จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 12



กรรมลิขิต

ตอน ชะตาชีวิตหรือชะตาฟ้าลิขิต 2

เหตุเพราะกรรมนำเกิดตามวิถี ทุกชีวีกรรมเก่าเป็นเจ้าของ
ใช่อยากเด่นอยากดังอยากหวังปอง กรรมพาพ้องพบพานเนิ่นนานเนา
ก่อนตัดสินรักชังชั่งใจก่อน โปรดโอนอ่อนอย่าตีตราว่าโฉดเขลา
มีเมตตาเอาใจเขาใส่ใจเรา คงบรรเทาใจสงบพบสุขพลัน


เสียงกาเหว่าร้องก้องยามใกล้รุ่งสาง เป็นสัณญาณคอยปลุกเตือนให้กับสรรพสิ่งรอบข้างให้ตื่นจากความหลับใหล ภารกิจหน้าที่ของแต่ละชีวิตต่างก็มีบทบาทหน้าที่หรือจุดมุ่งหมายต่างเส้นทางต่างวาระและต่างเวลากันออกไป แต่ภาพโดยรวมแล้วทุกๆชีวิตต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอด เพื่อปากเพื่อท้องของตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก เพื่อพยุงตัวเองถีบชีวิตให้พ้นจากความลำบากยากเข็ญ ความต้องการของแต่ละชีวิตมีมาก-น้อย ต่างขึ้นอยู่กับกิเลสและสภาวะแห่งจิตใจของแต่ละบุคคล บุคคลไหนที่รู้จักความพอเพียงหรือพอดีก็สามารถทำให้ชีวิตเกิดประกายแห่งความสุขได้ถึงแม้จะเกิดมาบนเส้นทางที่ด้อยโอกาสทางสังคมก็ตามที แต่กลับมีบุคคลบางพวกที่มีโอกาสต้นทุนทางสังคมสูงต่างกลับมุ่งแสวงหากอบโกยด้วยความไม่รู้จักพอด้วยสภาวะจิตใจที่ถูกกิเลสความอยากครอบงำอยู่หนาเตอะ บุคคลเหล่านี้ยอมที่จะกระทำได้ทุกวีถีทางแม้จะเป็นการที่ได้มาแบบไม่เป็นธรรมหรือถูกต้องก็ตามที และบุคคลจำพวกนี้นี่เองที่ไม่ค่อยได้สัมผัสกับความสุขอันแท้จริง เพราะพวกเขาต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังกับทรัพย์สมบัติที่พวกเขาพึงได้มา อนิจจา..มนุษย์เราหนอ..







.....แสงของอรุณในเช้าวันใหม่ทอแสงส่องสว่างเข้ามาทางหน้าต่างบวกกับเสียงร้องของเจ้ากาเหว่ายังร้องร่ำแบบไม่แคร์ต่ออาการระคายเคืองโสตประสาทของผู้ที่ได้ยิน บางรายถึงกับก่นด่าเจ้านาฬิกาปลุกชั้นดีตัวนี้อยู่บ่อยครั้ง สามเณรไผ่ศธรขยับกายพร้อมกับใช้หลังมือถูขยี้ตาตัวเองไปมาเพื่อปรับให้ชินกับสภาพของแสงภายนอก อากาศหน้าร้อนดูจะเป็นปัญหามากกับห้องปูนซีเมนต์ที่มีขนาดไม่โอ่โถงและโล่ง ทำให้เขาต้องหันไปพึ่งเจ้าพัดลมตัวเล็กช่วยผ่อนคลายอากาศที่ร้อนอบอ้าวตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว เขาค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่งแต่ดูเหมือนว่าตัวจะโอนเอนไปมาเหมือนกับคนหมดเรี่ยวแรง สักพักก็ล้มตัวลงนอนแผละกลับไปยังที่เดิม ความคิดในสมองถูกดึงแว๊บเข้ามาจนเกิดเป็นมโนภาพ เป็นเวลา3ปีแล้วที่เขาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้จนเกิดเป็นกิจวัตรประจำวัน ภาพของสามเณรขวัญชัยเพื่อนรักที่เคยยืนยิ้มให้เห็นอยู่ในห้องนี้ ก่อนที่เดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อไปร่ำเรียนต่อผุดประกายขึ้นมา เพื่อนรักของเขาตอนนี้เส้นทางชีวิตดูจะสดใสเป็นพิเศษ เพราะท่านพระครูอุดมรัตนคุณได้ส่งเข้าไปร่ำเรียนศึกษาต่อในระดับสูงขึ้นอีก โดยร่วมเดินทางไปพร้อมกับพระมหาธีระเทพพระพี่เลี้ยงที่เคยอยู่ที่วัดแห่งนี้มาก่อน สามเณรขวัญชัยเพื่อนรักของเขาจบเปรียญธรรม4ประโยคที่วัดมิ่งวรารามแห่งนี้ ( โดยทางวัดมิ่งวรารามเป็นโรงเรียนเปิดสอนบาลีและได้ส่งนักเรียนของตนเข้าสอบสนามสอบในจังหวัดขอนแก่นทุกๆปี ซึ่งในแต่ละปีวัดแห่งนี้สร้างผลงานได้ยอดเยี่ยมทีเดียว)

“ วัดสระเกศ “ คำนี้ยังดังกึกก้องในหูของเขา สามเณรไผ่ศธรรู้เพียงว่าเพื่อนรักของเขาถูกส่งเข้าไปศึกษาร่ำเรียนอยู่ที่วัดแห่งนี้ และไม่สามารถรู้เลยว่าวัดแห่งนี้อยู่ส่วนไหนของเมืองกรุง เพราะตัวเขาเองยังไม่เคยมีโอกาสได้ย่างกรายเข้าไปสัมผัสในกรุงเทพมหานคร เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยเลย ในส่วนเขาตอนนี้กำลังเดินตามหลังเพื่อนรักอีกที และดูเหมือนว่าอุปสรรคเส้นทางของเขาดูจะไม่สวยหรูเหมือนกับเพื่อนรักสักเท่าไร สามเณรไผ่ศธรต้องปรับตัวเองให้ชินกับความเหงาความเดียวดายและต้องช่วยเหลือตัวเองในทุกๆอย่าง เพราะไม่มีพระพี่เลี้ยงคอยดูแลเหมือนกับเพื่อนรัก พลบค่ำมาต้องอยู่กับหนังสือตำราเรียนที่เป็นภาษาบาลีแทบทุกวัน ด้วยเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่พอสมควรการอยู่พักก็ดูจะเป็นสัดส่วนของแต่ละคน จึงทำให้เขาเกิดอาการของความเหงาเข้ามาครอบงำได้ง่าย เพื่อนสามเณรด้วยกันก็พลันเงียบงันพอพลบค่ำต่างก็เก็บตัวเงียบขลุกตัวอยู่ในห้องของใครของมันและต่างก็มีพระพี่เลี้ยงคอยกำกับดูแล เพราะภิกษุ-สามเณรเหล่านี้ต่างถูกส่งตัวเข้ามาจากต่างถิ่นด้วยกันทั้งนั้น

ป้าไหม สายใยและนันเอง นานๆทีถึงจะได้เข้ามาเยี่ยม ทุกครั้งที่มาสามเณรไผ่ศธรจะอดยิ้มไม่ได้กับความน่ารักน่าชังของหลานสาวตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังอยู่ในวัยซน ตอนนี้เขาเองก็กำลังสับสนกับตัวเอง เส้นทางของชีวิตจะเป็นไปในรูปแบบไหนดี จะต้องตกอยู่ในลักษณะแบบนี้อีกนานเท่าไร ความยากจนแร้นแค้นถูกบังคับให้เขาต้องตัดสินใจเข้ามาอยู่ในจุดนี้ ในขณะเดียวกันที่เพื่อนในวัยเดียวกันที่พ่อแม่พอจะมีกินอยู่บ้าง ส่วนมากจะถูกส่งเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยมของตัวอำเภอหรือตัวจังหวัด พวกเขาเหล่านี้ก็มีโอกาสที่จะได้เจอเพื่อนๆมากมาย ไม่เหงาไม่เดียวดายเหมือนกับเขา และเพื่อนๆเหล่านี้ยังได้เลือกเส้นทางในการศึกษาที่ตัวเองชอบและใฝ่ฝันต่อไป ซึ่งตัวเขาเองก็แอบมองอยู่หลายๆครั้งที่มีโอกาสได้ออกไปยังนอกสถานที่ ต่างกันกับทางป้าไหมที่ต้องคอยหาเลี้ยงปากท้องในแต่ละวันก็ลำบากยิ่งแล้วจะหาเงินที่ไหนมาเสียให้เขาได้ร่ำเรียนเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ ยิ่งช่วงนี้สุขภาพป้าไหมเองก็ดูจะเจ็บออดๆแอดๆอยู่เรื่อยๆ คงเป็นเพราะอายุมากขึ้นและการตรากตรำทำงานหนักทุกวันนั่นเอง ลำพังเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็ดูจะขัดสนอยู่แล้ว แล้วไหนจะต้องเจียดมาเป็นค่าหมอค่าหยูกยาอีก “ เฮ้ออ..” สามเณรไผ่ศธรถอนหายใจออกแผ่วเบาพร้อมกับยกท่อนแขนก่ายหน้าผากตัวเอง ส่วนวีระจักรเพื่อนรักอีกคนตอนนี้ได้ข่าวว่าลงไปทำงานที่กรุงเทพแล้ว เพราะหลังจากที่เขาถูกส่งตัวเข้ามาที่วัดมิ่งวรารามได้เพียง5เดือนเศษ เพื่อนรักของเขาก็ได้ขอท่านพระครูฯลาสิกขาสู่เพศฆราวาส โดยให้เหตุผลเพียงสั้นๆว่า อยากไปทำงาน แต่ลึกๆแล้วเขารู้ดีว่าเพื่อนรักคนนี้ก็เกิดอาการเดียวกันกับเขาในตอนนี้ก็คือความเหงากับการไม่มีเพื่อนเข้าครอบงำสภาวะจิตใจนั่นเอง และมีสิ่งหนึ่งที่เขาและเพื่อนรักคนนี้จะลืมไม่ได้ก็คือ “ คำมั่นคำสัญญาที่จะไม่ทอดทิ้งกันจะคอยช่วยเหลือกันมีทุกข์ร่วมทุกข์มีสุขร่วมสุข หรือแม้แต่ที่ต้องเจอปัญหาอันเลวร้ายพวกเขาทั้งสองจะต้องช่วยเหลือกันถึงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตามที “ นี่คือคำสัญญามั่นที่พวกเขาทั้งสองได้ให้ไว้ต่อกันในพระอุโบสถหลังใหญ่ที่วัดอุดมคีรีเขต บ้านหนองนางาม ก่อนที่ตัวเขาเองจะถูกส่งตัวเข้ามาที่ตัวอำเภอพล






สามเณรไผ่ศธรปล่อยให้ความนึกคิดล่องลอยไปกับอารมณ์เหงาๆในยามเช้าพลันก็ต้องดึงกลับให้คงที่ เขาขยับกายลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟภายในห้อง และก็ทำภารกิจประจำวันของตัวเอง การเดินบิณฑบาตในตัวเมืองต้องออกแต่เช้าตรู่ เส้นทางที่ต้องเดินทุกวันก็ดูเหมือนจะไม่ไกลจนเกินไปนักสำหรับเขา ออกจากวัดที่อยู่เยื้องกับ บขส. มุ่งตรงถึงแยกหอนาฬิกาแล้วก็เดินขนานมาตามเส้นทางรถไฟแล้วก็วกกลับเข้าวัด ระยะทางก็น่าจะอยู่ที่ไม่เกินสองกิโลเมตร ส่วนในตอนเพลนั้นก็ต้องคอยไปรับปิ่นโตจากโยมแม่อุปัฏฐาก (ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคิวรถ บขส. มากนัก)



//////////////////////////////////////////////////////////////////



(อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร)








...ณ โรงเรียนมัธยมป่าติ้ววิทยาคาร…


“ เหว๋ย…เหว๋ย… เร็วๆแนสองคนนั่น คาแต่ย่างคุยกันอ้อยอิ่งอยู่หั่นหล่ะ เร็วๆมันสิกลับเข้าโรงเรียนบ่ทัน…” เสียงนักเรียนกลุ่มที่อยู่ข้างหน้าร้องดังขึ้น บอกให้เพื่อนชายหญิงอีกสองคนที่เดินตามหลังมารีบเดินให้ทันกลุ่มของตน ทำให้ดรุณีร่างเล็กวัย15ต้องหยุดชะงัก ใบหน้าอาบด้วยรอยยิ้มที่เอียงอายเล็กน้อย มองเห็นฟันมีเขี้ยวเล็กๆที่แซมอยู่ผุดประกายขึ้นมา พร้อมกับเร่งฝีเท้าของตัวเองให้เร็วขึ้นเพื่อให้ทันกลุ่มเพื่อนที่อยู่ข้างหน้า…..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น