จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 2


..เสียงข่าวยามเช้าจากบ้านกำนันชม กำนันตำบลหนองนางาม ดังแว่วมาแต่เช้า เสมือนเป็นนาฬิกาปลุกชั้นดีให้กับชาวบ้านตื่นตระเตรียมพร้อมกับหน้าที่การงาน แสงอรุณเช้าวันใหม่ดูสดใสเป็นพิเศษ ท้องทุ่งนาเต็มไปด้วยหญ้าที่เขียวขจีหลังจากที่ฝนตกติดต่อกันเป็นระยะ วิถีชิวิตของชาวนากำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว หัวหน้าครอบครัวเริ่มทำการสำรวจอุปกรณ์ของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นไถ คราดเพื่อเตรียมความพร้อมอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้ใช้มาเป็นปีดูจะมีให้เห็นอยู่หลายครอบครัว แม่บ้านก็เตรียมก่อไฟนึ่งข้าว ส่วนเยาวชนตัวเล็กตัวใหญ่ก็เตรียมความพร้อมของตัวเองเช่นกัน ต้องตื่นแต่เช้าเตรียมตัวไปโรงเรียนซึ่งเป็นหน้าที่หลักของพวกเขา โรงเรียนบ้านหนองนางามเปิดสอนนักเรียนระดับชั้น ป.1-6 ตอนนี้มีครูประจำอยู่10คน และมีนักเรียนอยู่ในสังกัด170คน ซึ่งไผ่ ขวัญ จักรเองก็พึ่งจบออกมาจากโรงเรียนแห่งนี้ ส่วนผู้ปกครองคนไหนที่มีฐานะดีหน่อยก็จะส่งบุตรหลานของตัวเองเข้าไปศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมในอำเภอมัญจาคีรี ซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบ20กิโล ซึ่งต้องอาศัยบริการรถสองแถวใหญ่ที่คอยวิ่งรับส่งอยู่เป็นประจำ หรือใครที่มีฐานะดีหน่อยก็ซื้อมอเตอร์ไซค์ให้บุตรหลานตัวเองขี่ไปเองเสียเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ไผ่เองก็ต้องพลาดโอกาสกับการที่จะได้ศึกษาต่อเนื่องจากป้าไหมเองก็ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร เป็นคนหาเช้ากินค่ำไปวันๆ ลำพังค่าอุปกรณ์การศึกษาเล่าเรียนก็หนักเต็มทนไหนเลยจะต้องมาแบกภาระกับค่ารถ ค่ากินในแต่ละวันคงไม่ไหวแน่ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าไผ่จึงต้องยอมรับชะตากรรมของตัวเอง ขวัญและจักรก็เช่นกัน แม้เจ้าไผ่จะเสียดายอยู่บ้างกับการที่พลาดหวังในการศึกษาต่อ แต่เขาก็ไม่ได้คิดน้อยใจป้าไหมเลยเนื่องจากเข้าใจดีว่าแค่นี้แม่เขาก็เหนื่อยเต็มทนแล้ว


" นก " หรือขวัญชนก เพื่อนนักเรียนหญิงตอนชั้นประถมที่ไผ่ดูจะสนิทสนมเป็นพิเศษ เธอและเพื่อนคนอื่นๆมีโอกาสดีกว่าไผ่หลายเท่านักเมื่อพ่อกับแม่ของเธอให้ได้โอกาสกับเธอได้ศึกษาต่อในตัวอำเภอ มีหลายครั้งที่ไผ่เฝ้ามองเธอในยามเช้าและคิดอยากที่จะติดตามไปเรียนด้วยในตัวอำเภอ แต่มันก็เป็นได้แค่ความคิดความฝันเท่านั้นสำหรับเขา แม้แต่เช้านี้ก็เช่นกันที่ไผ่ยืนมองเพื่อนหญิงของเขา

" เพินนก.. เป็นได๋ไปเรียนในโตอำเภอมีหมู่หลายบ่ ครูเพินสอนดีคือจั่งโรงเรียนเฮาบ่ " ไผ่หมายถึงโรงเรียนบ้านหนองนางามที่เขากับนกพึ่งจะจบออกมา สายตาจ้องมองดูขวัญชนกที่กำลังเดินไปเพื่อจะขึ้นรถสองแถวขนาดใหญ่ที่จอดรออยู่ ตอนนี้นักเรียนดูจะมากทีเดียวเนื่องจากบ้านหนองนางามเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่

" ครูเพินสอนดีอยู่เพินไผ่ ที่สำคัญหมู่กะหลายนำ ตอนนี้นกมีหมู่ตั้งหลายคนแล้ว " ขวัญชนกหันกลับมาบอกพร้อมกับยิ้มให้เขา

" ดีแล้วหล่ะเพินนก ตั้งใจเรียนเด้อเฮากะอยากไปเรียนอยู่แต่กะบ่มีโอกาสดอก " บอกพร้อมยิ้มเจื่อนๆ อีกไม่นานเมื่อขวัญชนกได้เจอเพื่อนใหม่มิตรภาพใหม่ สุดท้ายก็คงจะลืมเขาเพื่อนที่เคยเรียนชั้นประถมด้วยกันเป็นแน่แท้ ไผ่ถอยตัวออกมายังจุดนั้นด้วยหัวใจที่หดหู่ และเดินไปยังจุดที่เขาคิดว่ายังมีมิตรภาพความเป็นเพื่อนให้เขาอยู่เต็มเปี่ยมนั่นก็คือบ้านของขวัญนั่นเอง ....ทิดจวนพ่อของขวัญนั้นเป็นคนในหมู่บ้านแห่งนี้ส่วนป้าพรแม่ของขวัญเป็นคนบ้านโคกหินแตกที่อยู่ห่างกันออกไปไม่ไกลนัก บ้านโคกหินแตกอยู่ภายใต้การปกครองของตำบลหนองนางามเช่นกัน

" เพินขวัญ.. มื้อนี้กินเข่าแล้วเฮาออกไปหายิงนกบ่เพินเดี๋ยวค่อยออกไปหาเพินจักรพุ้นเลย " ไผ่ถามเพื่อนรัก ซึ่งเจ้าขวัญตอนนี้ดูจะให้ความสนใจกับดอกดาวเรืองที่ตัวเองปลูกไว้อยู่หน้าบ้าน ตอนนี้ออกดอกสีเหลืองคละเคล้าสีส้มดูสวยงามเป็นยิ่งนัก

" ไปกะไปติเพิน อยู่บ้านซือๆกะเซ็ง ออกไปเหล่นนำตีนภูแนกะดี " เอ่ยบอกแต่สายตายังให้ความสนใจกับเจ้าดอกไม้

" จั่งซั่นเฮากลับไปกินเข่าก่อนเด้อ จักหน่อยสิออกมาหา /// นี่แหม่นเฮามีหมู่เป็นผู้หญิงฮือผู้ซายหว่า ฮ่าๆๆ " บอกเพื่อนรักพร้อมกับเดินหัวเราะกลับไปยังบ้านของเขา

หลังจากที่ไผ่จัดการกับภาระกิจท้องของตัวเองเรียบร้อยแล้ว จึงได้ขออนุญาตป้าไหมผู้เป็นแม่ซึ่งป้าไหมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เมื่อจัดเตรียมอาวุธคู่กายแล้วก็เดินออกไปหาเพื่อนรัก ขวัญเหมือนจะเตรียมพร้อมรอเจ้าไผ่อยู่ก่อนแล้วทั้งสองมุ่งหน้าไปยังทิศเหนือของหมู่บ้าน ซึ่งจุดประสงค์ของพวกเขาก็คือบ้านของลุงเลิศ พ่อของเจ้าจักรนั่นเอง ลุงเลิศแกเป็นคนในหมู่บ้านแห่งนี้ ส่วนป้าอ้อยผู้เป็นแม่ เป็นคนทางอำเภอผาขาว จังหวัดเลยที่ย้ายตัวเองลงมาอยู่กับสามีเฉกเช่นเดียวกันกับป้าไหม



สามสหายมุ่งหน้าสู่ภูเม็งซึ่งมองเห็นอยู่ไม่ไกลนัก เดินผ่านหน้าวัดอุดมคีรีเขต ดูข้างในแล้วช่างร่มรื่นเป็นยิ่งนัก เหมาะสำหรับที่จะปฏิบัติธรรมขัดเกลากิเลศภายในใจ แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งสามกำลังจะสวมบทนักล่า เลยจำต้องตัดความคิดนี้ออกไปเสียก่อน เยื้องกันไปเป็นโรงเรียนที่พวกเขาพึ่งจบออกมา มองเห็นน้องๆอยู่เป็นกลุ่มที่กำลังช่วยกันทำความสะอาดสถานที่ให้ดูสะอาดสะอ้าน สถานที่นี้ช่วยสอนอะไรให้หลายๆอย่าง คุณครูเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สองที่ช่วยประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้อ่านออกเขียนได้และสอนให้เป็นคนดี มิตรภาพความทรงจำที่ดี คิดย้อนกลับไปเห็นครั้งใดก็พลันเรียกรอยยิ้มออกมาได้ทุกๆครั้ง ทุ่งหญ้าเขียวขจี น้ำจากฝนที่ตกติดต่อกันเป็นระยะ ยังความชุ่มชื้นให้กับผืนดินเป็นอย่างมาก น้ำท่วมขังอยู่หลายๆที่ หมู่มวลวิหกโผบิน ร้องก้องพงไพร " ภูเม็ง " ภูเขาที่มีลักษณะคล้ายรูปเตียงตั้งตระหง่านยาวเหยียดอยู่ ณ เบื้องหน้า พวกเขาทั้งสามใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงยังตีนภูเม็ง รอยยิ้มของเจ้าไผ่ผุดขึ้นมาพร้อมกับส่งสัญญาณให้เพื่อนดูกับนกตัวหนึ่งที่จับอยู่บนยอดไม้ อากาศที่แสนจะสดชื่นและต้นไม้ที่มีอยู่แบบสมบูรณ์ของภูเขาลูกนี้เป็นที่ดึงดูดใจให้นกนาๆชนิดรวมถึงสัตว์ต่างๆได้เข้ามาใช้เป็นที่อาศัยหากิน และใช้เป็นที่พักพิงอยู่เป็นจำนวนมาก นกน้อยตัวนี้ยังจับกิ่งไม้ยืนสงบนิ่ง โดยหารู้ไม่ว่ามัจจุราชกำลังเคลือบคลานเข้ามาถึงตัว ไผ่กระชับหนังสติ๊กซึ่งใช้เป็นอาวุธคู่กายพร้อมล้วงเข้าไปในกระเป๋าย่ามเพื่อเอากระสุนซึ่งใช้ลูกหิน เตรียมพร้อมยกเล็ง หลับตาข้างขวาลงให้เหลือข้างซ้ายมองเพียงข้างเดียว เพื่อจุดโฟกัสจะได้แม่นยิ่งขึ้น โดยมีจักรและขวัญยืนลุ้นว่า " เป้าหมายสังหาร " จะร่วงหรือจะบิน

" ปิ๊วววว "

เสียงลูกหินแหวกอากาศธาตุไปด้วยความเร็ว


คนที่เชื่อมั่นในหลัก " กรรมลิขิต" ว่า " ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว " ย่อมทำแต่ความดีหลีกหนีความชั่ว รู้จักพึ่งตนเอง ขยันทำกิจการไม่เกียจคร้าน ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่สร้างวิมานในอากาศ ประสงค์สิ่งใดก็ลงมือทำ เพื่อให้เป็นจริงตามปรารถนา เมื่อมีอุปสรรคเกิดขึ้นก็ไม่ย่อท้อ พยายามหาทางแก้ไขและต่อสู้จนประสบความสำเร็จ คนประเภทนี้แม้จะเกิดมายากจนเพราะอำนาจของกรรมชั่วที่ทำไว้ในอดีต ก็มักจะก่อร่างสร้างตัวจนฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น ด้วยอำนาจกรรมดีที่ทำในปัจจุบัน ไม่มัวแต่เพ้อฝันอยากได้ดีลอยๆ โดยไม่ลงมือทำ ถ้าความอยากได้ดีลอยๆ โดยไม่ต้องทำอะไร จะเป็นเหตุให้สำเร็จความปรารถนาแล้ว ใครเล่าในโลกนี้จะยากจน หรือพลาดจากสิ่งที่หวัง.

บทความจากธรรมจักร



" ปิ๊ววว..." เสียงลูกหินแหวกอากาศธาตุไปด้วยความเร็ว ในขณะที่เจ้าวิหคน้อยตัวนั้นกำลังเพลินเพลินกับสรรพสิ่งรอบข้างอันแสนสดชื่น โดยหารู้ไม่ว่ามัจจุราชตอนนี้กำลังพุ่งตรงเข้ามาหาแบบที่มันไม่เคยคาดคิดมาก่อน

" ....ปึ๊กกก.... " เสียงดังหนักแน่น เมื่อก้อนหินวิถีกระสุนของไผ่เข้าปะทะที่กลางลำตัวนกน้อยเต็มๆ ขนปลิวว่อนทันทีพร้อมกับผงะหงายลอยไปตามความแรงของวิถีกระสุน ขาดใจตายตั้งแต่อยู่ในนภากาศก่อนที่จะตกลงถึงพื้นดินด้วยซ้ำ

" เย๊ ..เย๊.. แฮกหมานแล้วหมู่เฮา ฝีมือเพินไผ่หนิยังใซ้ได้อยู่เว๊ยย... " เจ้าจักรเอ่ยยิ้มๆเมื่อเป้าหมายสังหารครั้งแรกเป็นไปตามความคิดของเขา ขวัญเดินเข้าไปเก็บนกน้อยที่ตอนนี้นอนกองอยู่พื้นดินมันไร้ซึ่งลมหายใจเสียแล้ว ความเจ็บปวดคงไม่ต้องเอ่ยถึงว่าโดนเข้าไปหนักเพียงไร การล่าของพวกเขาทั้งสามถูกดำเนินไปเรื่อยๆจนถึงเที่ยงวัน โดยไผ่กับจักรจะสลับผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่หน่วยซุ่มยิง โดยที่ขวัญจะคอยเป็นหน่วยเคลียร์พื้นที่เก็บเหยื่อที่ถูกวิถีกระสุนเสียมากกว่า " ภูเม็ง " ภูเขาที่กินพื้นที่ยาวไปหลายอำเภอยังถือว่ามีความอุดมสมบูรณ์เกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ทีเดียว อำเภอมัญจาคีรีนั้นก็คงจะตั้งชื่อตามภูเขาลูกนี้ก็เป็นได้ " เม็ง " เป็นภาษาพื้นเมืองแปลความหมายได้ก็คือ เตียงนั่นเอง และได้เปลี่ยนคำว่าเม็งมาใช้เป็นภาษาบาลีว่า มัญจา ซึ่งบนภูเขาเม็งนั้นมีก้อนหินใหญ่รูปร่างลักษณะคล้ายเตียงนอนปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้ และเติมคีรีซึ่งแปลว่าภูเขาเข้าไป มัญจาคีรีก็น่าจะแปลรวมได้ว่า เมืองที่มีภูเขารูปเตียงนั่นเอง

สามสหายเพลิดเพลินอยู่กับการยิงนกไปจนถึงเกือบบ่ายโมงก็มีอันต้องยุติลง เมื่อท้องเริ่มจะหิวและเริ่มจะสร้างปัญหาให้กับพวกเขาเสียแล้ว เย็นนี้คงได้อิ่มอร่อยกับเมนูของโปรดเป็นแน่แท้เลย วันนี้ดูเหมือนว่าไผ่และจักรจะเป็นผู้ที่ทำอกุศลกรรมขึ้นเสียด้วยสิ เพราะในกระเป๋าย่ามที่ขวัญสะพายอยู่นั้นมีนกนอนแอ้งแม้งอยู่เกือบ20ตัวเป็นฝีมือของเขาสองคนทั้งนั้นเลย การเดินทางออกมาจากภูเม็งด้วยการเดินเท้าฝ่าต้นไม้ใบไม้หรือต้นหญ้าเหมือนจะราบรื่นดี แต่เหมือนว่าวันนี้การสะสมกรรมของพวกเขาจะยังไม่หยุดอยู่แค่นี้เสียแล้ว เมื่อเท้าของเจ้าขวัญพลันสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่งจนได้





" ตึ๊กกก... โอ๊ย..." ร้องเสียงหลง หน้าคะมำล้มลงไม่เป็นท่าจนไผ่และจักรที่เดินตามหลังมาต้องงวยงง

" หึ๊ยย... แม่นหยั๋งเพินขวัญ....เป็นหยั๋งเพิน " เสียงไผ่กับจักรถามขึ้นพร้อมกันและไผ่เองก็วิ่งเข้าไปเพื่อจะดึงแขนเพื่อนรักขึ้น แต่เท้าของไผ่ก็ไปสะดุดกับของแข็งที่ถูกใบไม้ปกคลุมอยู่เช่นกันถึงกับหน้าคะมำไปอีกคน แต่ยังไม่ถึงกับล้มยังประคองตัวได้อยู่ และเขาคิดว่าสิ่งที่ทำให้ขวัญล้มหน้าคะมำนั้นคงจะเป็นสิ่งที่เขาเจออยู่แน่ๆ

" เพินจักรระวัง เฮาเตะอีหยั๋งบุ๊หนิอยู่ใต้ใบไม้ เป็นสีแข็งไอยู่แหม่ะ " ไผ่บอกเพื่อนรักที่กำลังจะตามเข้ามาให้ระวังก่อนและเขาก็ดึงแขนขวัญให้ลุกขึ้นมาได้

" เดี๋ยวเฮาหาไม้เขี่ยออกเบิ่งก่อน ใบไม้มันหนาเติบอยู่ " จักรเจอกิ่งไม้แห้งที่วางอยู่ไม่ไกลนักเขาค่อยๆเขี่ยใบไม้แห้งออกเพื่อดูว่ามีสิ่งใดซ่อนตัวอยู่ข้างล่างโดยไผ่และขวัญยืนลุ้นระทึกอยู่ไกล้ๆ หลังจากเปิดใบไม้แห้งออกพวกเขาทั้งสามก็เผยอยิ้มออกมาเมื่อมองเห็นเต่าตัวขนาดเขื่องนอนสงบนิ่งอยู่ตรงจุดนั้น กระดองของมันมีสีเหลืองแก่ปนสีน้ำตาล

" เต่าเพ็กเพิน เอากลับไปผัดเผ็ดดีบ่ " เสียงของจักรดังขึ้นถามความเห็นเพื่อนรักทันที

" แล้วแต่โตเพินจักร เฮาบ่อยากเฮ็ดปานได๋ดอกเต่าหนิ เฮาได้ยินแม่เพินว่าเต่าเป็นสัตว์เก่าแก่แหม่ะบ่เป็นตาเอาไปเฮ็ดกินดอก " ไผ่บอก

" เฮาเห็นแต่เพินพากันเอาไปปล่อยไว้พุ้นแหม่ะทางบ้านกอก ตำบลสวนหม่อน ตอนนี้ได้ข่าวว่าหลายขนาดเลย " ขวัญเสริมคำพูดของไผ่

" บ่เป็นหยั๋งดอกเพิน จั่งได๋กะเอากลับไปบ้านนำก่อนเฮ็ดจั่งได๋ค่อยว่ากันเนาะ เดี๋ยวเฮาถือเองดอก " จักรเอ่ยยิ้มๆ วันนี้รู้สึกว่าจะได้สิ่งเหนือความคาดหมายเข้ามาอีกอย่าง ทั้งสามคนจึงมุ่งหน้าเดินทางกลับเข้ายังหมู่บ้านโดยที่จักรเป็นคนอุ้มเอาเจ้าเต่าเพ็กติดมือมาด้วย " เต่าเพ็ก " เป็นเต่าที่มีกระดองสูง ลักษณะคล้ายหมวกเหล็กทหาร ถ้าโตเต็มที่จะมีกระดองสีเหลืองปนดำยาวประมาณ 30เซ็นติเมตรและหนักถึง7กิโลกรัมทีเดียว ขาหลังแข็งแรง สั้นป้อม ตู้ มีเกล็ดขนาดใหญ่ที่ผิวหนังขาหลังมีลักษณะแบบขาช้าง นิ้วไม่มีพังผืดและมีเล็บที่แข็งแรง มีให้พบเห็นตามทั่วไปในแถบอีสาน โดยเฉพาะอำเภอมัญจาคีรีแห่งนี้ดูจะมีเยอะเป็นพิเศษทีเดียว เดินผ่านจนมาถึงหน้าวัด " อุดมคีรีเขต " อีกครั้งพลันหูแว่วได้ยินเสียงดังมาจากเขตพุทธาวาสข้างใน

" อเสวนา จะพาลานัง ปัณฑิตานัญจะเสวนา ปูชาจะปูชะนียานัง
เอตัมมังคะละมุตตะมัง ปฏิรูปเทสะวาโส จะบุปเพจะกะตะปุญญตา "

เสียงใสแว่วนี้ทำให้พวกเขาทั้งสามต้องส่องสายตาหาต้นตอและก็พบกับเจ้าของเสียงซึ่งเป็นสามเณรรูปหนึ่งนั่งสงบเสงี่ยมมีหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในมือโดยมีสามเณรอีกรูปนั่งอยู่ข้างๆ มองดูแล้วยังรอยยิ้มให้กับพวกเขาทั้งสามเหมือนมีมนต์สะกดนิ่งของกุศลกรรมอันดีชักนำให้พวกเขาต้องยืนสงบมองดูด้วยสายตาเป็นประกายแฝงไปด้วยความศรัทธา



" ป๊ะเพิน... ฟ้าวกลับเข่าบ้านเถาะ เฮาหิวเข่าแล้วแหม่ะ " เสียงของจักรดึงความสงบภายในใจของขวัญกับไผ่หลุดออกมาจากภวังค์ จำต้องเดินตามจักรออกมาจากจุดนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อกลับเข้ามาถึงบ้าน สหายรักต่างคนต่างก็จัดการกับปากท้องของตนเองเป็นที่เรียบร้อยโดยมีจุดนัดหมายกันที่บ้านของขวัญเพื่อจัดการกับนกที่ยิงมาได้ พวกเขาใช้เวลาจัดการไม่นานนักก็สามารถถอนขนบรรดานกที่หามาได้เสร็จเรียบร้อยแต่ว่าก็จำเป็นต้องใช้ไฟลนตามตัวของนกเพื่อให้ขนเล็กนั้นดูเกลี้ยงเกลาอีกหน่อย ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องก่อกองไฟขึ้นโดยงานนี้เจ้าไผ่รับผิดชอบไป โดยมีทิดจวนพ่อของเจ้าขวัญคอยนั่งสังเกตุดูพวกเขาอยู่ห่างๆ

" พวกมึงพากันยิงมากะด้อกะเดี้ยเนาะ แต่ละมื้อบ่พากันเฮ็ดอีหยั๋งหายิงแต่นก กูว่านกแถวนี้สิดับแนวย้อนหมู่สูนี้หล่ะ หึหึ " ทิดจวนเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอยู่ในลำคอโดยที่นั่งซ่อมแซมข้องไปด้วย สายตาเหลือบมองดูพวกเขาทั้งสามนั่งจัดการกับนกแบบผู้ชำนาญงาน

" ออกโรงเรียนกะบ่มีหยั๋งเฮ็ดน้ออี๊พ่อ กะถ่าเฮ็ดแต่นาซอยเจ้า อยากเรียนกะบ่ได้เรียนแนวเจ้าบ่ไห่ผมเรียน จั่งซั่นกะไห่ผมบวชเรียนติหล่ะ " ขวัญเอ่ยกับพ่อของเขาภายในใจพลางนึกไปถึงสามเณรรูปนั้นอยู่จนต้องเผลอยิ้มออกมาด้วยความศรัทธาอยู่ลึกๆ

" เอ่อ...กะดีคือกันว่ะ พ่อเห็นเณรน้อยอยู่วัดเพินกะบวชเรียนหลายคือกันเด๊ะ หลวงพ่อพระครูเพินส่งไปเรียนจนได้ดิบได้ดีกะมีหลายคือกัน ไคกั่วพวกสูสิมาหายิงนกยิงกะปอมอยู่เลาะบ้านอยู่เด๊ะ อายุแค่นี้ซอยเวียกซอยงานกะบ่ทันได้ปานได๋ดอก หาร่ำหาเรียนคือสิเหมาะกั่วพ่อว่า " ทิดจวนบอกทำให้เจ้าขวัญผู้เป็นลูกชายถึงกับยิ้มออกมา

" ครับอี๊พ่อ ผมกะอยากเรียนครับแต่คันผมบวชกะต้องไห่เพินไผ่เพินจักรบวชนำกันพอได้มีหมู่แน " บอกพ่อแต่สายตากลับมองไปที่เพื่อนรักทั้งสอง

" เดี๋ยวค่อยคุยกันเพินขวัญ แต่ตอนนี้ซอยเฮาคิดก่อนว่าสิเฮ็ดแบบได๋กับเต่าโตนี้ดี " จักรขอความเห็นพร้อมจ้องมองดูเต่าเพ็กที่นอนสงบนิ่ง ซึ่งถูกจักรวางไว้อยู่ไกล้ๆกับเตาไฟ

" โตถามพ่อเฮาพุ้นเพินจักร เฮาบ่ฮู้แนวเฮ็ดดอก " ขวัญโยนออกไปให้พ่อช่วยคิด

" ลุงจวนเต่าเฮ็ดหยั๋งกินค่อยสิแซบลุง ผัดเผ็ดดีบ่ครับ ลุงเฮ็ดได้บ่ " ????????

" เฮ็ดเป็นอยู่ แต่กูบ่อยากฆ่าเต่าปานได๋ว๊ะ แต่ถ่าฆ่ามาแล้วกูสิเฮ็ดให่กินเองกะได้อยู่ " ทิดจวนบอกซึ่งในใจแกก็หมายความตามนั้นจริงๆ แม้เมนูผัดเผ็ดเต่าดูจะเป็นเมนูที่อร่อยแล้ว แต่คนโดยทั่วไปก็ไม่ค่อยที่จะนำเต่ามาทำเป็นอาหารเท่าใดนัก โดยเชื่อว่าเต่านั้นเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์และเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนยาวนั่นเอง

" บ่ยากดอกลุงจวน เดี๋ยวผมจัดการสำเร็จโทษไห่เอง " จักรบอกพร้อมกับก้มจับเอาเต่าที่นอนสงบนิ่งอยู่โดยหารู้ไม่ว่าชะตากรรมของมันตอนนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว โดยที่ทุกคนไม่คาดคิดเจ้าจักรโยนเต่าเพ็กตัวเขื่องเข้าเตาไฟทันทีทำเอาลุงจวน ไผ่และขวัญต้องสะดุ้งอ้าปากหวอมองค้างตาม เมื่อถูกความร้อนจากไฟการดิ้นรนหนีเอาตัวรอดก็เริ่มขึ้น เมื่อเต่าเริ่มโผล่หัวออกมาจากกระดองขาทั้งสี่ข้างของมันถูกใช้ในทันทีเพื่อนำตัวเองออกหนีจากเปลวไฟที่กำลังลุกโชน แต่การหนีตะเกียกตะกายเอาตัวรอดของมันนั้นดูจะไร้ค่าขึ้นมาทันที เมื่อจักรใช้ไม้เขี่ยมันกลับเข้าไปยังจุดเดิมอีกครั้งพร้อมกับใช้ไม้บีบกดเน้นน้ำหนักลงไปบนกระดองเพื่อไม่ให้เต่าคลานหนีออกมาได้ ท้ายสุดแล้วความร้อนที่แผดเผายังอานุภาพให้เจ้าเต่าชะตาขาดตัวนี้ต้องหมดเรี่ยวแรงที่จะดิ้นรนต่อสู้ได้ ค่อยๆปิดเปลือกตาลงเหมือนกับว่าน้ำตาหลั่งไหลออกมายอมรับชะตากรรมของตัวเองแบบน่าสงสาร จนไผ่และขวัญต้องเบือนหน้าหนีออกมาทันที

" อ่า....เพินจักร " เสียงขวัญครางออกมาเบาๆ ไม่มีคำพูดนอกเหนือจากนั้นเมื่อเห็นการกระทำของเพื่อนรัก นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาเห็นเพื่อนคนนี้โยนสิ่งมีชีวิตให้เปลวไฟเผาไหม้ตายทั้งเป็นแบบนี้ อนิจจา.... เวรกรรม...เวรกรรม...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น