จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 9


กรรมลิขิต


ตอน ชะตาชีวิตหรือชะตาฟ้าลิขิต 1


..โบราณเคยว่าไว้ ...แข่งเรือแข่งฝีพายนั้นแข่งกันได้แต่แข่งโชคแข่งวาสนานั้นยากนักที่จะทำได้... (นี่คือสัจจะธรรมแห่งชีวิต) ชีวิตทุกชีวิตที่เกิดมานั้นแต่ละคนประกอบไปด้วยจิตวิณญาณ ความรู้สึกนึกคิดแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าใครประกอบหรือกระทำอะไรไว้ในอดีตชาติกาลก่อน แล้วผลในอดีตชาติจะเป็นตัวกำหนดปรุงแต่งรูปร่างและจิตใจให้บังเกิดปฏิพัทธ์มาเสวยวิบากในปัจจุบันชาตินี้.. ชะตาชีวิต-ฟ้าลิขิต เสมือนกับชีวิตถูกกำหนดอย่างมีกฏเกณฑ์ "กรรม" คือการกระทำที่ส่งผลให้กับตัวเราแบบเต็มๆและอย่าลืมว่ากรรมนั้นรวมปัจจุบันกาลไปด้วย ฉะนั้นควรทำปัจจุบันให้ดีที่สุดไม่ใช่หรือ?.

..ชะตาชีวิต...(ฟ้าลิขิต).. ขึ้นอยู่ที่ตัวเรา เราเป็นผู้กำหนดแห่งการกระทำ..แล้วคุณหล่ะเลือกที่จะกระทำกรรมในรูปแบบไหนดี?.










... แสงสุรีย์ลาลับขอบฟ้ามองเห็นแสงสีทองอร่ามวางขนานนาบกับขอบพื้นพสุธาอยู่ลิบลับ เหล่าฝูงสกุณากลุ่มใหญ่ร่อนถลาโล้โลมเล่นสายลมขณะบินกลับรังของมันคล้ายกับว่าจะพิสูจน์ความแกร่งของปีกเสมือนกับว่าชายหนุ่มกำลังเบ่งพลังความมาดแมนกำยำของสรีระร่างกายอันผึ่งผายเปล่งประกายชวนให้ดรุณีนางต้องชะม้ายชายตามองแบบไม่กระพริบสายตา

...วิ๊ววว...วิ๊ววว..วิ๊ววว.. เสียงสายลมพัดปะทะเข้ากับกิ่งสนกลุ่มใหญ่ที่ยืนต้นเรียงรายกันอยู่เป็นกลุ่ม จนเกิดเป็นเสียงดังชวนให้ขนลุก แม้ว่าใบของมันจะร่วงหล่นลงไปกองอยู่กับพื้นดินข้างล่างเสียส่วนมากแล้วก็ตามแต่เนื่องด้วยสายลมที่พัดด้วยความรุนแรงเข้าปะทะกับกิ่งที่ตั้งตัวตรงที่แผ่ขยายอยู่ทั่วลำต้นแบบเต็มๆก็จึงบังเกิดเสียงดังขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้


..ฤดูอันหนาวเหน็บแห่งผืนดินแถบอีสานดูจะเป็นฤดูกาลที่เลวร้ายมาก และคงทำให้ใครหลายคนเกลียดความหนาวเหน็บนี้เข้ากระดูกดำไปเลยโดยเฉพาะครอบครัวที่ไม่มีอันจะกิน เพราะเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูจะขาดซ่อมซ่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นับประสาอะไรจะหวังกับผ้าห่มผืนใหญ่ๆหนาๆปกปิดกายาให้สร่างซาจากความหนาวลงไปได้ ทางออกที่ดีที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นประกายความอบอุ่นแห่งเปลวเพลิงที่ชาวบ้านหนองนางามแห่งนี้กำลังก่อเกิดให้เห็นแสงประกายขึ้นอยู่เป็นจุดๆในตอนนี้.....

" ตั้งแต่ลูกเณรเพินเข่าไปเรียนอยู่วัดมิ่ง (เมืองพล) แล้วข่อยกะสบายใจขึ่นหลายคักอยู่เด๊ะเฒ่า ลูกเณรเพินคือสิวาสนาดีคือจั่งหลวงพ่อพระครูฯเพินเบิ่งดวงให่แท้ๆ " เสียงทิดจวนพ่อของสามเณรขวัญชัยเอ่ยกับเมียรักขณะที่นั่งเฝ้ากองไฟอยู่ลานหน้าบ้าน พร้อมใช้มือจับกระบอกข้าวหลามพลิกหมุนให้โดนความร้อนอย่างทั่วถึง และตอนนี้รู้สึกว่าจะส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ

" กะสิคือก็หมู่เขาอยู่ดอกตี๊ข่อยว่า บ่จั่งซั่นหลวงพ่อพระครูเพินคือสิบ่ส่งไปก่อนหมู่ดอกเนาะ เณรไผ่กับเณรจักรเพินกะยังบ่ส่งไป แต่เพินส่งลูกซายเฮาแสดงว่าเพินสิเห็นอีหยั๋งดีๆในโตลูกซายเฮาแท้ๆ " ป้าแต๋วเอ่ยกับสามีพร้อมกับยิ้มเป็นประกายสายตาแสดงออกถึงความสุขใจอยู่ลึกๆเมื่อนึกถึงลูกชาย


..หลังจากที่สหายรักทั้ง3 ได้บรรพชาเข้ามาอยู่ในความดูแลของหลวงพ่อพระครูอุดมรัตนคุณ เจ้าคณะตำบลหนองนางามและเจ้าอาวาสวัดอุดมคีรีเขต. เพียงแค่ระยะเวลาสองปีก็มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีมากๆสำหรับสามเณรขวัญชัย เพราะทางหลวงพ่อพ่อครูฯท่านเล็งเห็นถึงความสามารถฉลาดหลักแหลมท่านเลยได้ส่งเข้าไปศึกษาต่อยังวัดมิ่งวราราม ที่อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น โดยท่านพระครูประสิทธิ์ญานุรักษ์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสและเป็นเพื่อนกับท่านให้ความอุปการะซึ่งวัดแห่งนี้เปิดสอนธรรมควบคู่ไปกับบาลีด้วย โดยสามเณรขวัญชัยได้พักอยู่กับพระมหาธีระเทพ (เปรียญธรรม 5ประโยค) ลูกศิษย์สายพระครูอุดมรัตนคุณนั่นเอง

ส่วนทางด้านสามเณรไผ่ศธรนั้นเมื่อเข้าปีที่2หลังจากสอบนักธรรมชั้นโทผ่านพ้นไปแล้วทางหลวงพ่อพระครูอุดมฯก็ดึงตัวเข้ามาเป็นสามเณรอุปัฏฐากก้นกุฏิ ที่มีหน้าที่ต้องคอยดูแลปรนนิบัติรับใช้ท่านอย่างไกล้ชิด ซึ่งก็นับเป็นผลดีกับตัวเขาเป็นอย่างมาก เพราะหน้าที่เหล่านี้เป็นเสมือนการฝึกตนให้รู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การมีสัมมาคาระวะที่ความยึดถือให้ควบคู่ไปกับความอ่อนโยนภายในใจ และตัวเขาเองก็เฝ้ารอโอกาสและแอบหวังอยู่ลึกๆว่าสักวันท่านหลวงพ่อพระครูฯจะหยิบยื่นโอกาสให้เขาเหมือนกับที่สามเณรขวัญชัยเพื่อนรักได้รับจากท่านไปแล้วนั่นเอง






......เพื่อน....

คำๆนี้ยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำเสมอ ระยะทางของกาลเวลา นำพาสิ่งต่างให้เปลี่ยนแปลงไปตามกลไกลของวิบาก หนทางที่ก้าวย่างของแต่ละคนดูจะแตกต่างคนละเส้นทาง แต่คำว่าเพื่อนมิตรภาพสิ่งดีๆก็ยังคงมีไว้ในความทรงจำให้กันเสมอ ถึงแม้วันนี้หนทางแห่งอนาคตต้องทำให้สามเณรขวัญชัยต้องไกลห่างจากมิตรภาพออกไป แต่สามเณรไผ่ศธรก็ยังยิ้มอยู่ได้เพราะยังมีเพื่อนรักที่อยู่เคียงข้างกายอีกคนนั่นก็คือ..สามเณรวีระจักร เพื่อนรักของเขาอีกคนนั่นเอง...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น