียงเพลงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้เสี่ยหนุ่มต้องหยุดกับกิจกรรมที่อยู่ตรงหน้าทันที

“ ว่าได๋รุจ … ราบรื่นดีบ่ “

“ ดีแล้ว ….โตบ่เคยเฮ็ดให่เฮาผิดหวังอยู่แล้ว.. “

“ อยู่ไสตอนนนี้ “

“ เอ้อ..ดีแล้ว..พักตามสบาย.. เดี๋ยวมื้ออื่นเฮาโอนเข่าบัญชีให่ดอกเว๊ย..เดี๋ยวสิมีใบสั่งไปหาอีกดอก เตรียมควมพ้อมไว้ตลอดแนหล่ะ ”

“ เอ้อ …ดีดี แค่นี้หล่ะ.. “

เสียงสนทนาสิ้นสุดลงทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นจากมุมปากณรงค์ฤทธิ์อีกครั้ง เล่นเอาอรและดาหลาพลันยิ้มเอาใจขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าเสี่ยของพวกเธอสุขใจยิ่งนักกับงานที่มอบผ่านไปให้ลูกน้องจัดการมันผ่านฉลุย











“ สายอมรวสันต์ คอนโดมิเนียม “

รถเก๋ง BMW สีดำคันงามขับเข้าไปจอดอยู่ลานจอดข้างล่าง เดือนนภา เขย่าร่างของแฟนหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์แห่งความหลับใหล

“ อ้ายรุจ ..ตื่นได้แล้ว..ฮอดห้องแล้ว แม่นหยั๋งบ่พอคราวเผลอหลับแล้ว เมื่อกี้เดือนยังเห็นอ้ายโทรไปรายงานเสี่ยเพินอยู่ “ เธอเขย่าต้นแขนเขาซ้ำหลังจากที่เขายังนิ่ง ชายหนุ่มขยับกายงัวเงียตื่นจ้องมองหน้าเธอพร้อมกับยิ้มให้เล็กน้อย เขารู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่ได้อยู่กับเธอ

“ เอ้อ..อ้ายรุจ.. งานคืนนี้เสี่ยเพินออกใบสั่งให่อ้ายเฮ็ดงานทางได๋ “ เธอถามพร้อมกับจ้องมองชายหนุ่ม เขายิ้มนิดๆก่อนจะตอบเธอออกไป

“ ลูกค้าระดับกลางของเสี่ยเพินหน่ะเดือน ..เสี่ยบอกว่ามันกำลังสิตีโตออกห่างไปรับออเดอร์ยาจากรายอื่น มันว่าทางอื่นให่ถืกกว่า เสี่ยเลยสั่งเก็บเป็นการสั่งสอน ป๊ะขึ่นห้องได้แล้ว อ้ายเมื่อยเต็มทีแล้ว อยากพักผ่อน” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับชวน เขาไม่มีความลับอะไรสำหรับเดือนนภา และเขาก็เชื่อว่าเธอจะไม่มีวันทรยศเขาเป็นอันขาด

“ ไปติ๊หล่ะ..เดี๋ยวขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อน เดี๋ยวเดือนสินวดให่เองอ้ายสิได้ผ่อนคลาย “ เธอบอกยิ้มหวานสายตาทอเป็นประกายดึงมือชายหนุ่มให้ถลาตามขึ้นห้องทันที


เช้าวันต่อมา 09.15น. สถานีตำรวจ หัวหมาก

“ พี่หน่อยกับพี่ลุ่มครับ ผู้กำกับเพินเอิ้นให่เข่าไปหาครับ ..เดี๋ยวนี้เลย..”

เสียงร้อยเวรตะโกนบอกพร้อมกับแสดงสีหน้าเคร่งเครียดมาแต่ไกล ทำให้ ร้อยตำรวจตรีหญิงกัญญา และ ร้อยตำรวจตรี ประยูร เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนต้องหันขวับมองหน้ากันทันใด พร้อมกับฉุกคิดว่างานเข้าแต่เช้าอีกแล้ว……



เช้าวันต่อมา 09.15น. สถานีตำรวจ หัวหมาก


“ พี่หน่อยกับพี่ลุ่มครับ ผู้กำกับเพินเอิ้นให่เข่าไปหาครับ ..เดี๋ยวนี้เลย..” เสียงร้อยเวรตะโกนบอกพร้อมกับแสดงสีหน้าเคร่งเครียดมาแต่ไกล ทำให้ ร้อยตำรวจตรีหญิงกัญญา และ ร้อยตำรวจตรี ประยูร เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนต้องหันขวับมองหน้ากันทันใด พร้อมกับฉุกคิดว่างานเข้าแต่เช้าอีกแล้ว……

" เออนี่พวกคุณ..ผมมีงานให้คุณทั้งสองรับไปทำหน่อย " เสียงของ พ.ต.ต. ปรีชา สังควรรณาการชัย หรือผู้กำกับต้องแล่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้เรียกกันในตอนที่ผู้กำกับคนนี้ไม่ได้อยู่ร่วมวงสนทนา มาดขรึมตามสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ส่วนตัว มีให้เห็นในทันทีเมื่อร้อยตำรวจตรีหญิงกัญญาและร้อยตำรวจตรีประยูรเข้าไปถึงภายในห้องที่ทำงานส่วนตัวของเขา

" เอ่อ..ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรให้พวกเราทำค่ะท่านฯ " ตำรวจหญิงคนสวยที่ปนไปด้วยมาดเท่ห์นัยๆแห่งเมืองดอกบัวเอ่ยถามกลับ

" คือว่าผมได้รับหนังสือมาจากทางหลายหน่วยงานหลายสถานีประสานขอความร่วมมือมายังสถานีเราว่า ในเขตพื้นที่ที่เรารับผิดชอบอยู่นี้อาจจะมีผู้ต้องหาที่ก่อเหตุมาจากพื้นที่รอบนอกหนีเข้ามากบดานอยู่ในเขตพื้นที่ของเรา และอีกอย่างทางผู้ใหญ่ท่านกำชับสั่งการลงมาให้เข้มงวดกับสถานบริการเริงรมณ์ยามค่ำคืนที่มักจะเปิดเกินเวลาที่กฏหมายกำหนด สถานบริการยามค่ำคืนเหล่านี้มักจะมีธุรกิจลับๆที่ผิดกฏหมายแอบแฝงอยู่ ผมอยากให้คุณทั้งสองเข้าไปหาข่าวโดยการลงพื้นที่หน่อยก็ดี เพราะช่วงนี้ในเขตพื้นที่ที่เรารับผิดชอบอยู่มันมีคดีอาชญากรรมที่พัวพันไปถึงยาเสพติดเกิดขึ้นถี่เหลือเกิน คุณจะดึงคนไหนเข้าไปร่วมก็ได้แค่เขียนรายงานส่งเรื่องเข้ามาที่ผม เดี๋ยวผมจะเซ็นต์อนุมัติให้เอง " ผู้กำกับตงฉินกล่าวออกมาพร้อมกับแสดงสีหน้าเคร่งนิดหน่อย ปากกาที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานถูกจับขึ้นมาเคาะที่หัวเล่นอยู่เป็นระยะๆ นี่คือสไตล์ของผู้กับกับตงฉินที่กระทำอยู่บ่อยๆจนเกิดเป็นนิสัยเมื่อมีเรื่องให้เข้ามาขบคิด เพราะเมื่อวานกับวันนี้เขาได้รับหนังสือจากสถานีตำรวจรอบนอกส่งมาขอความร่วมมืออีกทั้งยังได้รับโทรศัพท์สายตรงจากผู้กำกับสถานีแห่งนั้นด้วย

" ครับท่านฯ เดี๋ยวพวกเราจะเร่งลงพื้นที่และหาข่าวให้ได้เร็วที่สุดครับท่าน " ลุ่ม หรือฉายา ลุ่มดอนไข่ ตำรวจฝีมือเยี่ยมหนุ่มไฟแรงจากอำเภอบึงกาฬที่พึ่งเข้ามาทำหน้าที่เป็นคนของประชาชนได้เพียงสองปีกล่าวให้ความมั่นใจกับผู้บังคับบัญชาของตน มีรอยยิ้มวาบเกิดขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย เพราะการลงพื้นที่เข้าไปหาข่าวมันทำให้เกิดความตื่นเต้นความเร้าใจอยู่ลึกๆสำหรับตำรวจหนุ่มไฟแรงคนนี้



"สายอมรวสันต์ คอนโดมิเนียม "








ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากภารกิจเมื่อคืนบวกกับเกมแห่งความรักที่เดือนนภามอบให้ ทำให้สภาพชายหนุ่มตอนนี้ต้องหลับไหลแบบคนไร้สติ แม้เดือนนภาจะลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วแต่มันก็ไม่ทำให้เขาตื่นจากความหลับใหลได้เลยถ้าไม่มีเสียงนี้ดังขึ้นเสียก่อน

" ..ก๊อก....ก๊อก...ก๊อก.." เสียงประตูห้องดังขึ้น3ครั้งติดต่อกัน มันทำให้ชายหนุ่มต้องสะดุ้งตื่น ความระแวดระวังสติสัมปชัญญะถูกดึงกลับเข้ามาอีกครั้ง สายตาของเขามองหาเดือนนภาคนรักทันที เขาไม่เห็นเธอแต่คาดเดาได้ว่าเธออยู่ในห้องน้ำ เมื่อได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวพร้อมกับเสียงเธอคลอเพลงแผ่วเบาอย่างอารมณ์ดี

" ..ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก.." เสียงประตูห้องถูกเคาะซ้ำอีกชุดเมื่อไร้การตอบสนองจากผู้ที่อยู่ภายใน ชายหนุ่มคว้าผ้าขนหนูขึ้นมานุ่งพร้อมกับนึกในใจว่าทำไมต้องเคาะกัน3ครั้งทุกทีไปหรื่อนี่เป็นการเคาะระดับสากลกันไปแล้ว ลิ้นชักถูกเปิดออกพร้อมกับหยิบอาวุธคู่กาย เขาเดินตรงไปที่ประตูอย่างแผ่วเบา สายตาถูกแนบเข้าไปตรงกระจกที่ตัวเล็ก(ที่ติดไว้ส่องดูบุคคลภายนอก) สีหน้าปนความสงสัยออกมาเล็กน้อยเมื่อเจอกับบุคคลที่อยู่ภายนอก

" ไผ๋ว๊ะ..สิเป็นหมู่เดือนหล่ะมั้ง " เขาเปิดประตูออกไปและมันสร้างความตกใจให้กับผู้อยู่ภายนอกเล็กน้อย ดูเธอสะดุ้งพร้อมกับยิ้มเขิลเมื่อเห็นสภาพการแต่งตัวของเขา

" เอ่อ...ขอโทษค่ะพี่ ..หนูคงจะเคาะห้องผิด " หญิงสาวในชุดนักศึกษารัดติ้วกล่าวตะกุกตะกักพร้อมกับก้มหลบสายตาและเดินออกจากจุดนั้นทันที วิศรุจจ้องมองตามหลังเธอพร้อมกับทอประกายเปื้อนยิ้มนิดๆ ความสวยและหุ่นของเธอเมื่อเทียบชั้นกับเดือนนภาแล้วต้องบอกว่าเธอคนนี้ก็ไม่ได้เป็นรองเลย เขาปิดประตูและเดินกลับเอาอาวุธคู่กายเข้าเก็บประจำยังที่เดิม

" อ้าว..อ้ายรุจ..คือตื่นแต่เซ้าแท้ คือบ่นอนพัก เดือนไปมหาลัยกลับมาเดือนสิมาปลุกดอก มื้อนี้มีเรียนบ่โดนดอกจ้า " เดือนนภาออกมาในชุดนุ่งผ้าขนหนูกระโจมอก เม็ดน้ำที่เกาะตามร่างกายของเธอมันช่างชวนให้น่ามองน่าหลงใหลยิ่งนัก เธอยิ้มหวานให้เขาก่อนที่จะหันไปให้ความสนใจกับตัวเธอเองต่อ ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วสำหรับการเรียนของเธอ ระยะนี้ส่วนมากจะเป็นการร่วมกิจกรรมเสียส่วนมากซึ่งใช้เวลาไม่เยอะ เธอจึงมีเวลาให้กับเขามากขึ้น

" ได้จ๊ะเดือน ...กลับมากะค่อยมาปลุกอ้ายกะแล้วกัน ออกไปอย่าลืมล็อคห้องให้อ้ายนำแนหล่ะ " ชายหนุ่มบอกแล้วล้มตัวลงที่นอนพร้อมกับปิดเปลือกตาลง ภาพหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูเมื่อครู่นี้ผุดขึ้นมาล่องลอยอยู่ในสมอง ไม่นานนักเขาก็หลับใหลไปด้วยความอ่อนเพลีย




“ ไอค่อนสกาย ไนท์คลับ “ เวลา 21.50 น.


ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่ผู้คนนักท่องเที่ยวยามราตรีพลุกพล่าน เนื่องจากเป็นคืนวันเสาร์ วิศรุจ และ ปฐมพงษ์หรือแก่น คู่หูคนสนิทออกมาจากคอนโดด้วย BMW คันเก่งของเขาโดยที่ปฐมพงษ์นั้นขับมอเตอร์ไซค์คู่ชีพมาจอดไว้ลานจอดข้างล่างของคอนโด ส่วนเดือนนภานั้นเธอออกเดินทางไปทำธุระต่างจังหวัดกับเพื่อนตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว ....และใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก BMW คันงามก็เข้าเทียบจอดยังลานบริเวณภายนอก

“ หวัดดีอ้ายรุจ…..เสี่ยเพินนั่งถ่าอยู่ข้างในครับ ผมเตรียมของโปรดไว้ถ่าอ้ายแล้ว “ เสียงตั้ม เมืองศรี ดังขึ้นเดินเข้ามาหาเขาเมื่อมองเห็นบีเอ็มคันงามเลี้ยวเข้ามาตั้งแต่ทีแรก

“ อื้อ..ขอบใจว๊ะตั้ม..น้องหล่าฮู้จักใจอ้ายดีแท้ๆว๊ะ “ ชายหนุ่มบอกยิ้มๆพร้อมกับหันไปพยักหน้าให้กับแก่นคู่หูคนสนิทให้ตามเข้าไปด้วย

“ เสี่ยณรงค์ฤทธิ์ “ นั่งรออยู่ภายในห้องส่วนตัวอย่างใจเย็น สองข้างถูกประกบไปด้วยสาวสวยคู่เดิมคืออรและดาหลา สองสาวที่เสี่ยหนุ่มไว้เนื้อเชื่อใจและทำหน้าที่เลี้ยงดูปูเสื่อให้กับพวกเธอเป็นอย่างดี รอยยิ้มของเธอถูกส่งมาทักทายหลังจากที่วิศรุจและปฐมพงษ์เข้ามายังในห้อง

“ อ้าว..รุจ..แก่น..นั่งๆ เฮาถ่าพวกโตอยู่ ..อรขยับไปนั่งนำรุจไป๋ “ เสียงของเสี่ยหนุ่มกล่าวทักทายเขาพร้อมกับสั่งให้สาวร่างทรงโตที่นั่งเบียดอยู่ด้านขวามือขยับไปนั่งกับชายหนุ่ม

“ หวัดดีครับเสี่ย..บ่เป็นหยั๋งดอกครับให้น้องอรนั่งอยู่กับเสี่ยนั่นหล่ะครับดีแล้ว
“ วิศรุจบอกพร้อมยิ้มเล็กน้อยแม้เขาจะไม่ใช่คนที่มีใบหน้าคมเข้มแต่รอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาก็สะดุดสายตาของสาวๆได้ดีทีเดียวมันเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเลือดเย็นอยู่ภายใน

“ เอ๊า…กินๆกันก่อน เดี๋ยวค่อยคุยงานของเฮาทีหลัง “ เสี่ยหนุ่มบอกหลังจากที่อาหารชุดนี้ถูกยกมาวางรอไว้ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว วันนี้วิศรุจถูกทางเสี่ยหนุ่มโทรตามให้เข้ามาเจอที่นี่ เพื่อมอบหมายงานใหม่ให้นั่นก็คือ “ ปิดบัญชี “ ลูกค้าเอเย่นต์ระดับกลางๆอีกรายนึง ที่คิดทำตัวออกห่างหันไปทำการค้ากับผู้ค้ารายใหม่ นี่คือประกาศิตที่เสี่ยหนุ่มจะยัดเยียดมอบให้กับเอเย่นต์รายนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ณรงค์ฤทธิ์ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งฟอกเงิน ส่วนแหล่งเก็บซ่อนสิ่งที่เป็นภัยคุกคามร้ายแรงของสังคมถูกเก็บไว้ในคฤหาสน์หลังงามในย่านลาดพร้าวโดยมีตั้ม เมืองศรี และดุ่ย แดนผาขาว เป็นผู้ควบคุมดูแลทำการค้าขายกับเอเย่นต์ทั่วไป ของทั้งหมดนี้ถูกลำเลียงนำเข้ามาตามตะเข็บชายแดนในราคาที่ไม่แพงนักแต่เมื่อมันเข้ามาถึงยังจุดนี้แล้ว มันกลับมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวทีเดียวเชียว……


อาหารบนโต๊ะถูกจัดการไปพร้อมกับการบอกรายละเอียดงานอย่างคร่าวๆโดยที่เสี่ยหนุ่มมอบรูปถ่ายมาให้กับชายหนุ่ม2แผ่น (นี่คือเป้าหมายแห่งการสังหาร)

“ ก๊อก..ก๊อก..ก๊อก..” เสียงประตูห้องดังขึ้นทำให้วิศรุจต้องนั่งอมยิ้มก่อนจะหันกลับไปดูที่ประตู “ เป็นหยั๋งคือต้องเคาะกัน3เทือตลอดว๊ะ “ พลางคิดไปถึงใบหน้าที่สวยได้รูปของหญิงสาวในวันนั้น ประตูห้องถูกเปิดเข้ามาและก็เป็นร่างของดุ่ย แดนผาขาว ที่ทำหน้าสีหน้าเครียดเล็กน้อยเดินตรงเข้ามาหานายใหญ่เขา

“ แม่นหยั๋งว๊ะดุ่ย..มีอีหยั๋ง “ เสี่ยหนุ่มถามหนุ่มมาดเซอร์ผู้เปรียบเสมือนมือซ้ายเขา

“ ข้างนอกครับเสี่ย มีลูกค้าโต๊ะนึงออกอาการกวนๆแนครับ เขม่นกับเด็กในร้านเฮา “ ดุ่ย แดนผาขาว รายงานเสี่ยหนุ่มด้วยอาการนอบน้อม

“ มาจั๊กคนว๊ะ “

“ มา4คนครับ สามคนนั่นเป็นผู้ซายแต่อีกผู้นึงคือสิแม่นผู้หญิง แต่ว่ามาดออกห้าวๆแต่งโตแบบผู้ซาย ผมเบิ่งแล้วกลุ่มนี้คล้ายกับตำรวจครับเสี่ย เห็นน้องแอ๋วกับน้องยาบอกว่าเขาพยายามถามรายละเอียดเกี่ยวกับร้าน “

“ บ่เป็นหยั๋ง..บอกเด็กของเฮาใจเย็นๆอย่าใจฮ้อน เบิ่งไปเรื่อยๆ “

“ ครับผม “

“ เดี๋ยวบอกตั้มไปเบิ่งนำแน ช่วงนี้ฮู้สึกว่าสิมีลูกค้าหน้าใหม่เข้ามาเรื่อยๆและสิมักกวนเด็กเฮา “

“ ครับเสี่ย “

การสนทนาจบลงแบบรวดเร็วและได้ใจความดุ่ย แดนผาขาวกลับออกไปทำหน้าที่ตามที่นายใหญ่สั่งในทันที ความอดทนต่อการยั่วยุน่าจะเป็นสิ่งที่ต้องกระทำในเวลานี้

วิศรุจ และ ปฐมพงษ์ ขอตัวกลับหลังจากที่ดุ่ย แดนผาขาวออกจากห้องไปได้ไม่นานนัก เมื่อเขาออกมาจากภายในห้องของเสี่ยหนุ่มมา ก็ต้องผ่านบริเวณห้องโถงที่ถูกตั้งไปด้วยโต๊ะอยู่เป็นกลุ่มๆ ตอนนี้มีนักเที่ยวนั่งอยู่หนาตาทีเดียว สายตาของเขาจับไปยังกลุ่มที่ดุ่ยเข้าไปรายงานกับเสี่ยณรงค์ฤทธิ์เมื่อครู่นี้ ด้วยสัณชาตญานของเขาสามารถรับรู้ได้ว่านี่คือตำรวจนอกเครื่องแบบแน่นอน รอยยิ้มที่แฝงด้วยความเยือกเย็นถูกส่งไปทักทายในทันทีเมื่อสายตาเขาปะทะเข้ากับสาวมาดเท่ห์ในกลุ่มนั้นที่นั่งมองตั้งแต่เขาเดินออกมาจากภายในห้องของเสี่ยหนุ่ม…..

นิยาย กรรมลิขิต 10



กรรมลิขิต

ตอน เส้นทางแห่งวิบาก 1


วิถีเส้นทางเดินของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป ทุกๆสิ่งอย่างย่อมขึ้นอยู่การตัดสินใจในการที่จะเลือกทางเดินของเรา “ ใจ “ คือสิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นตัวแปรในการเลือก ผลการประกอบทุกสิ่งอย่างขึ้นอยู่ที่สภาวะของจิตใจ ความอยาก กิเลส ตัณหา เป็นตัวกระตุ้นให้เราต้องโหยหาและจำยอมรับมันเข้ามา แม้จะรู้ว่าผิดแต่เมื่อสภาวะทางจิตใจอ่อนไหวบวกกับความอ่อนแอก็ย่อมถูกชักนำให้เขวได้ ..ผลประกอบในทางที่เป็นกุศลกรรมนั้นอย่างแรกเราต้องปรับเปลี่ยนและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับจิตใจเป็นอันดับแรกก่อน เมื่อสภาพจิตใจเข้มแข็งก็เท่ากับสร้างภูมิคุ้มกันให้เป็นอย่างดี …. คุณผู้อ่านทุกๆท่าน มาเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันให้กับจิตใจไปพร้อมๆกับผู้เขียนกันดีกว่าครับ……


...เสียงไก่ขันส่ง-รับ กันต่อเนื่อง คล้ายกับว่านักวิ่งลมกรดทีมชาติไทยที่คอยวิ่งผลัดส่งไม้กันเป็นทอดๆ ในอีกไม่ช้าไม่นานแสงอรุณยามรุ่งสางก็จะโผล่ขึ้นมาให้เห็นแสงสีทองเหลืองอร่าม และมันยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่เช่นนี้เป็นประจำในทุกเช้า พร้อมกับปลุกสรรพสิ่งรอบกายให้ตื่นจากความหลับไหลเพื่อทำหน้าที่แห่งกลไกหน้าที่ที่รับมอบหมายให้ก้าวสู่เส้นทางเดินของแต่ละชีวิตที่แตกต่างกันออกไป นี่คือบทบาทชีวิตของแต่ละคนที่ต้องแสดงให้จบขึ้นอยู่กับว่าใครจะเลือกบทบาทและการแสดงไปในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง ความหนาวเหน็บยามเช้าดูจะมีมากเป็นสองเท่ายังผลให้สามเณรตัวน้อยต้องขดตัวเข้ากับจีวรผืนบางที่ใช้เป็นเครื่องประทังความหนาวได้เปลาะหนึ่ง ปีนี้รู้สึกว่าจะหนาวเย็นเป็นพิเศษเสียด้วยซ้ำบวกกับพื้นที่ของวัดอุดมคีรีเขตอยู่ไม่ห่างจากเทือกเขาภูเม็ง....เลยทำให้ความหนาวดูจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เสียงไก่ขันยังดังอยู่เป็นระยะๆทำให้สามเณรตัวน้อยต้องพยุงตัวขึ้นนั่งท่ามกลางความมืดที่ยังปกคลุมอยู่ภายในห้องพอสลัวๆ มองดูเพื่อนรักที่กำลังหลับใหลอยู่ข้างๆมีรอยยิ้มออกมาจากใบหน้าเล็กน้อย

" คือสิหนาวแฮงเน๊าะ เหล่นห่มจีวรตั้ง2ผืนเลย ลุกไปเอามาแต่ตอนได๋ว๊า.." พึมพำออกมา พร้อมกับพาตัวเองลุกขึ้นเดินตรงไปเปิดประตูห้องแต่ก็มิวายที่จะลืมคว้าผ้าจีวรผืนใหญ่ห่มตัวเพื่อคลายความเหน็บหนาว


...นี่คือกิจวัตรประจำวันของเขา ตั้งแต่หลวงพ่อพระครูฯดึงตัวเขาเข้ามาเป็นสามเณรอุปัฏฐากก้นกุฏิ มันทำให้เขาต้องตื่นแต่เช้าเป็นพิเศษกว่าใครทั้งหมด เริ่มตั้งแต่จัดแจงหุงข้าว (เพราะตัวหลวงพ่อพระครูฯท่านจะฉันข้าวเหนียวได้ไม่มากเนื่องจากมีผลกับโรคประจำตัวของท่าน และทางหมอก็ดูจะสั่งห้ามเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนมาฉันข้าวที่มีสารให้ความหวานน้อยลง) เมื่อออกมานอกห้องสายตาก็เจอเข้ากับหลวงพ่อพระครูฯ ท่านกำลังนั่งทำวัตรเช้าอยู่รูปเดียวเฉกเช่นทุกวัน แม้จะล่วงเลยออกพรรษามาแล้วแต่ท่านก็ยังเคร่งในวัตรปฏิบัติและทำอยู่มิได้ขาด ยังผลให้เกิดรอยยิ้มแก่สามเณรตัวน้อยขึ้นอีกครั้ง นี่คือแบบอย่างที่เขาเห็นแล้วต้องอดที่จะชื่นชมเป็นแบบอย่างไม่ได้ สามเณรไผ่ศธรละสายตาออกจากจุดนั้นและก้าวย่างไปในจุดที่ตัวเองต้องปฏิบัติเป็นอันดับแรก หม้อหุงข้าวถูกจัดการเรียบร้อยในเวลาไม่นานนัก มุ้ง ผ้าห่มที่นอน ในห้องของหลวงพ่อพระครูฯถูกเก็บเข้าที่ในเวลาต่อมาและสิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือกระโถน ที่เขาต้องนำไปเทแล้วก็ล้างทุกเช้าซึ่งแม้ภายในจะเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยโสภาเท่าไร แต่เขาก็กระทำด้วยความเต็มใจเป็นที่สุดพร้อมสุขใจอยู่ลึกๆที่เขามีโอกาสได้รับใช้พระเถระชั้นผู่ใหญ่ได้แบบนี้ มันเป็นการสอนให้เขาเรียนรู้หลายๆอย่างเมื่ออยู่กับท่าน ไม่ว่าจะเป็นวัตรปฏิบัติ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่พึงมี และความอ่อนน้อมถ่อมตนที่เขาต้องพึงปฏิบัติให้ขึ้นใจ เพราะการเข้ามาอยู่ในจุดนี้เขาต้องเข้าหาพระเถระชั้นผู้ใหญ่แทบทุกวัน หรือแม้แต่หลักการเขียนหนังสือที่หลวงพ่อพระครูฯท่านถ่ายทอดเป็นเชิงบอกกล่าวอยู่เป็นบางครั้ง นี่คือสิ่งที่เขาได้รับและสามเณรตัวน้อยก็พร้อมยินดีรับและปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ...







... เสียงระฆังยามเช้าตรู่ของวัดอุดมคีรีเขตดังขึ้นเป็นจังหวะ ปลุกกระตุ้นให้เหล่าพุทธศาสนิกชนผู้ใจบุญให้เตรียมความพร้อมในการประกอบสิ่งอันเป็นกุศลก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ทำกิจวัตรส่วนตัวของตนต่อไป เช้านี้ป้าไหมมอบหน้าที่ให้สายใยลูกสาวคนสวยทำหน้าที่แทนในการใส่บาตร


" แม่เลาออกไปเก็บมอญอยู่บ้านโคกหินแตกกับหมู่อาเพินตั้งแต่เซ้าๆแล้ว เลยบ่ได้อยู่ใส่บาตรน้องเณร " สายใยพี่สาวคนสวยบอกสามเณรตัวน้อยพร้อมกับมีรอยยิ้มให้เห็น


" ครับโยมเอื้อย " เป็นคำตอบรับที่สั้นและได้ใจความ แม้จะเข้ามาอยู่ในสมณะเพศนานถึงสองปีกว่าแล้วแต่อาการแบบนี้ก้อยังมีไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเจอกับพี่สาวของเขา พลางนึกไปถึงผู้เป็นมารดาที่มีความอดทนความขยันเป็นเลิศที่ต้องฝ่าอากาศอันแสนเหน็บหนาวออกไปตั้งแต่เช้า แต่ก่อนในทุกๆเช้าแม่จะต้องนั่งขลุกตัวอยู่ในมุ้งผ้าเขียวที่ข้างในถูกทำเป็นชั้นๆเกือบ15ชั้นไว้สำหรับสอดเจ้ากระด้งเข้าไป หรือแม้แต่เวลากลางคืนแม่ก็ยังนั่งแช่อยู่กับจุดนี้ คอยประคบประหงมกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างในคอยดูแลเหมือนกับลูกน้อยเลยทีเดียว เพราะสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะแปรเปลี่ยนเป็นเส้นสายสีทองเหลืองอร่าม และนี่คือรายได้หลักอีกทางที่ช่วยหล่อเลี้ยงจุนเจือครอบครัวมาได้จนทุกวันนี้...


....แสงแดดยามสายช่วยคลายความเหน็บหนาวให้กับสิ่งรอบกายลงได้บ้าง สายลมยังโชยหอบเอาความเย็นเข้ามาปะทะอยู่เป็นระลอกๆ


" หล่าเอ๊ย..น้อยเอ๊ย..น้อย.. ไปไสน้อ.." เสียงหลวงพ่อพระครูฯร้องเรียกสามเณรไผ่ศธรอยู่ภายในห้อง ทำให้สามเณรตัวน้อยต้องผละวิ่งออกไปจากสามเณรวีระจักรเพื่อนรักทันทีตรงเข้าไปยังห้องเจ้าของเสียงที่ดังขึ้นเมื่อกี๊ ..

" แม่นหยั๋งครับพ่อ " เอ่ยถามหลวงพ่อพระครูฯที่ตอนนี้สามเณรตัวน้อยเคารพรักเสมือนพ่อของเขาเลยทีเดียว

" มื้อนี้พ่อบ่ได้มีงานไปไส ...บักหล่าพาหมู่เขาไปทำความสะอาดโบสถ์แนเด้อ มื้อวานพ่อย่างไปเห็นพวกนกพิราบมันขี่ใส่ไว้เต็มพื้นโบสถ์เอาโล้ด พาหมู่เขาหาน้ำไปล้างออกแนไป๋บ่ได้ล้างทำความสะอาดโดนแล้ว.." เสียงท่านบอกกล่าวแล้วหันไปให้ความสนใจกับหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ

" ครับพ่อ " รับคำแล้วผละออกไปจากจุดนั้น








.......ครึ่งชั่วโมงผ่านไป.......

......สายยางฉีดน้ำถูกต่อและลากเข้าไปในบริเวณพระอุโบสถโดยขณะนี้มีสามเณรตัวน้อย4รูปกำลังส่งเสียงร้องสนุกสนานพร้อมกับขัดเจ้าสิ่งปฏิกูลน่าเกลียดจากอาคันตุกะที่เข้ามาใช้ที่พำนักอาศัยก่อสร้างครอบครัวอยู่ในบริเวณพระอุโบสถแห่งนี้แบบถาวร มองให้เห็นเกือบ30ครอบครัวหลังจากประเมิณด้วยสายตาแบบคร่าวๆ แถมเจ้าอาคันตุกะพวกนี้ยังยัดเยียดความสกปรกให้กับสถานที่แห่งนี้แบบไม่เกรงใจเจ้าของสถานที่ กว่าจะใช้เวลาจัดการเสร็จก็กินเวลาไปนานทีเดียว...

" เฮาว่าแม่นเฮาล้างถูออกได้กะบ่เกินอาทิตย์ดอก มันต้องขี่ใส่อีกคือเก่าเดี๋ยวกะต้องได้ล้างอีก เอาแบบซี้ดีกว่า..." เสียงสามเณรวีระจักรดังขึ้นพร้อมกับทอดสายตาขึ้นไปยังข้างบนที่ตอนนี้ มองเห็นรังของเจ้าพิราบอยู่เป็นจุดๆ ใบหน้ายิ้มออกมาแบบมีเลศนัย..

" โตสิเฮ็ดหยั๋งเพิน " สามเณรตัวน้อยถามเพื่อนรักและสงสัยในอากัปกิริยาของเพื่อน

" เดี๋ยวเฮาจัดการเอง โตอยู่ซือๆโล้ด " บอกยิ้มๆ และไม่พูดเปล่าร่างของเขาก็ปีนป่ายขึ้นไปยืนอยู่บนริมขอบของหน้าต่างพระอุโบสถที่ยกตัวสูงขึ้นจากพื้นมากพอสมควร เสมือนกับว่าเป็นผู้ชำนาญการที่ถูกฝึกฝนมาเป็นพิเศษทางด้านการปีนป่ายมาโดยเฉพาะ ไม่ถึงอึดใจรังของเจ้าพิราบถูกจับโยนลงมายังเบื้องล่างโดยหารู้ไม่ว่าข้างในนั้นมีสิ่งที่มีชีวิตอยู่ด้วย ลูกนกน้อยพึ่งคลอดออกมาใหม่ตัวสิแดงหลุดออกมาจากรังพร้อมกับหล่นลงมากระแทกพื้นนอนตายอยู่เบื้องล่างเกือบนับสิบตัว รวมไปถึงไข่อีกหลายฟองที่แตกละเอียดแบบไม่มีชิ้นดีหลังจากกระแทกเข้ากับพื้นปูนซีเมนต์เบื้องล่าง ยังผลให้สามเณรไผ่ศธรถึงกับร้องตะโกนบอกเพื่อนรักทันที…

“ เพินจักร…หยุดก่อน… “ เสียงร้องดังก้องพร้อมกับใบหน้าถอดสีเมื่อมองเห็นสภาพของลูกนกที่นอนตายเกลื่อนอยู่ตรงหน้าของเขาในขณะนี้...

>>>>>>>>>>>>>>>>>>><<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<< ...คำนำ.... ......บทละครต่อไปนี้ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะชักนำไปในทางที่ไม่สมควรหรือเสื่อมเสีย และไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝง เป็นจินตนาการที่เกิดจากตัวคนเขียนเอง หากสิ่งใดไม่สมควรผู้เขียนขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย จุดประสงค์ของผู้เขียนต้องการสื่อให้ผู้อ่านเกิดความบันเทิงเท่านั้นครับ วิบากกรรมนั้นแม้ตัดไม่ได้ แต่ทำให้เบาบางลงได้ พระพุทธองค์เรียกว่า "การก้าวล่วงบาปกรรม" จริงๆ การก้าวล่วงบาปกรรมนั้น ก็คือการสำนึกบาปอย่างจริงใจนั่นเอง แล้วตั้งใจมั่นว่า จะไม่ทำบาปกรรมเข่นนั้นอีก สิ่งนี้เป็นการขจัดมลทินแห่งอกุศลออกไปจากจิต(ใต้สำนึก) ทำให้กรรมดำกลายเป็นกรรมขาว พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะนำให้ก้าวล่วงออกจากกรรมเสีย โดยการกำหนดอธิษฐานจิต ตั้งใจมั่นว่า " กรรมนั้นๆเป็นสิ่งไม่สมควร ต่อไปนี้ตลอดไปนิรันดร เราจะไม่กระทำกรรมนั้นอีกเป็นอันขาด "




" กรุงเทพมหานคร "

..... เมืองที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย เป็นเมืองที่เรียกว่าสังคมแห่งการแข่งขันในทุกๆด้านเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงธุรกิจหรือสิ่งต่างๆ บนถนนทุกสายเต็มไปด้วยรถที่เบียดกันวิ่งขวักไขว่ราวกับมด โรงงาน ห้างสรรพสินค้า (ที่ส่วนมากนายทุนจากต่างชาติจะเข้ามาถือหุ้นครอบครอง) มหาวิทยาลัยถูกสร้างขึ้นกระจายตามเขตต่างๆเพื่อที่จะรองรับผู้คน ร้านอาหาร ผับ บาร์ ตึกรามบ้านช่องและสิ่งก่อสร้างต่างๆผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกในทุกๆด้านมีให้เห็นอยู่ในเมืองแห่งนี้ได้แทบทุกจุด จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมผู้คนมากมายต่างมุ่งตรงเข้ามาจากทุกภาค ( โดยเฉพาะภาคอีสาน ซึ่งถือว่าเป็นแรงงานที่มีความขยันเป็นเลิศ ) จุดมุ่งหมายของทุกๆคนก็คงจะเป็นคำตอบเดียวกันหรือถ้าไม่ใช่ก็น่าจะไกล้เคียง นั่นก็คือเข้ามาสร้างตัวสร้างอนาคตของตัวเองและต่างก็หวังอยู่ลึกๆว่า เมื่อสมควรแก่กาลเวลาและความเป็นไปได้ก็คงนำส่วนที่เก็บได้นี้กลับไปสร้างอนาคตของตัวเองยังบ้านเกิดเมืองนอน มีหลายคนที่พบกับความรักในเมืองหลวงแห่งนี้และมีหลายคู่ที่ตกลงปลงใจร่วมสร้างอนาคตร่วมกัน บางคนโชคดีหน่อยทำมาหากินถูกทางก็สามารถถีบตัวเองขึ้นเป็นเจ้าของธุรกิจเองเสียเลย ซึ่งมีให้เห็นอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ และนี่คงเป็นความต้องการและความฝันของใครหลายๆที่จะก้าวย่างขึ้นมายืนอยู่ตรงจุดนี้ให้จงได้

....เมื่อเป็นสังคมที่ใหญ่และเป็นสังคมแห่งการแข่งขันสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นก็คือ ปัญหาสิ่งต่างๆที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติดที่ทะลักเข้ามายังตะเข็บชายแดนเพื่อมุ่งตรงนำเข้ามาเมืองหลวงแห่งนี้ ปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่างๆที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นมาในรูปแบบต่างๆจนน่ากลัว นี่คือปัญหาใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ และมันเป็นสิ่งที่ทำให้คนที่บริสุทธิ์ที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ต้องผวาอยู่เนืองๆ เพราะมีบางครั้งที่พวกเขาต้องเจอกับสิ่งพวกนี้โดยที่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้สัมผัสกับมัน
.....แล้วคุณหล่ะ???.... " ระวังจะเจอเข้ากับมันโดยที่คุณยังไม่ทันตั้งตัว " ......

เวลา 21.20 น.

.... เบนซ์สีดำคันงามเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวเข้าไปจอดยังสถานที่แห่งหนึ่ง
" ไอค่อนสกาย ไนท์คลับ " ป้ายตัวใหญ่ที่ถูกไฟสว่างส่องให้เห็นเด่นชัด ดึงดูดสายตาของผู้คนที่สัญจรเดินผ่านไปผ่านมา หรือนักเที่ยวยามราตรีให้ต้องหยุดมองและอยากเข้ามาสัมผัส สถานที่แห่งนี้คือสถานที่เที่ยวของคนกลางคืนในเขตย่านคลองตัน ข้างในถูกปิดกั้นด้วยกระจกติดฟิมล์กรองแสงจนมืดมิด ตรงประตูทางเข้านั้นถูกปรับใช้ไฟให้มองเห็นพอสลัวๆตอนนี้มีร่างของหญิงสาว3คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวสูงโปรยยิ้มส่งสายตาดึงดูดนักเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมาได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าดูตามความเป็นไปได้แล้ว " รอยยิ้ม" คงจะเป็นแค่ส่วนประกอบให้คนที่พบเห็นได้เพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง แต่จุดใหญ่ที่ดึงดูดสายตาผู้คนได้ดีคงเป็นเพราะกระโปรงของพวกเธอที่สวมใส่อยู่มันสั้นจนน่าใจหายเล่นเอาคนที่เดินผ่านมาพบเห็นต้องหยุดหายใจ คอแห้งผากหิวน้ำขึ้นมาในทันทีทันใด แสงไฟพอสลัวส่องให้เห็นเรียวขาที่ขาวเนียนได้ส่วนสัดอัดแน่นไปด้วยหนั่นเนื้อจนกระโปรงขนาดเล็กที่พวกเธอสวมใส่อยู่แทบปริออกมา พวกเธอหยุดให้ความสนใจกับหน้าร้านไปชั่วขณะเมื่อเบ็นซ์คันงามที่พึ่งวิ่งเข้ามาเมื่อกี๊จอดนิ่งสนิทแล้ว สายตาของพวกเธอหันมาให้ความสนใจกับบรุษเจ้าของเบ็นซ์สีดำคันงามคันนี้แทน ประตูซ้ายด้านหน้าถูกเปิดออกโดยมีร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งกระวีกระวาดลงมาจากรถพร้อมกับเดินมาเปิดประตูซ้ายด้านหลังออก ร่างของชายหนุ่มใส่เสื้อยืดสีดำกางเกงยีนส์ก้าวลงออกมาจากรถในทันใด แสงไฟจากหน้าร้านส่องให้เห็นใบหน้าที่คมเข้ม รูปร่างกำยำหน้าเกรงขามสามารถเรียกบรรดาสาวๆให้ชะงักหยุดมองได้ดีทีเดียว

" เสี่ยสิกินหยั๋งครับมื้อนี่ เดี๋ยวผมสิสั่งเด็กน้อยจัดมาให่ " เด็กหนุ่มผู้มีนามว่า " ตั้ม เมืองศรี " คนสนิทที่เปรียบเสมือนมือขวาถามลูกพี่แบบรู้หน้าที่

" เอาแบบเก่ามากะได้ตั้ม แต่เพิ่มยำเข่ามาให่อีกเมนูหนึ่งกะพอแล้ว " เสี่ยณรงค์ฤทธิ์ หรือเสี่ยหน่อที่ลูกน้องชอบเรียกหันไปสั่งคนสนิทแบบเป็นกันเองพร้อมกับก้าวเดินเข้าไปยังหน้าร้านที่ตอนนี้สามสาวกำลังลุกขึ้นส่งยิ้มหวานรอแบบเอาอกเอาใจ เพราะบุรุษหนุ่มคนนี้คือผู้ที่มอบโอกาสให้แก่พวกเธอได้มีกินมีใช้ในทุกๆเดือนโดยไม่ขัดสน

" เสี่ยหน่อเพินกินหยั๋งแนว๊ะมื้อนี้ " หนุ่มร่างเล็กผู้ทำหน้าที่พลขับเบ็นซ์คันหรูและเปรียบเสมือนสมุนมือซ้ายของเสี่ยณรงค์ฤทธิ์เอ่ยถามเพื่อนสนิทที่กำลังมองตามหลังลูกพี่ไปซึ่งตอนนี้3สาวที่นั่งอยู่ประตูทางเข้าเดินออกมาเกาะแขนเอาใจใส่แบบรู้หน้าที่ของตัวเอง

" แบบเก่าว๊ะดุ่ย!! เพิ่มยำเข่ามาอีกอย่างนึง เดี๋ยวโตไปบอกอรกับดาหลาไปนั่งนำเสี่ยเพินเด้อ เฮาสิเข่าไปบอกเด็กน้อยในครัวเอง" ตั้ม เมืองศรี บอกเพื่อนรักแบบรู้ใจนายใหญ่ของตัวเอง…….


….. “ ไอค่อนสกาย ไนท์คลับ “ คือกิจการของณรงค์ฤทธิ์ เสี่ยหนุ่มผู้มาดมั่นด้วยหัวใจเต็มร้อยแห่งการบุกเบิกสร้างตัวเอง เขาเติบโตมาจากสายเลือดอีสานดินแดนแห่งทุ่งกุลาร้องไห้ พื้นฐานของณรงค์ฤทธิ์ดูจะมีความสดใสมาตั้งแต่เด็กเนื่องด้วยกิจการฐานะทางบ้านปูทางไว้ให้ก่อนแล้ว ที่จังหวัดร้อยเอ็ดณรงค์ฤทธิ์มีกิจการเป็นของตัวเองคือเปิดเป็นโรงสีไฟใหญ่และเปิดรับซื้อขาวเปลือกซึ่งแต่ละปีเขามีกำไรอยู่มากโขทีเดียว โดยมอบให้น้องชายคนเล็กเขาเป็นผู้ดูแลแทน ซึ่งนานๆครั้งถึงจะกลับไปดูที เมื่อ2ปีที่ผ่านมาเสี่ยหนุ่มผันตัวเองจากธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรหันมาทำธุรกิจด้านบริการแทนซึ่งนับว่าเขาจะจับถูกด้านเสียด้วยเมื่อเขาหันมาเปิดไนต์คลับในเมืองหลวงแทนโดยที่ตัวเขาเข้ามาควบคุมด้วยตัวเอง ไนท์คลับแห่งนี้คือ แหล่งรองรับนักท่องเที่ยวนักดื่มผู้ที่มิยอมหลับไหลยามราตรี และดูจะสร้างกำไรให้เขาเป็นกอบเป็นกำทีเดียว ณรงค์ฤทธิ์มีเด็กสาวในความดูแลถึง15คน ซึ่งแต่ละคนล้วนหน้าตาสวยๆทั้งนั้น แต่ละคืนไนท์คลับแห่งสร้างเม็ดเงินเข้ากระเป๋าของเสี่ยหนุ่มได้มากมาย จนตัวเขาเองต้องนำเม็ดเงินเข้าไปลงทุนเปิดเป็นร้านอาหารอีสานอีกแห่งในเขตบางกะปิ เปิดให้บริการในช่วงหนึ่งทุ่มไปจนถึงตีสองทุกวัน โดยแต่ละคืนมีนักร้องหนุ่มสาวผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นเวทีขับกล่อมให้บริการสร้างความสำราญใจให้แก่ลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการอยู่ทุกค่ำคืน แต่มีสิ่งหนึ่งที่สร้างเม็ดเงินให้แก่เสี่ยหนุ่มอย่างมากมายมหาศาลนั่นก็คือ …” ยาเสพติด “ …นั่นเอง



ตั้ม เมืองศรี และ ดุ่ย แดนผาขาว สองเด็กหนุ่มลูกอีสานที่มาจากต่างถิ่นโดยจุดหมายของพวกเขาคือสิ่งเดียวกันนั่นก็คือ ถีบตัวเองให้พ้นจากความแร้นแค้นโดยมีผู้ที่ฝากความหวังไว้กับพวกเขาหลายชีวิตด้วยกัน อำนาจของเงินตรานำพาให้ชีวิตของพวกเขาทั้ง2คนต้องโคจรมาพบกันโดยบังเอิญ “ ตั้ม “ เด็กหนุ่มจากจังหวัดศรีสะเกษ หน้าตาคมคายผู้มีความดุดัน ใจถึงและทุ่มเทความภักดิ์ดีให้กับเสี่ยหน่อ วีรกรรมที่ผกผันชีวิตให้เขาต้องขึ้นมาเป็นมือขวาของเสี่ยหนุ่มก็คือการคว่ำลูกสมุนที่เสี่ยหนุ่มมอบหมายหน้าที่ให้คุมไนท์คลับแห่งนี้ลงไปนอนนิ่งถึง5คนภายในไม่ถึงสองนาที หลังจากที่ตัวเขาเองเข้ามาเที่ยวสถานที่แห่งนี้แล้วเกิดไม่พอใจที่หญิงสาวคนหนึ่งไม่ยอมทำตามใจของเขา จนผู้ที่ดูแลต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยแต่กลับไม่สำฤทธิ์ผล เมื่อโดน ตั้ม เมืองศรี อัดลงไปกองอยู่กับพื้นในพริบตาและมันก็สร้างความพึงพอใจให้กับเสี่ยหนุ่มเป็นอย่างมาก ตั้ม เมืองศรี ถูกเสี่ยหนุ่มดึงตัวเข้ามาพร้อมกับการแลกเปลี่ยนเป็นเม็ดเงินหลายเท่ากว่าที่ตัวเขาได้รับในแต่ละเดือนเลยทีเดียว ส่วน " ดุ่ย แดนผาขาว" คือเด็กหนุ่มจากจังหวัดเลย ผู้มีบุคลิคอ่อนโยนแต่แกร่งในสภาวะคับขัน เขาเป็นนักดนตรีฝีมือเยี่ยมจากร้านอาหารอีสานเขตบางกะปิที่ทางเสี่ยหนุ่มเป็นเจ้าของกิจการอยู่ แล้วก็ดึงตัวมาเป็นพลขับให้โดยบังเอิญ หลังจากที่คนขับคนก่อนนั้นหายตัวสาบสูญไปแบบไร้ร่องรอย โดยที่เสี่ยหนุ่มเข้าใจว่าคนขับรถของเขาคนก่อนคงโดนคู่อริ( คู่แข่งทางธุรกิจ) อุ้มตัวไปรีดข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของเขา ดุ่ย แดนผาขาว เปรียบเสมือนมือซ้ายของเสี่ยหนุ่มที่เขาให้ความไว้เนื้อเชื่อใจไปไม่ต่างจากตั้ม เมืองศรีเลย เพราะเมื่อสองคนนี้ได้ทำงานร่วมกันทีไร บรรดาคู่ต่อกรต้องขยาดกันเป็นแถว……

พวกคุณจงระวังพวกเขาสองคนกันให้ดี…..

นิยาย กรรมลิขิต 9


กรรมลิขิต


ตอน ชะตาชีวิตหรือชะตาฟ้าลิขิต 1


..โบราณเคยว่าไว้ ...แข่งเรือแข่งฝีพายนั้นแข่งกันได้แต่แข่งโชคแข่งวาสนานั้นยากนักที่จะทำได้... (นี่คือสัจจะธรรมแห่งชีวิต) ชีวิตทุกชีวิตที่เกิดมานั้นแต่ละคนประกอบไปด้วยจิตวิณญาณ ความรู้สึกนึกคิดแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าใครประกอบหรือกระทำอะไรไว้ในอดีตชาติกาลก่อน แล้วผลในอดีตชาติจะเป็นตัวกำหนดปรุงแต่งรูปร่างและจิตใจให้บังเกิดปฏิพัทธ์มาเสวยวิบากในปัจจุบันชาตินี้.. ชะตาชีวิต-ฟ้าลิขิต เสมือนกับชีวิตถูกกำหนดอย่างมีกฏเกณฑ์ "กรรม" คือการกระทำที่ส่งผลให้กับตัวเราแบบเต็มๆและอย่าลืมว่ากรรมนั้นรวมปัจจุบันกาลไปด้วย ฉะนั้นควรทำปัจจุบันให้ดีที่สุดไม่ใช่หรือ?.

..ชะตาชีวิต...(ฟ้าลิขิต).. ขึ้นอยู่ที่ตัวเรา เราเป็นผู้กำหนดแห่งการกระทำ..แล้วคุณหล่ะเลือกที่จะกระทำกรรมในรูปแบบไหนดี?.










... แสงสุรีย์ลาลับขอบฟ้ามองเห็นแสงสีทองอร่ามวางขนานนาบกับขอบพื้นพสุธาอยู่ลิบลับ เหล่าฝูงสกุณากลุ่มใหญ่ร่อนถลาโล้โลมเล่นสายลมขณะบินกลับรังของมันคล้ายกับว่าจะพิสูจน์ความแกร่งของปีกเสมือนกับว่าชายหนุ่มกำลังเบ่งพลังความมาดแมนกำยำของสรีระร่างกายอันผึ่งผายเปล่งประกายชวนให้ดรุณีนางต้องชะม้ายชายตามองแบบไม่กระพริบสายตา

...วิ๊ววว...วิ๊ววว..วิ๊ววว.. เสียงสายลมพัดปะทะเข้ากับกิ่งสนกลุ่มใหญ่ที่ยืนต้นเรียงรายกันอยู่เป็นกลุ่ม จนเกิดเป็นเสียงดังชวนให้ขนลุก แม้ว่าใบของมันจะร่วงหล่นลงไปกองอยู่กับพื้นดินข้างล่างเสียส่วนมากแล้วก็ตามแต่เนื่องด้วยสายลมที่พัดด้วยความรุนแรงเข้าปะทะกับกิ่งที่ตั้งตัวตรงที่แผ่ขยายอยู่ทั่วลำต้นแบบเต็มๆก็จึงบังเกิดเสียงดังขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้


..ฤดูอันหนาวเหน็บแห่งผืนดินแถบอีสานดูจะเป็นฤดูกาลที่เลวร้ายมาก และคงทำให้ใครหลายคนเกลียดความหนาวเหน็บนี้เข้ากระดูกดำไปเลยโดยเฉพาะครอบครัวที่ไม่มีอันจะกิน เพราะเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูจะขาดซ่อมซ่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นับประสาอะไรจะหวังกับผ้าห่มผืนใหญ่ๆหนาๆปกปิดกายาให้สร่างซาจากความหนาวลงไปได้ ทางออกที่ดีที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นประกายความอบอุ่นแห่งเปลวเพลิงที่ชาวบ้านหนองนางามแห่งนี้กำลังก่อเกิดให้เห็นแสงประกายขึ้นอยู่เป็นจุดๆในตอนนี้.....

" ตั้งแต่ลูกเณรเพินเข่าไปเรียนอยู่วัดมิ่ง (เมืองพล) แล้วข่อยกะสบายใจขึ่นหลายคักอยู่เด๊ะเฒ่า ลูกเณรเพินคือสิวาสนาดีคือจั่งหลวงพ่อพระครูฯเพินเบิ่งดวงให่แท้ๆ " เสียงทิดจวนพ่อของสามเณรขวัญชัยเอ่ยกับเมียรักขณะที่นั่งเฝ้ากองไฟอยู่ลานหน้าบ้าน พร้อมใช้มือจับกระบอกข้าวหลามพลิกหมุนให้โดนความร้อนอย่างทั่วถึง และตอนนี้รู้สึกว่าจะส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ

" กะสิคือก็หมู่เขาอยู่ดอกตี๊ข่อยว่า บ่จั่งซั่นหลวงพ่อพระครูเพินคือสิบ่ส่งไปก่อนหมู่ดอกเนาะ เณรไผ่กับเณรจักรเพินกะยังบ่ส่งไป แต่เพินส่งลูกซายเฮาแสดงว่าเพินสิเห็นอีหยั๋งดีๆในโตลูกซายเฮาแท้ๆ " ป้าแต๋วเอ่ยกับสามีพร้อมกับยิ้มเป็นประกายสายตาแสดงออกถึงความสุขใจอยู่ลึกๆเมื่อนึกถึงลูกชาย


..หลังจากที่สหายรักทั้ง3 ได้บรรพชาเข้ามาอยู่ในความดูแลของหลวงพ่อพระครูอุดมรัตนคุณ เจ้าคณะตำบลหนองนางามและเจ้าอาวาสวัดอุดมคีรีเขต. เพียงแค่ระยะเวลาสองปีก็มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีมากๆสำหรับสามเณรขวัญชัย เพราะทางหลวงพ่อพ่อครูฯท่านเล็งเห็นถึงความสามารถฉลาดหลักแหลมท่านเลยได้ส่งเข้าไปศึกษาต่อยังวัดมิ่งวราราม ที่อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น โดยท่านพระครูประสิทธิ์ญานุรักษ์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสและเป็นเพื่อนกับท่านให้ความอุปการะซึ่งวัดแห่งนี้เปิดสอนธรรมควบคู่ไปกับบาลีด้วย โดยสามเณรขวัญชัยได้พักอยู่กับพระมหาธีระเทพ (เปรียญธรรม 5ประโยค) ลูกศิษย์สายพระครูอุดมรัตนคุณนั่นเอง

ส่วนทางด้านสามเณรไผ่ศธรนั้นเมื่อเข้าปีที่2หลังจากสอบนักธรรมชั้นโทผ่านพ้นไปแล้วทางหลวงพ่อพระครูอุดมฯก็ดึงตัวเข้ามาเป็นสามเณรอุปัฏฐากก้นกุฏิ ที่มีหน้าที่ต้องคอยดูแลปรนนิบัติรับใช้ท่านอย่างไกล้ชิด ซึ่งก็นับเป็นผลดีกับตัวเขาเป็นอย่างมาก เพราะหน้าที่เหล่านี้เป็นเสมือนการฝึกตนให้รู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การมีสัมมาคาระวะที่ความยึดถือให้ควบคู่ไปกับความอ่อนโยนภายในใจ และตัวเขาเองก็เฝ้ารอโอกาสและแอบหวังอยู่ลึกๆว่าสักวันท่านหลวงพ่อพระครูฯจะหยิบยื่นโอกาสให้เขาเหมือนกับที่สามเณรขวัญชัยเพื่อนรักได้รับจากท่านไปแล้วนั่นเอง






......เพื่อน....

คำๆนี้ยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำเสมอ ระยะทางของกาลเวลา นำพาสิ่งต่างให้เปลี่ยนแปลงไปตามกลไกลของวิบาก หนทางที่ก้าวย่างของแต่ละคนดูจะแตกต่างคนละเส้นทาง แต่คำว่าเพื่อนมิตรภาพสิ่งดีๆก็ยังคงมีไว้ในความทรงจำให้กันเสมอ ถึงแม้วันนี้หนทางแห่งอนาคตต้องทำให้สามเณรขวัญชัยต้องไกลห่างจากมิตรภาพออกไป แต่สามเณรไผ่ศธรก็ยังยิ้มอยู่ได้เพราะยังมีเพื่อนรักที่อยู่เคียงข้างกายอีกคนนั่นก็คือ..สามเณรวีระจักร เพื่อนรักของเขาอีกคนนั่นเอง...