จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 10



กรรมลิขิต

ตอน เส้นทางแห่งวิบาก 1


วิถีเส้นทางเดินของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป ทุกๆสิ่งอย่างย่อมขึ้นอยู่การตัดสินใจในการที่จะเลือกทางเดินของเรา “ ใจ “ คือสิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นตัวแปรในการเลือก ผลการประกอบทุกสิ่งอย่างขึ้นอยู่ที่สภาวะของจิตใจ ความอยาก กิเลส ตัณหา เป็นตัวกระตุ้นให้เราต้องโหยหาและจำยอมรับมันเข้ามา แม้จะรู้ว่าผิดแต่เมื่อสภาวะทางจิตใจอ่อนไหวบวกกับความอ่อนแอก็ย่อมถูกชักนำให้เขวได้ ..ผลประกอบในทางที่เป็นกุศลกรรมนั้นอย่างแรกเราต้องปรับเปลี่ยนและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับจิตใจเป็นอันดับแรกก่อน เมื่อสภาพจิตใจเข้มแข็งก็เท่ากับสร้างภูมิคุ้มกันให้เป็นอย่างดี …. คุณผู้อ่านทุกๆท่าน มาเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันให้กับจิตใจไปพร้อมๆกับผู้เขียนกันดีกว่าครับ……


...เสียงไก่ขันส่ง-รับ กันต่อเนื่อง คล้ายกับว่านักวิ่งลมกรดทีมชาติไทยที่คอยวิ่งผลัดส่งไม้กันเป็นทอดๆ ในอีกไม่ช้าไม่นานแสงอรุณยามรุ่งสางก็จะโผล่ขึ้นมาให้เห็นแสงสีทองเหลืองอร่าม และมันยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่เช่นนี้เป็นประจำในทุกเช้า พร้อมกับปลุกสรรพสิ่งรอบกายให้ตื่นจากความหลับไหลเพื่อทำหน้าที่แห่งกลไกหน้าที่ที่รับมอบหมายให้ก้าวสู่เส้นทางเดินของแต่ละชีวิตที่แตกต่างกันออกไป นี่คือบทบาทชีวิตของแต่ละคนที่ต้องแสดงให้จบขึ้นอยู่กับว่าใครจะเลือกบทบาทและการแสดงไปในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง ความหนาวเหน็บยามเช้าดูจะมีมากเป็นสองเท่ายังผลให้สามเณรตัวน้อยต้องขดตัวเข้ากับจีวรผืนบางที่ใช้เป็นเครื่องประทังความหนาวได้เปลาะหนึ่ง ปีนี้รู้สึกว่าจะหนาวเย็นเป็นพิเศษเสียด้วยซ้ำบวกกับพื้นที่ของวัดอุดมคีรีเขตอยู่ไม่ห่างจากเทือกเขาภูเม็ง....เลยทำให้ความหนาวดูจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เสียงไก่ขันยังดังอยู่เป็นระยะๆทำให้สามเณรตัวน้อยต้องพยุงตัวขึ้นนั่งท่ามกลางความมืดที่ยังปกคลุมอยู่ภายในห้องพอสลัวๆ มองดูเพื่อนรักที่กำลังหลับใหลอยู่ข้างๆมีรอยยิ้มออกมาจากใบหน้าเล็กน้อย

" คือสิหนาวแฮงเน๊าะ เหล่นห่มจีวรตั้ง2ผืนเลย ลุกไปเอามาแต่ตอนได๋ว๊า.." พึมพำออกมา พร้อมกับพาตัวเองลุกขึ้นเดินตรงไปเปิดประตูห้องแต่ก็มิวายที่จะลืมคว้าผ้าจีวรผืนใหญ่ห่มตัวเพื่อคลายความเหน็บหนาว


...นี่คือกิจวัตรประจำวันของเขา ตั้งแต่หลวงพ่อพระครูฯดึงตัวเขาเข้ามาเป็นสามเณรอุปัฏฐากก้นกุฏิ มันทำให้เขาต้องตื่นแต่เช้าเป็นพิเศษกว่าใครทั้งหมด เริ่มตั้งแต่จัดแจงหุงข้าว (เพราะตัวหลวงพ่อพระครูฯท่านจะฉันข้าวเหนียวได้ไม่มากเนื่องจากมีผลกับโรคประจำตัวของท่าน และทางหมอก็ดูจะสั่งห้ามเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนมาฉันข้าวที่มีสารให้ความหวานน้อยลง) เมื่อออกมานอกห้องสายตาก็เจอเข้ากับหลวงพ่อพระครูฯ ท่านกำลังนั่งทำวัตรเช้าอยู่รูปเดียวเฉกเช่นทุกวัน แม้จะล่วงเลยออกพรรษามาแล้วแต่ท่านก็ยังเคร่งในวัตรปฏิบัติและทำอยู่มิได้ขาด ยังผลให้เกิดรอยยิ้มแก่สามเณรตัวน้อยขึ้นอีกครั้ง นี่คือแบบอย่างที่เขาเห็นแล้วต้องอดที่จะชื่นชมเป็นแบบอย่างไม่ได้ สามเณรไผ่ศธรละสายตาออกจากจุดนั้นและก้าวย่างไปในจุดที่ตัวเองต้องปฏิบัติเป็นอันดับแรก หม้อหุงข้าวถูกจัดการเรียบร้อยในเวลาไม่นานนัก มุ้ง ผ้าห่มที่นอน ในห้องของหลวงพ่อพระครูฯถูกเก็บเข้าที่ในเวลาต่อมาและสิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือกระโถน ที่เขาต้องนำไปเทแล้วก็ล้างทุกเช้าซึ่งแม้ภายในจะเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยโสภาเท่าไร แต่เขาก็กระทำด้วยความเต็มใจเป็นที่สุดพร้อมสุขใจอยู่ลึกๆที่เขามีโอกาสได้รับใช้พระเถระชั้นผู่ใหญ่ได้แบบนี้ มันเป็นการสอนให้เขาเรียนรู้หลายๆอย่างเมื่ออยู่กับท่าน ไม่ว่าจะเป็นวัตรปฏิบัติ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่พึงมี และความอ่อนน้อมถ่อมตนที่เขาต้องพึงปฏิบัติให้ขึ้นใจ เพราะการเข้ามาอยู่ในจุดนี้เขาต้องเข้าหาพระเถระชั้นผู้ใหญ่แทบทุกวัน หรือแม้แต่หลักการเขียนหนังสือที่หลวงพ่อพระครูฯท่านถ่ายทอดเป็นเชิงบอกกล่าวอยู่เป็นบางครั้ง นี่คือสิ่งที่เขาได้รับและสามเณรตัวน้อยก็พร้อมยินดีรับและปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ...







... เสียงระฆังยามเช้าตรู่ของวัดอุดมคีรีเขตดังขึ้นเป็นจังหวะ ปลุกกระตุ้นให้เหล่าพุทธศาสนิกชนผู้ใจบุญให้เตรียมความพร้อมในการประกอบสิ่งอันเป็นกุศลก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ทำกิจวัตรส่วนตัวของตนต่อไป เช้านี้ป้าไหมมอบหน้าที่ให้สายใยลูกสาวคนสวยทำหน้าที่แทนในการใส่บาตร


" แม่เลาออกไปเก็บมอญอยู่บ้านโคกหินแตกกับหมู่อาเพินตั้งแต่เซ้าๆแล้ว เลยบ่ได้อยู่ใส่บาตรน้องเณร " สายใยพี่สาวคนสวยบอกสามเณรตัวน้อยพร้อมกับมีรอยยิ้มให้เห็น


" ครับโยมเอื้อย " เป็นคำตอบรับที่สั้นและได้ใจความ แม้จะเข้ามาอยู่ในสมณะเพศนานถึงสองปีกว่าแล้วแต่อาการแบบนี้ก้อยังมีไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเจอกับพี่สาวของเขา พลางนึกไปถึงผู้เป็นมารดาที่มีความอดทนความขยันเป็นเลิศที่ต้องฝ่าอากาศอันแสนเหน็บหนาวออกไปตั้งแต่เช้า แต่ก่อนในทุกๆเช้าแม่จะต้องนั่งขลุกตัวอยู่ในมุ้งผ้าเขียวที่ข้างในถูกทำเป็นชั้นๆเกือบ15ชั้นไว้สำหรับสอดเจ้ากระด้งเข้าไป หรือแม้แต่เวลากลางคืนแม่ก็ยังนั่งแช่อยู่กับจุดนี้ คอยประคบประหงมกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างในคอยดูแลเหมือนกับลูกน้อยเลยทีเดียว เพราะสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะแปรเปลี่ยนเป็นเส้นสายสีทองเหลืองอร่าม และนี่คือรายได้หลักอีกทางที่ช่วยหล่อเลี้ยงจุนเจือครอบครัวมาได้จนทุกวันนี้...


....แสงแดดยามสายช่วยคลายความเหน็บหนาวให้กับสิ่งรอบกายลงได้บ้าง สายลมยังโชยหอบเอาความเย็นเข้ามาปะทะอยู่เป็นระลอกๆ


" หล่าเอ๊ย..น้อยเอ๊ย..น้อย.. ไปไสน้อ.." เสียงหลวงพ่อพระครูฯร้องเรียกสามเณรไผ่ศธรอยู่ภายในห้อง ทำให้สามเณรตัวน้อยต้องผละวิ่งออกไปจากสามเณรวีระจักรเพื่อนรักทันทีตรงเข้าไปยังห้องเจ้าของเสียงที่ดังขึ้นเมื่อกี๊ ..

" แม่นหยั๋งครับพ่อ " เอ่ยถามหลวงพ่อพระครูฯที่ตอนนี้สามเณรตัวน้อยเคารพรักเสมือนพ่อของเขาเลยทีเดียว

" มื้อนี้พ่อบ่ได้มีงานไปไส ...บักหล่าพาหมู่เขาไปทำความสะอาดโบสถ์แนเด้อ มื้อวานพ่อย่างไปเห็นพวกนกพิราบมันขี่ใส่ไว้เต็มพื้นโบสถ์เอาโล้ด พาหมู่เขาหาน้ำไปล้างออกแนไป๋บ่ได้ล้างทำความสะอาดโดนแล้ว.." เสียงท่านบอกกล่าวแล้วหันไปให้ความสนใจกับหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ

" ครับพ่อ " รับคำแล้วผละออกไปจากจุดนั้น








.......ครึ่งชั่วโมงผ่านไป.......

......สายยางฉีดน้ำถูกต่อและลากเข้าไปในบริเวณพระอุโบสถโดยขณะนี้มีสามเณรตัวน้อย4รูปกำลังส่งเสียงร้องสนุกสนานพร้อมกับขัดเจ้าสิ่งปฏิกูลน่าเกลียดจากอาคันตุกะที่เข้ามาใช้ที่พำนักอาศัยก่อสร้างครอบครัวอยู่ในบริเวณพระอุโบสถแห่งนี้แบบถาวร มองให้เห็นเกือบ30ครอบครัวหลังจากประเมิณด้วยสายตาแบบคร่าวๆ แถมเจ้าอาคันตุกะพวกนี้ยังยัดเยียดความสกปรกให้กับสถานที่แห่งนี้แบบไม่เกรงใจเจ้าของสถานที่ กว่าจะใช้เวลาจัดการเสร็จก็กินเวลาไปนานทีเดียว...

" เฮาว่าแม่นเฮาล้างถูออกได้กะบ่เกินอาทิตย์ดอก มันต้องขี่ใส่อีกคือเก่าเดี๋ยวกะต้องได้ล้างอีก เอาแบบซี้ดีกว่า..." เสียงสามเณรวีระจักรดังขึ้นพร้อมกับทอดสายตาขึ้นไปยังข้างบนที่ตอนนี้ มองเห็นรังของเจ้าพิราบอยู่เป็นจุดๆ ใบหน้ายิ้มออกมาแบบมีเลศนัย..

" โตสิเฮ็ดหยั๋งเพิน " สามเณรตัวน้อยถามเพื่อนรักและสงสัยในอากัปกิริยาของเพื่อน

" เดี๋ยวเฮาจัดการเอง โตอยู่ซือๆโล้ด " บอกยิ้มๆ และไม่พูดเปล่าร่างของเขาก็ปีนป่ายขึ้นไปยืนอยู่บนริมขอบของหน้าต่างพระอุโบสถที่ยกตัวสูงขึ้นจากพื้นมากพอสมควร เสมือนกับว่าเป็นผู้ชำนาญการที่ถูกฝึกฝนมาเป็นพิเศษทางด้านการปีนป่ายมาโดยเฉพาะ ไม่ถึงอึดใจรังของเจ้าพิราบถูกจับโยนลงมายังเบื้องล่างโดยหารู้ไม่ว่าข้างในนั้นมีสิ่งที่มีชีวิตอยู่ด้วย ลูกนกน้อยพึ่งคลอดออกมาใหม่ตัวสิแดงหลุดออกมาจากรังพร้อมกับหล่นลงมากระแทกพื้นนอนตายอยู่เบื้องล่างเกือบนับสิบตัว รวมไปถึงไข่อีกหลายฟองที่แตกละเอียดแบบไม่มีชิ้นดีหลังจากกระแทกเข้ากับพื้นปูนซีเมนต์เบื้องล่าง ยังผลให้สามเณรไผ่ศธรถึงกับร้องตะโกนบอกเพื่อนรักทันที…

“ เพินจักร…หยุดก่อน… “ เสียงร้องดังก้องพร้อมกับใบหน้าถอดสีเมื่อมองเห็นสภาพของลูกนกที่นอนตายเกลื่อนอยู่ตรงหน้าของเขาในขณะนี้...

>>>>>>>>>>>>>>>>>>><<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<< ...คำนำ.... ......บทละครต่อไปนี้ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะชักนำไปในทางที่ไม่สมควรหรือเสื่อมเสีย และไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝง เป็นจินตนาการที่เกิดจากตัวคนเขียนเอง หากสิ่งใดไม่สมควรผู้เขียนขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย จุดประสงค์ของผู้เขียนต้องการสื่อให้ผู้อ่านเกิดความบันเทิงเท่านั้นครับ วิบากกรรมนั้นแม้ตัดไม่ได้ แต่ทำให้เบาบางลงได้ พระพุทธองค์เรียกว่า "การก้าวล่วงบาปกรรม" จริงๆ การก้าวล่วงบาปกรรมนั้น ก็คือการสำนึกบาปอย่างจริงใจนั่นเอง แล้วตั้งใจมั่นว่า จะไม่ทำบาปกรรมเข่นนั้นอีก สิ่งนี้เป็นการขจัดมลทินแห่งอกุศลออกไปจากจิต(ใต้สำนึก) ทำให้กรรมดำกลายเป็นกรรมขาว พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะนำให้ก้าวล่วงออกจากกรรมเสีย โดยการกำหนดอธิษฐานจิต ตั้งใจมั่นว่า " กรรมนั้นๆเป็นสิ่งไม่สมควร ต่อไปนี้ตลอดไปนิรันดร เราจะไม่กระทำกรรมนั้นอีกเป็นอันขาด "




" กรุงเทพมหานคร "

..... เมืองที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย เป็นเมืองที่เรียกว่าสังคมแห่งการแข่งขันในทุกๆด้านเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงธุรกิจหรือสิ่งต่างๆ บนถนนทุกสายเต็มไปด้วยรถที่เบียดกันวิ่งขวักไขว่ราวกับมด โรงงาน ห้างสรรพสินค้า (ที่ส่วนมากนายทุนจากต่างชาติจะเข้ามาถือหุ้นครอบครอง) มหาวิทยาลัยถูกสร้างขึ้นกระจายตามเขตต่างๆเพื่อที่จะรองรับผู้คน ร้านอาหาร ผับ บาร์ ตึกรามบ้านช่องและสิ่งก่อสร้างต่างๆผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกในทุกๆด้านมีให้เห็นอยู่ในเมืองแห่งนี้ได้แทบทุกจุด จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมผู้คนมากมายต่างมุ่งตรงเข้ามาจากทุกภาค ( โดยเฉพาะภาคอีสาน ซึ่งถือว่าเป็นแรงงานที่มีความขยันเป็นเลิศ ) จุดมุ่งหมายของทุกๆคนก็คงจะเป็นคำตอบเดียวกันหรือถ้าไม่ใช่ก็น่าจะไกล้เคียง นั่นก็คือเข้ามาสร้างตัวสร้างอนาคตของตัวเองและต่างก็หวังอยู่ลึกๆว่า เมื่อสมควรแก่กาลเวลาและความเป็นไปได้ก็คงนำส่วนที่เก็บได้นี้กลับไปสร้างอนาคตของตัวเองยังบ้านเกิดเมืองนอน มีหลายคนที่พบกับความรักในเมืองหลวงแห่งนี้และมีหลายคู่ที่ตกลงปลงใจร่วมสร้างอนาคตร่วมกัน บางคนโชคดีหน่อยทำมาหากินถูกทางก็สามารถถีบตัวเองขึ้นเป็นเจ้าของธุรกิจเองเสียเลย ซึ่งมีให้เห็นอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ และนี่คงเป็นความต้องการและความฝันของใครหลายๆที่จะก้าวย่างขึ้นมายืนอยู่ตรงจุดนี้ให้จงได้

....เมื่อเป็นสังคมที่ใหญ่และเป็นสังคมแห่งการแข่งขันสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นก็คือ ปัญหาสิ่งต่างๆที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติดที่ทะลักเข้ามายังตะเข็บชายแดนเพื่อมุ่งตรงนำเข้ามาเมืองหลวงแห่งนี้ ปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่างๆที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นมาในรูปแบบต่างๆจนน่ากลัว นี่คือปัญหาใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ และมันเป็นสิ่งที่ทำให้คนที่บริสุทธิ์ที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ต้องผวาอยู่เนืองๆ เพราะมีบางครั้งที่พวกเขาต้องเจอกับสิ่งพวกนี้โดยที่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้สัมผัสกับมัน
.....แล้วคุณหล่ะ???.... " ระวังจะเจอเข้ากับมันโดยที่คุณยังไม่ทันตั้งตัว " ......

เวลา 21.20 น.

.... เบนซ์สีดำคันงามเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวเข้าไปจอดยังสถานที่แห่งหนึ่ง
" ไอค่อนสกาย ไนท์คลับ " ป้ายตัวใหญ่ที่ถูกไฟสว่างส่องให้เห็นเด่นชัด ดึงดูดสายตาของผู้คนที่สัญจรเดินผ่านไปผ่านมา หรือนักเที่ยวยามราตรีให้ต้องหยุดมองและอยากเข้ามาสัมผัส สถานที่แห่งนี้คือสถานที่เที่ยวของคนกลางคืนในเขตย่านคลองตัน ข้างในถูกปิดกั้นด้วยกระจกติดฟิมล์กรองแสงจนมืดมิด ตรงประตูทางเข้านั้นถูกปรับใช้ไฟให้มองเห็นพอสลัวๆตอนนี้มีร่างของหญิงสาว3คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวสูงโปรยยิ้มส่งสายตาดึงดูดนักเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมาได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าดูตามความเป็นไปได้แล้ว " รอยยิ้ม" คงจะเป็นแค่ส่วนประกอบให้คนที่พบเห็นได้เพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง แต่จุดใหญ่ที่ดึงดูดสายตาผู้คนได้ดีคงเป็นเพราะกระโปรงของพวกเธอที่สวมใส่อยู่มันสั้นจนน่าใจหายเล่นเอาคนที่เดินผ่านมาพบเห็นต้องหยุดหายใจ คอแห้งผากหิวน้ำขึ้นมาในทันทีทันใด แสงไฟพอสลัวส่องให้เห็นเรียวขาที่ขาวเนียนได้ส่วนสัดอัดแน่นไปด้วยหนั่นเนื้อจนกระโปรงขนาดเล็กที่พวกเธอสวมใส่อยู่แทบปริออกมา พวกเธอหยุดให้ความสนใจกับหน้าร้านไปชั่วขณะเมื่อเบ็นซ์คันงามที่พึ่งวิ่งเข้ามาเมื่อกี๊จอดนิ่งสนิทแล้ว สายตาของพวกเธอหันมาให้ความสนใจกับบรุษเจ้าของเบ็นซ์สีดำคันงามคันนี้แทน ประตูซ้ายด้านหน้าถูกเปิดออกโดยมีร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งกระวีกระวาดลงมาจากรถพร้อมกับเดินมาเปิดประตูซ้ายด้านหลังออก ร่างของชายหนุ่มใส่เสื้อยืดสีดำกางเกงยีนส์ก้าวลงออกมาจากรถในทันใด แสงไฟจากหน้าร้านส่องให้เห็นใบหน้าที่คมเข้ม รูปร่างกำยำหน้าเกรงขามสามารถเรียกบรรดาสาวๆให้ชะงักหยุดมองได้ดีทีเดียว

" เสี่ยสิกินหยั๋งครับมื้อนี่ เดี๋ยวผมสิสั่งเด็กน้อยจัดมาให่ " เด็กหนุ่มผู้มีนามว่า " ตั้ม เมืองศรี " คนสนิทที่เปรียบเสมือนมือขวาถามลูกพี่แบบรู้หน้าที่

" เอาแบบเก่ามากะได้ตั้ม แต่เพิ่มยำเข่ามาให่อีกเมนูหนึ่งกะพอแล้ว " เสี่ยณรงค์ฤทธิ์ หรือเสี่ยหน่อที่ลูกน้องชอบเรียกหันไปสั่งคนสนิทแบบเป็นกันเองพร้อมกับก้าวเดินเข้าไปยังหน้าร้านที่ตอนนี้สามสาวกำลังลุกขึ้นส่งยิ้มหวานรอแบบเอาอกเอาใจ เพราะบุรุษหนุ่มคนนี้คือผู้ที่มอบโอกาสให้แก่พวกเธอได้มีกินมีใช้ในทุกๆเดือนโดยไม่ขัดสน

" เสี่ยหน่อเพินกินหยั๋งแนว๊ะมื้อนี้ " หนุ่มร่างเล็กผู้ทำหน้าที่พลขับเบ็นซ์คันหรูและเปรียบเสมือนสมุนมือซ้ายของเสี่ยณรงค์ฤทธิ์เอ่ยถามเพื่อนสนิทที่กำลังมองตามหลังลูกพี่ไปซึ่งตอนนี้3สาวที่นั่งอยู่ประตูทางเข้าเดินออกมาเกาะแขนเอาใจใส่แบบรู้หน้าที่ของตัวเอง

" แบบเก่าว๊ะดุ่ย!! เพิ่มยำเข่ามาอีกอย่างนึง เดี๋ยวโตไปบอกอรกับดาหลาไปนั่งนำเสี่ยเพินเด้อ เฮาสิเข่าไปบอกเด็กน้อยในครัวเอง" ตั้ม เมืองศรี บอกเพื่อนรักแบบรู้ใจนายใหญ่ของตัวเอง…….


….. “ ไอค่อนสกาย ไนท์คลับ “ คือกิจการของณรงค์ฤทธิ์ เสี่ยหนุ่มผู้มาดมั่นด้วยหัวใจเต็มร้อยแห่งการบุกเบิกสร้างตัวเอง เขาเติบโตมาจากสายเลือดอีสานดินแดนแห่งทุ่งกุลาร้องไห้ พื้นฐานของณรงค์ฤทธิ์ดูจะมีความสดใสมาตั้งแต่เด็กเนื่องด้วยกิจการฐานะทางบ้านปูทางไว้ให้ก่อนแล้ว ที่จังหวัดร้อยเอ็ดณรงค์ฤทธิ์มีกิจการเป็นของตัวเองคือเปิดเป็นโรงสีไฟใหญ่และเปิดรับซื้อขาวเปลือกซึ่งแต่ละปีเขามีกำไรอยู่มากโขทีเดียว โดยมอบให้น้องชายคนเล็กเขาเป็นผู้ดูแลแทน ซึ่งนานๆครั้งถึงจะกลับไปดูที เมื่อ2ปีที่ผ่านมาเสี่ยหนุ่มผันตัวเองจากธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรหันมาทำธุรกิจด้านบริการแทนซึ่งนับว่าเขาจะจับถูกด้านเสียด้วยเมื่อเขาหันมาเปิดไนต์คลับในเมืองหลวงแทนโดยที่ตัวเขาเข้ามาควบคุมด้วยตัวเอง ไนท์คลับแห่งนี้คือ แหล่งรองรับนักท่องเที่ยวนักดื่มผู้ที่มิยอมหลับไหลยามราตรี และดูจะสร้างกำไรให้เขาเป็นกอบเป็นกำทีเดียว ณรงค์ฤทธิ์มีเด็กสาวในความดูแลถึง15คน ซึ่งแต่ละคนล้วนหน้าตาสวยๆทั้งนั้น แต่ละคืนไนท์คลับแห่งสร้างเม็ดเงินเข้ากระเป๋าของเสี่ยหนุ่มได้มากมาย จนตัวเขาเองต้องนำเม็ดเงินเข้าไปลงทุนเปิดเป็นร้านอาหารอีสานอีกแห่งในเขตบางกะปิ เปิดให้บริการในช่วงหนึ่งทุ่มไปจนถึงตีสองทุกวัน โดยแต่ละคืนมีนักร้องหนุ่มสาวผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นเวทีขับกล่อมให้บริการสร้างความสำราญใจให้แก่ลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการอยู่ทุกค่ำคืน แต่มีสิ่งหนึ่งที่สร้างเม็ดเงินให้แก่เสี่ยหนุ่มอย่างมากมายมหาศาลนั่นก็คือ …” ยาเสพติด “ …นั่นเอง



ตั้ม เมืองศรี และ ดุ่ย แดนผาขาว สองเด็กหนุ่มลูกอีสานที่มาจากต่างถิ่นโดยจุดหมายของพวกเขาคือสิ่งเดียวกันนั่นก็คือ ถีบตัวเองให้พ้นจากความแร้นแค้นโดยมีผู้ที่ฝากความหวังไว้กับพวกเขาหลายชีวิตด้วยกัน อำนาจของเงินตรานำพาให้ชีวิตของพวกเขาทั้ง2คนต้องโคจรมาพบกันโดยบังเอิญ “ ตั้ม “ เด็กหนุ่มจากจังหวัดศรีสะเกษ หน้าตาคมคายผู้มีความดุดัน ใจถึงและทุ่มเทความภักดิ์ดีให้กับเสี่ยหน่อ วีรกรรมที่ผกผันชีวิตให้เขาต้องขึ้นมาเป็นมือขวาของเสี่ยหนุ่มก็คือการคว่ำลูกสมุนที่เสี่ยหนุ่มมอบหมายหน้าที่ให้คุมไนท์คลับแห่งนี้ลงไปนอนนิ่งถึง5คนภายในไม่ถึงสองนาที หลังจากที่ตัวเขาเองเข้ามาเที่ยวสถานที่แห่งนี้แล้วเกิดไม่พอใจที่หญิงสาวคนหนึ่งไม่ยอมทำตามใจของเขา จนผู้ที่ดูแลต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยแต่กลับไม่สำฤทธิ์ผล เมื่อโดน ตั้ม เมืองศรี อัดลงไปกองอยู่กับพื้นในพริบตาและมันก็สร้างความพึงพอใจให้กับเสี่ยหนุ่มเป็นอย่างมาก ตั้ม เมืองศรี ถูกเสี่ยหนุ่มดึงตัวเข้ามาพร้อมกับการแลกเปลี่ยนเป็นเม็ดเงินหลายเท่ากว่าที่ตัวเขาได้รับในแต่ละเดือนเลยทีเดียว ส่วน " ดุ่ย แดนผาขาว" คือเด็กหนุ่มจากจังหวัดเลย ผู้มีบุคลิคอ่อนโยนแต่แกร่งในสภาวะคับขัน เขาเป็นนักดนตรีฝีมือเยี่ยมจากร้านอาหารอีสานเขตบางกะปิที่ทางเสี่ยหนุ่มเป็นเจ้าของกิจการอยู่ แล้วก็ดึงตัวมาเป็นพลขับให้โดยบังเอิญ หลังจากที่คนขับคนก่อนนั้นหายตัวสาบสูญไปแบบไร้ร่องรอย โดยที่เสี่ยหนุ่มเข้าใจว่าคนขับรถของเขาคนก่อนคงโดนคู่อริ( คู่แข่งทางธุรกิจ) อุ้มตัวไปรีดข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของเขา ดุ่ย แดนผาขาว เปรียบเสมือนมือซ้ายของเสี่ยหนุ่มที่เขาให้ความไว้เนื้อเชื่อใจไปไม่ต่างจากตั้ม เมืองศรีเลย เพราะเมื่อสองคนนี้ได้ทำงานร่วมกันทีไร บรรดาคู่ต่อกรต้องขยาดกันเป็นแถว……

พวกคุณจงระวังพวกเขาสองคนกันให้ดี…..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น