จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 4

ตอน สายเลือดนักสู้แห่งทุ่งกุลา 1


บ้านโคกนาโก อำเภอ ป่าติ้ว


เมฆก้อนใหญ่สีดำทะมึนดูน่ากลัวคล้ายกับรูปปีศาจ ตั้งเค้าขึ้นทางด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้านยามเย็น ไม่นานเท่าไรนักสายลมก็โหมพัดกระหน่ำเหมือนกับว่ากำลังจะเกิดพายุทอร์นาโดขนาดย่อมๆ ต้นไม้โอนเอนโยบยาบไปตามกระแสของแรงลมดูแล้วน่ากลัวเหมือนกับว่ามันจะหักโค่นลงมา " ..ครื๊ดดด... แคร๊กก..แคร๊กกก.. " เสียงกิ่งฝรั่งที่ปลูกอยู่ข้างๆบ้านครูดกับแผ่นสังกะสีจนน่ารำคาญ สังกะสีบางแผ่นตะปูถอนออกเมื่อถูกสายลมที่รุนแรงเข้ามาปะทะจึงเปิงขึ้นเล็กน้อยแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ "..เปรี๊ยะ... ครืนนน....ครืนนน....ฮึ่มมมม..." แสงสุรีย์พร้อมเสียงร้องคำรามกึกก้องจนน่ากลัว ประหนึ่งเหมือนกับว่าเมขลาถือลูกแก้ววิเศษหลอกล่อให้รามสูรถือขวานวิ่งไล่ตามฟาดฟันลงเป็นระยะๆ เสียงลูกเล็กเด็กแดงร้องไห้ระงมวิ่งเข้ากอดแม่หาที่พึ่งด้วยความตื่นกลัวจนตัวสั่น ชาวบ้านไล่วัวไล่ควายจากท้องทุ่งนากลับเข้าบ้านเมื่อประเมิณสถานการณ์แล้วเห็นว่าไม่ค่อยจะปลอดภัยนัก ดอกผักแขยงส่งกลิ่นหอมคลุ้งลอยมาตามสายลม แม่บ้านเตรียมนึ่งข้าวควันไฟพวยพุ่งขึ้นจากเตาอยู่เป็นจุดๆ ส่วนพ่อบ้านเตรียมความพร้อมสำรวจหมอแบตเตอรี่สำหรับภาระกิจในยามค่ำคืนหลังจากที่ฝนเทกระหน่ำลงมาแล้ว และอีกไม่นานพวกเขาก็คงจะได้ทำอาชีพหลักของเขา อาชีพที่บรรพบุรุษยึดถือก่อร่างสร้างตัวทำมาแต่ในครั้งอดีตกาล

"... แอ๊บบบ....แอ๊บบบบ...แอ๊บบบบ...อ๊อบบบ...อ๊อบบ.." เสียงเขียดร้องคอรัสประสานเสียงดังระงมไปทั่วท้องทุ่งนา โห่ร้องดีใจไชโยรอสายฝนที่จะเทกระหน่ำลงไม่อีกกี่นาทีข้างหน้า ลูกอ๊อดกลุ่มใหญ่ว่ายน้ำเล่นยิ้มร่า เริงระบำกลางทุ่งนาดีใจรอเม็ดน้ำฝนที่จะมีเพิ่มขึ้นมาอีกเพื่อมันจะได้มีที่อาศัยลี้หลบภัยได้มากขึ้น เพื่อยังชีวิตของมันให้เติบใหญ่เข้าสู่วัยหนุ่มสาวเป็นเขียดเป็นกบต่อไปในวันข้างหน้า

"..อีนางเอ๊ย...อีนาง... แล่นไปซื้อเทียนบ้านลุงหนั่นมาไว้ไห่แม่แนไป๋จั๊กสองเล่ม ลังเทือไฟฟ้ามันดับพอได้ไต้แน คาพ่อเพินเอาไฟหม่อแบตออกไปไต้กบไต้เขียด " เสียงป้าดำร้องเรียกลูกสาววัย10ขวบ ซึ่งตอนนี้เธอกำลังวุ่นอยู่กับสมุดการบ้านของเธอ โดยที่เธอกำลังสปีดเร่งความเร็วให้เสร็จก่อนที่ฝนจะกระหน่ำลงมา

" จ้าแม่.... เหลือข่อเดียวนุชกะสิแล้ว ถ่าคาวนึง " เธอตะโกนต่อรองกับผู้เป็นแม่

" ไปเดี๋ยวนี้หล่ะอีนาง มื้ออื่นกะวันเสาร์มีเวลาตั้งหลาย เดี๋ยวฝนมันสิตกก่อนเร็วๆเลย //// บ๊า...ฟ้าห่าวลมแฮงคักแท้น้อ " กระตุ้นลูกสาวพร้อมกับพึมพำออกมาเมื่อเห็นสภาพอากาศในตอนนี้ เด็กน้อยวัยสิบขวบจำต้องผุดลุกขึ้นจากสมุดของเธอเข้าไปหาผู้เป็นแม่อยู่หน้าเตาไฟอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

" เอามาติ๊หล่ะ ขนมโก๋แก่นำห่อนึง อิอิ " บอกหัวเราะพร้อมกับแบมือไปยังแม่ ทำให้ป้าดำต้องหัวเราะออกมา

" มีค่าจ่งค่าจ้างดีแท้ดอกเนาะ ...เอ๋า... เอาเทียนเหล่มละบาทสองเล่ม เอ้อ!! ซื้อหัวเทียนหม่อแบตมาไห่พ่อเพินนำหัวนึงเด้อ ไป๋เร็วๆฝนสิตกก่อน " บอกลูกสาวและควักเอาเงินเหรียญสิบในกระเป๋าเสื้อยื่นให้ เมื่อได้สิ่งที่เธอต้องการแล้วก็วิ่งลงบันไดบ้านในทันทีจุดหมายของเธอก็คือบ้านลุงหนั่นที่อยู่ห่างไปประมาณสองร้อยเมตร

" อ้าวอีนางสิแล่นไปไสหน่ะ ฟ้าลมมันแฮ่งเป็นฮ้ายอยู่ " เสียงทิดนพพ่อของเธอร้องถาม ขณะกำลังเดินเข้าบ้านมากับนัทลูกชายวัย8ขวบหลังจากที่พึ่งต้อนฝูงวัวเข้าคอกที่บ้านยายหลังถัดกันไป

" นุชสิไปซื้อเทียนบ้านลุงหนั่นจ้าอี๊พ่อ " บอกพร้อมกับวิ่งแจ้นฝ่าสายลมที่พัดโถมแรง

" ไป๋... แล่นหันๆฝนสิตกแล้วอีนาง ฮ่าๆๆ โห้... แล่นดากมนมิ้งกิ้งเลยเว๊ย.. " ทิดนพร้องตะโกนตามหลังและหัวเราะลูกสาวออกมาเมื่อเห็นเธอใช้ความเร็วที่ถือว่าไม่ธรรมดาเลย



หลังจากนั้นไม่นานนักฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เหมือนกับว่าปลุกสรรพสิ่งให้ฟื้นชีพขึ้นมา เสียงเม็ดฝนกระทบกับแผ่นสังกะสีเสียงดังอึงมี่จนฟังไม่ได้ศัพย์บวกกับแสงฟ้าแลบเสียงฟ้าร้องคำรามดังกึกก้องมาเป็นระยะ ตอนนี้เป็นเวลา5โมงเย็นแต่สภาพภายบรรยากาศภายนอกแม้จะห่างออกไปแค่สิบเมตรก็ไม่สามารถจะมองเห็นได้ เนื่องจากสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาเหมือนกับฟ้ารั่วยังกับว่าเก็บกดอัดอั้นมาเสียนานยังไงยังงั้น

" แม้บาดหนิ เป็นได๋น้ออีนางมันสิฮู้จักควมหลบฝนอยู่บ้านลุงหนั่นก่อนบ่น้อเฒ่า //// บักหำเอากะคุมาต่งน้ำฝนใส่แอ่งน้ำกินไห่แม่แนเร็ว " เสียงป้าดำเอ่ยกับสามีก่อนจะเรียกใช้ลูกชายต่อ สายตาจ้องมองฝ่าสายฝนออกไปนึกเป็นห่วงลูกสาวเอาอย่างมาก

" ว้ายย...แง๊ๆๆ หมาน้อยอีแม่เปียกเหมิ๊ดเลย " เสียงของผู้ที่กำลังถูกพูดถึงวิ่งขึ้นบันไดบ้านมา สภาพเปียกโชกไปทั้งตัว

" คือบ่หลบฝนอยู่บ้านลุงหนั่นก่อนอีนาง ฟ้าวแล่นมาหยั๋ง บ่แม่นหัวเทียนหม่อแบตพ่อมึงเปียกน้ำเหมิดแล้วติ " ป้าดำถามเธอ ซึ่งสภาพเธอในตอนนี้เหมือนลูกนกตกน้ำ ไม่มีคำพูดจากปากเธอแต่รอยยิ้มของป้าดำก็เปิดกว้างขึ้นเมื่อเห็นเธอยื่นสิ่งที่ต้องการให้ มันถูกบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกกันน้ำเสียอย่างดี

" เหอะๆๆ มันฉลาดแต่น้อยเว๊ย อีนางหนิ " ++++++++++++

อาหารมื้อค่ำถูกจัดการไปพร้อมกับสายฝนที่ยังเทกระหน่ำลงมาปนกับเสียงฟ้าร้องจนดูน่ากลัว แต่ก็ดูเหมือนว่าระบบการไฟฟ้าของอำเภอป่าติ้วจะยังใช้การได้ดีอยู่ ยังเป็นแสงสว่างให้ที่พักพิงอุ่นใจในยามน่าสิ่วน่าขวานได้เป็นอย่างดี แม้จะเป็นอำเภอขนาดเล็กแต่การบริหารจัดการดูจะมีระบบจนน่าชื่นชม ผิดกับบางแห่งบางอำเภอที่แย่เอามากๆแค่ฟ้าร้องไม่กี่ทีก็ดับเอาดับเอาจนต้องมีคำเปรียบเปรยออกมาว่า " แค่สนุขเยี่ยวรดเสาไฟก็ยังดับเลย "

บ้านโคกนาโก เป็นหมู่บ้านและเป็นตำบลไปในตัวด้วย สาเหตุที่ชื่อโคกนาโก ก็เพราะตั้งตามชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่งทางภาคอีสานนั่นก็คือ ต้นตะโกนั่นเอง เนื่องจากเป็นหมู่บ้านที่มีขนาดใหญ่จึงต้องแยกออกเป็นสองหมู่คือ หมู่ที่4 และหมู่ที่12 โดยการปกครองของนายทรงฤทธิ์ ซึ่งเป็นกำนันประจำตำบลแห่งนี้นี่เอง และมีนายบุญน้อยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่4ช่วยดูแลอีกแรงนึงด้วย มีหมู่บ้านที่ขึ้นตรงต่อตำบลโคกนาโกถึง16หมู่บ้านทีเดียว อาชีพหลักของชาวบ้านแถบนี้ก็คือ เกษตรกรรมนั่นเองโดยอาศัยสายน้ำหลักที่ทอดยาวผ่านเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนวิถีการดำรงชีวิตนั่นก็คือ " ลำเซบาย "

" นุช " หรือเด็กหญิง ศิริกัญญานุช เด็กน้อยวัยสิบขวบสายเลือดอีสาน คือพยานตัวน้อยของทิดนพและป้าดำชาวบ้านโคกนาโกแห่งนี้ เขาทั้งสองคนฝากความหวังไว้และก็คิดไว้ว่าเมื่อเธอคนนี้เติบใหญ่ขึ้นมาจะต้องเป็นคนที่ขยัน ก้าวไกลต่อไปข้างหน้าด้วยความสามารถ โดยที่ทิดนพและป้าดำเองก็พร้อมจะสนับสนุนให้เธอเรียนได้แบบเต็มที่ ตอนนี้เธอกำลังนั่งให้ความสนใจกับหัวไฟที่พ่อของเธอทำการเปลี่ยนหัวเทียนใหม่โดยเจ้านัทน้องชายนั่งให้ความสนใจอยู่ข้างๆอีกคน

" อี๊พ่อสิออกไปได้เขียดตอนได๋หนิ " เสียงเธอเจื้อยแจ้ว เอียงคอจ้องมองเหมือนคนไฝ่รู้

" จักหน่อยนี้หล่ะอีนาง ฝนเริ่มสิเอี้ยน(ซา) แนแล้ว " เสียงพ่อของเธอบอก

" อีพ่อไปผู้เดียวบ่ย้านผีหลอกติ ผมได้ยินหมู่เว้าว่าแถวบ้านเฮามีผีหลอก " เจ้านัทถามด้วยความสงสัย

" บ่มีดอกบักหำเอ๊ย.. สิมีผีหลอกมาแต่ไสว๊า ตั้งแต่น้อยจนเฒ่าปานนี้แล้วพ่อยังบ่เห็นจักเทืออยู่ ฮ่าๆๆ " หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

" เสียงเขียดฮ้องคับท่งแล้วอีพ่อ นุชอยากกินปิ้งเขียดโม้โตใหญ่ๆคือสิแซบดีแหม่ะ " ยิ้มบอกพ่อ หลังจากฝนเริ่มซาเม็ดลงแล้ว ทำให้ได้ยินเสียงเขียดร้องก้องทุ่งนา ตอนนี้เริ่มจะมีแสงไฟอยู่เป็นจุดๆ

" เอาหล่ะ พ่อสิออกไปแล้ว อีนางไปเอาข่องมาไห่พ่อแนไป๋ " สิ้นเสียงบอก เด็กหญิงตัวน้อยแจ้นออกไปจากจุดนั้นเพื่อเอาสิ่งที่พ่อของเธอต้องการอย่างคนรู้ตำแหน่งทันที...


...เด็กหญิงตัวน้อยยืนมองตามหลังผู้เป็นพ่อที่กำลังเดินฝ่าสายฝนที่ตกลงมาปรอยๆ ในหัวใจกำลังพองโตหลับตานึกไปถึงกบตัวใหญ่ที่หอมกรุ่นอยู่บนเตาไฟในยามเช้า จนต้องเผลอยิ้มออกมา

" เข่านอนได้แล้วอีนาง บักหำเอ๊ย เดี๋ยวมื้ออื่นเซ้ากะได้เห็นดอก บ่ต้องไปถ่าพ่อเขาดอกกว่าเพินสิกลับเข่ามามันกะเดิกโพ้ดแล้ว นอนแล้วกะฝันเอาเลขโตดีๆมาบอกแม่แน มื้ออื่นเลขกะสิออกแล้ว เหอะๆ" เสียงป้าดำบอกลูกทั้งสองให้กลับเข้าที่นอนหลังจากผู้เป็นสามีลงจากบ้านไปได้ไม่นานนัก บ้านของป้าดำนั้นจะอยู่ติดกับทุ่งนาฉะนั้นแล้วในตอนนี้จึงสามารถมองเห็นแสงไฟอยู่หลายๆจุด เสียงกบเขียดร้องระงมกันทั่วท้องทุ่งนา เด็กหญิงและเด็กชายตัวน้อยละสายตาหันกลับมา และเดินกลับเข้าห้องนอนอย่างคนว่านอนสอนง่าย

" ไปนอนเอาแฮงไว้ มื้ออื่นแม่สิพาออกไปส่อนอีฮ๊วก ได้ยินป้าศรีเลาว่าฮวกกบมีแต่โตใหญ่ๆ " ป้าดำบอกตามหลังเธอ

" อีหลี๋ติแม่.. นุชอยากกินหมกอีฮวกกบโตใหญ่ๆแหม่ะ " เสียงใสตอบกลับออกมา

" เอ้อ...... หล่ะอยากเหมิดทุกอย่างเอาโล้ดเนาะ เหอะๆ จั่งแม่นมันมักกินคัก จักคือผู้ได๋ดอก " ป้าดำเอ่ยยิ้มๆ

" เอื้อยๆ... ให่ผมไปนำแนเด้อ " เสียงเจ้านัทอ้อนพี่สาวอยู่ข้างๆ

" ไปกะจั่งค่อยไป ตอนนี้บักหล่านอนก่อน ตื่นขึ่นมาค่อยถ่าไปเบิ่งกบโตใหญ่ๆอยู่ในกาละมังดำ " เธอบอกน้องชายพร้อมกับหลับตานึกไปถึงกบเขียดที่พ่อของเธอจะหามาได้ในคืนนี้ หลับสายตาพลางนึกไปยิ้มไปไม่นานนักเธอก็หลับไหลไปพร้อมกับรอยยิ้ม


" จับดีๆจับแหน่นๆอีนางมันสิหลุดมือ "
"คือโตใหญ่คักแถ่ะพ่อ นุชอยากกินปิ้งฮ้อนๆ "
" อึม.. เดี๋ยวแม่เขาสิเฮ็ดให่กินดอก "
" มันหันหน่ามายิ้มให่หมาน้อยอี๊พ่อนำแหม่ะ"
" หมาน้อยเอ๊ย.... กบไสน้อสิมายิ้มใส่คนว๊า"
" ว้ายย อี๊พ่อมันเยี่ยวใส่นุช "

" อีนางเอ๊ย... อีนาง... เข่าไปนอนบ่พอคาวจั่งได๋ได้นอนเพ้อเร็วแถ่ะ " เสียงป้าดำปลุกเธอพร้อมใช้มือจับตัวพลิกให้เปลี่ยนท่านอนตะแคงใหม่ ไม่มีอาการตื่นขึ้นมาแต่มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาแทน

" เอ๋า... อีนางหนิคือสินอนฝันดีคักเนาะ เหอะๆ.. โอ๊ยย... นอนน้ำลายไหลอีก คาแม่นใหญ่เป็นสาวขึ่นมานอนน้ำลายไหลแบบซี้สิบ่อายผู้บ่าวเบาะน้ออีนางเอ๊ยย " พึมพำปนรอยยิ้มและเดินออกมาจากห้องนอนของลูกทั้งสองคน




อากาศยามเช้าตรู่ดูสดชื่นเป็นพิเศษ หลังจากที่ฝนได้เทกระหน่ำลงมาช่วงค่ำเมื่อวาน และก็ยังตกปรอยๆอยู่ตลอดทั้งคืน ฟ้าในเช้านี้ก็ดูเหมือนจะยังไม่เปิดเท่าไรนัก ยังมีเมฆจับตัวกันเป็นกลุ่มดูเหมือนจะครึ้มได้อีกตลอดทั้งวัน เสียงข่าวยามเช้าดังแว่วมาจากบ้านของกำนันทรงฤทธิ์ แม้อากาศจะไม่อำนวยเท่าไรนัก แต่แกก็ยังปฏิบัติหน้าที่คอยส่งข้อมูลข่าวสารในที่ต่างๆให้กับลูกบ้านของแกได้รับรู้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด นกน้อยบินออกจากรังส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ด้วยความเบิกบานใจแข่งกับเสียงของนักข่าวที่รายงานมาเป็นระยะๆ " แป๊ะ... แป๊ะ.. " เสียงแม่บ้านหักไม้ลำปอ เพื่อจุดไฟตั้งหม้อนึ่งข้าวในยามเช้า ควันพวยพุ่งขึ้นอยู่หลายจุดหลายหลัง พ่อบ้านหลายคนก็แบกไถจูงควายมุ่งตรงสู่ท้องทุ่งนา คงจะถึงเวลาแล้วกับอาชีพของพวกเขา ฝนที่ตกลงมาดูมากควรแก่การลงมือได้แล้ว ชาวบ้านบางคนก็หว่านกล้าจนเขียวไปบ้างแล้วก็มี และเช้านี้ทิดนพเองก็ไม่พลาดเช่นกัน แกจูงควายของผู้เป็นแม่พร้อมกับแบกไถลงท้องทุ่งนาตั้งแต่เช้าตรู่

อากาศแสนเย็นสดชื่นทำให้เด็กหญิงตัวน้อยต้องนอนขดตัวม้วนเข้ากับผ้าห่มแบบคลุมโปง มองดูแล้วน่าหมั่นไส้นัก เพราะเธอเหลือช่องตรงจมูกไว้ให้ตัวเองได้หายใจได้สะดวกอยู่นิดนึง น้ำลายที่ไหลอยู่เมื่อคืนตอนนี้แห้งสนิทจนมองเห็นเป็นคราบ


" ..อ๊บ.. อ๊บ.. อ๊บ.. อ๊บ.. อึ่งงง)).. อ่างง)) แอ๊บบบ... แอ๊บบ.. " เสียงกบเสียงเขียดรวมไปถึงอึ่งดังก้องระงมอยู่นอกห้อง เป็นเสียงปลุกชั้นดีให้กับเธอในตอนนี้ เธองัวเงียตื่นขึ้นมาพร้อมกับเปิดผ้าห่มออก เงี่ยหูฟังให้ชัดขึ้น พลันรอยยิ้มก็ผุดขึ้นจนมองให้เห็นฟันสีขาว เด็กหญิงตัวน้อยหันไปสะกิดน้องชายที่นอนหลับไหลอยู่ข้างๆให้ลุกตามเธอขึ้นมาด้วย เมื่อออกมาจากห้องก็มองเห็นแม่ของเธอกำลังขลุกตัวอยู่ในครัว เธอจูงแขนน้องชายให้เดินตามไปตรงที่มีเสียงร้อง นั่นก็คือกาละมังสีดำใบใหญ่ที่วางอยู่ ข้างบนมีผ้าตาข่ายสีเขียวปิดคลุมไว้ เมื่อไปถึงรอยยิ้มของเด็กน้อยทั้งสองก็เปิดกว้างขึ้นเมื่อเห็นกบตัวใหญ่นับ10ตัวรวมไปถึงอึ่งและเขียดอีกหลายตัวแออัดอยู่ในกาละมังใบนั้น แสดงให้เห็นว่าฝีมือของทิดนพผู้นี้ไม่ธรรมดาเหมือนกัน

" อี๊แม่ปิ้งกบโตใหญ่ๆโตนี้เด้อ นุชขอหนังไว้เฮ็ดกลองน้อยนำ " เสียงเธออ้อนแม่แต่เช้าเลย

" เอาไปเฮ็ดกลองมันบ่อิ่มท้องเด๊ แม่ว่าเอาหนังไว้ทอดบ่ดีติอีนาง " ป้าดำให้ความเห็น

" นุชอยากได้ไว้ตีเหล่นยามคืนเนาะ เสียงมันม่วนดี " สิ่งที่เธอหมายถึงก็คือ กลองที่ใช้หนังกบทำ โดยใช้กระป๋องปลากระป๋องยี่ห้อต่างๆมาเปิดฝาออกทั้งสองด้าน แล้วเอาหนังกบที่ลอกออกมาปิดปากกระป๋องโดยดึงให้ตึงโดยจะใช้หนังยางมัดก็ได้ แล้วปล่อยตากแดดให้แห้งก็จะกลายเป็นกลองเล็กที่เราใช้ไม้เคาะดังเสนาะหูได้ดีเหมือนกัน

" จั่งได๋มื้อคืนนี้เข่าไปนอนบ่พอคาวก็เพ้อว่าหนิแหม่ะ ก่อนนอนอีนางกะหัดไหว้หัวบ่อนก่อนนอนแนแม๊ะ เอ้อ..ยกกาละมังเข่ามาให่แม่แน" เสียงแม่บอกเธอ

" นุชฝันว่าได้จับกบใหญ่แหม่ะอีแม่ ฝันว่าอีพ่อเลายืนให่ " เธอบอกและยืนกาละมังส่งให้แม่

" มันคิดเห็นว่าสิได้ปิ้งกบนำพ่อติ๊หนิ จั่งค่อยเก็บไปฝัน พากันไปหาล้างหน่าได้แล้ว เดี๋ยวแม่สิปิ้งกบสู่กินดอก " ป้าดำบอกเขาทั้งสองคนพร้อมใช้มือเข้าไปจับเจ้ากบตัวใหญ่ชะตาขาดขึ้นมา และเจ้ากบตัวใหญ่นี้แหล่ะมันพร้อมจะเป็นเมนูอันแสนอร่อยของครอบครัวเล็กๆครอบครัวนี้ในยามเช้า

แม้จะเป็นเวลาสายมากแล้วแต่อากาศก็ดูเหมือนจะไม่ร้อนเอาเสียเลย เนื่องจากฟ้ายังไม่เปิด ยังดูครึ้มฟ้าครึ้มฝนอยู่นั่นเอง กับข้าวมื้อเช้าเสร็จสิ้นไปด้วยความอร่อย ทิดนพเองก็กลับเข้ามากินข้าวที่บ้านเอง เนื่องจากทุ่งนาของแกอยู่ไม่ห่างจากบ้านเท่าไรนัก การไถในครั้งนี้เป็นการไถตระเตรียมดินเฉยๆเพื่อพลิกหญ้าและวัชพืชต่างๆให้จมเน่าในน้ำนั่นเอง หลังกินข้าวเช้าเสร็จแกก็ต้องกลับออกไปไถต่ออีก ตอนนี้เด็กหญิงตัวน้อยและน้องชายของเธอดูจะเตรียมตัวพร้อมแล้วสำหรับการปฏิบัติการออกล่าลูกอ๊อดที่แม่เขารับปากไว้แต่เมื่อคืน จุดหมายก็คือทุ่งนาแถบไกล้ๆบ้านนี้เอง แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งสองกำลังยืนรอผู้เป็นแม่อยู่ ป้าดำแกกำลังยืนคุยกับชาวบ้านโคกนาโกหมู่ที่4 อยู่ มองดูแล้วเหมือนว่าชาวบ้านคนนั้นจะส่งกระดาษแผ่นเล็กให้แกโดยที่แกส่งเงินคืนเป็นการแลกเปลี่ยน






แม้วันนี้ ศิริกัญญานุช จะต้องเหนื่อยล้ากับการเดินลากผ้าตาข่ายที่เป็นอุปกรณ์ในการจับลูกอ๊อด แต่เธอก็ไม่เคยบ่น แม้จะเป็นเด็กตัวเล็กๆแต่ความทรหดอดทนดูจะเต็มเปี่ยมด้วยสายเลือดของนักต่อสู้ของลูกอีสาน รอยยิ้มที่ปนไปด้วยความเหนื่อยยังมีให้เห็นหลังจากที่เธอก้มมองลูกอ๊อดที่ช้อนมาได้มากมาย โดยมีเจ้านัทน้องชายเป็นคนถือครุน้ำไว้ใส่เดินตามหลังต้อยๆ ใช้เวลาแค่สองชั่วโมงก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับวันนี้ และเมื่อกลับมาถึงบ้านสิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือจัดการเอาสิ่งที่อยู่ข้างในออกจากตัวลูกอ๊อดออกให้หมดจด เพื่อความสะอาด สำหรับเตรียมความพร้อมที่จะทำเมนูแห่งความอร่อยได้หลายอย่างเลยทีเดียว ความเหนื่อยล้าของเธอวันนี้ดูจะมีมากเป็นพิเศษ แม้เพื่อนๆของเธอจะวิ่งตามไปเล่นที่ศาลากลางหมู่บ้าน ที่เธอเคยไปวิ่งเล่นอยู่เป็นประจำก็ต้องถูกเธอปฏิเสธไป
เมื่อความเหนื่อยล้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่นานนักความหลับไหลก็เข้ามาแทนที่เป็นกำไร ศิริกัญญานุชเผลอหลับไปจนเกือบเย็นก็พลันสะดุ้งตื่นด้วยการปลุกของผู้เป็นแม่ เมื่อเธอมองตาตื่นขึ้นมาก็รู้สึกงงกับสิ่งที่เธอเห็น เธอเห็นรอยยิ้มเปิดกว้างของผู้เป็นแม่ แถมแม่ของเธอยังใจดียื่นเงินให้ด้วย20บาท จนเธอต้องงวยงง

" บ่ต้องงงดอก ...เอ๋าแม่ไห่ไว้ซื้อหนม แม่ถืกเลข20บาท ถืกเลขสามโต10บาท ถืกเลขสองโตอีก10บาท เขาเอาเงินมาจ่ายไห่แม่หว่างหั่น " ป้าดำบอกพร้อมกับยิ้มกว้าง

" อีแม่ถืกเลขโตได๋ ได้เลขมาแต่ไส " เธอถามแม่งงๆแต่ก็ปนไปด้วยความดีใจ

" เลขมันออก 159 แม่ตีเอาจากอีนางฝันนั้นหล่ะ" ป้าดำบอกพร้อมกับยิ้มมองดูลูกสาวด้วยความเอ็นดู......



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น