จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 5

ตอน กุศลกรรม 1

..การกระทำความดีที่สมบูรณ์แบบนั้น ต้องทำให้ครบวงจร คือ ดีทั้งเหตุ ดีทั้งผล และทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างได้รับผลดี เช่น ในการปล่อยสัตว์ ผู้ปล่อยก็ได้บุญ คือ รู้สึกดีใจชื่นใจที่ตนได้ทำความดี สัตว์ที่ถูกปล่อยก็ดีใจที่มีชีวิตรอดพ้นจากความตาย หรือพ้นจากการจองจำ.


..ท้องนภาพร่างพราวสว่างไสวไปด้วยมวลของหมู่ดาว ทอแสงแวววาวระยิบระยับตระการตา ประหนึ่งดังทวยเทพเทวาเสกสรรปั้นแต่งแต้มด้วยอำนาจแห่งมนต์ มองเห็นกลุ่มดาวลูกไก่7ดวงจับกลุ่มรวมตัวกันเหมือนกับว่าแม่ไก่คอยคุ้มครองปกป้องลูกน้อยทั้ง6 ด้วยความรักความห่วงใย คอยคุ้ยเขี่ยอาหารหลอกล่อไม่ให้ลูกทั้ง6เดินหนีแยกตัวออกจากกลุ่ม ห่างไปไม่ไกลนักมองเห็นดาว3ดวงอยู่ตำแหน่งไกล้ๆกันมองดูแล้วคล้ายดังกับว่าเป็นรูปของไถ เยื้องกันไปอีกฟากฝั่งนภากาศ มองเห็นดาวประกายพรึกหรือดาวรุ่งดวงใหญ่ทอแสงสว่างไสวอยู่ทางด้านทิศตะวันออก เสียงไก่ขันดังก้องกังวานเพื่อบอกเตือนให้รู้ว่าอีกไม่นานนักเช้าวันใหม่ก็จะเข้ามาเยือน เสียงเขียดน้อยร้องแว่วแผ่วเบาเหมือนกับว่าเหนื่อยล้าอ่อนกำลังหมดเรี่ยวแรงมากับการทำหน้าที่ร้องขับขานมาตลอดทั้งคืนและอีกไม่ช้าก็คงจะเงียบเสียงไปในที่สุด แต่ระยะทางของกาลเวลายังเดินหน้าทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่เคยหยุดหรืออ่อนล้าเอาเสียเลย

.. เพียงไม่นานสักเท่าไรนักแสงของเช้าวันใหม่ก็เริ่มฉายขึ้น ท้องนภาค่อยๆเปลี่ยนสีจากความมืดมิดของรัตติกาลทะยานสู่ความสว่างไสวแห่งแสงสุริยะ หลังจากนั้นท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยแสงสีทองอร่ามตาดูน่าชมน่าพิศมัยยิ่ง ผืนดินแห่งทุ่งอีสาน ดินแดนแห่งวัฒนธรรม อารยะ ขนบธรรมเนียมที่เป็นเอกลักษณ์อยู่ในตัว คือเสน่ห์แห่งมนตราที่นำพาทุกอณูแห่งความรู้สึก ที่ล้ำลึก ดูดด่ำ เมื่อได้มาสัมผัสกับแก่นแท้ของดินแดนแห่งอารยะ

..เสียงนกน้อยร้องเซ็งแซ่ โผผินบินออกจากรังเพื่อหาอาหารยังชีพของมันตามวัฏจักรของสิ่งมีชีวิต อากาศยามเช้าดูแสนสดชื่นนัก ท้องทุ่งนาดูเขียวขจีเต็มไปด้วยต้นข้าวที่กำลังสวยงาม ตอนนี้ถูกน้ำค้างเกาะเรียวใบดูเป็นศิลปะอีกแขนงให้เห็นจนเพลิดเพลินตา และต้นข้าวเหล่านี้ก็กำลังทำหน้าที่เติบโต เพื่อให้ชาวนาได้เก็บไว้กินอิ่มท้องเลี้ยงชีพของพวกเขาเฉกเช่นเดียวกัน

เสียงหอกระจายข่าวยามเช้าจากบ้านของกำนันชมก็ยังดังให้ได้ยินอยู่เป็นประจำในทุกๆเช้า เพื่อเป็นการสื่อสารให้ลูกบ้านของแกได้รับรู้ข่าวสารการบ้านการเมืองรวมไปถึงข่าวภูมิภาคต่างๆ แม้ระยะนี้จะเป็นช่วงเข้าพรรษาและชาวบ้านหนองนางามเองก็แล้วเสร็จจากภาระกิจการปักดำกันหมดแล้ว แต่ชาวบ้านแถบนี้ก็ยังมิวายที่จะตื่นเช้าอยู่ดี คงเป็นปรกติวิสัยของพวกเขาที่ถูกปลูกฝังมาช้านานจนต้องกลายเป็นว่าเคยตัวไปเสียแล้วนั่นเอง


.....มิ๊งง..))..... มิ๊งง....))).... มิ๊งง....))))....มิ๊งงง....)))))...มิ๊งงง...)))))...

เสียงระฆังดังแว่วมาจาก วัดอุดมคีรีเขต ก้องกังวานเสนาะหูเป็นลีลาจังหวะในการเคาะ โดยฝีมือของสามเณรไผ่ศธร เป็นสัญญาณบอกบุญให้แก่ชาวบ้านหนองนางามได้เตรียมความพร้อมในการเริ่มทำสิ่งดีๆอันเป็นบุญกุศลให้เกิดขึ้นภายในจิตใจในตอนเช้า ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติสิ่งต่างๆในแต่ละวันต่อไป

" ใยเอ๊ยใย ควดเข่าให่แม่แนหล่า เดี๋ยวเข่ามันสิสุกบ่ทันไปจังหันน้องเณรเด้ " เสียงป้าไหมดังแว่วมาจากนอกบ้านบอกลูกสาวให้กลับด้านข้าวที่นึ่งอยู่บนเตาไฟ ตอนนี้แกกำลังนั่งเอาใบหม่อนให้กับตัวไหมกิน โรงเรือนที่แกเลี้ยงไหมนี้ถูกทำขึ้นมาด้วยฝีมือของแกเอง ชั้นไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกตีเป็นช่องให้พอเหมาะสำหรับสอดกระด้งเข้าไปวางสามารถรองรับกับกระด้งได้เกือบสามสิบใบเลยทีเดียว มันถูกวางตั้งไว้อย่างแข็งแรง โดยที่ขาโต๊ะทั้งหมดป้าไหมจะรองด้วยภาชนะดินเผาขนาดเล็กที่เป็นแอ่ง เติมน้ำเข้าไปเพื่อป้องกันมดแมลงหรือสิ่งต่างๆที่เป็นศัตรูของตัวไหมแก เรียกว่ามดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยก็ว่าได้ เพราะนี่คืออาชีพเสริมที่สร้างรายได้ให้กับแกอย่างเป็นล่ำเป็นสันเลยเชียว

" อีแม่สิไปใส่บาตรหรือไปวัดเองเลยหล่ะ " สายใยถามขึ้นหลังจากที่เดินเข้าไปทำตามจุดประสงค์ของผู้เป็นแม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว

" แม่สิไปวัดเองดอก ไปหาซื้อปลาทูมาทอดให่น้องเณรแนไป๋หล่า ซี้อเอาขนมตะโก้แนวน้องมักมานำแนเด้อ เดี๋ยวจักหน่อยแม่กะเกียม้อนแล้วดอก " ปากบอกลูกสาวแต่มือยังสาละวนอยู่กับการจับใบหม่อนวางทับลงไปบนตัวไหม

" อ้ายนันเจ้าอัดน้ำป่องอยู่คูหลุมดีบ่หล่ะ บ่แม่นมันฮั่วอีกแล้วติอ้าย แบกบักจกออกไปส่องเบิ่งอีกแนไป๋ " เธอเอ่ยกับสามีขณะเดินออกจากบ้านเพื่อไปร้านค้าบ้านลุงมวลที่อยู่ห่างกันไปไม่ไกลนัก

" เอ้อ... อ้ายสิออกไปเบิ่งเดี๋ยวนี้หล่ะ ฟ้าวไปฟ้าวกลับมาแนหล่ะมันสิบ่ทันจังหันเด้ " ตอบกลับพร้อมกับเดินไปเอาจอบที่วางอยู่ข้างบ้านเดินออกไปทุ่งนาอย่างคนว่าง่าย







เนื่องจากบ้านหนองนางามเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ การบิณฑบาตจึงต้องแยกออกเป็น3สาย เพื่อให้ทั่วถึงกับศรัทธาของชาวบ้าน โดยที่คุ้มด้านทิศตะวันออกตอนนี้สามเณรขวัญชัยและสามเณรไผ่ศธรเดินอุ้มบาตรเดินตามหลัง โดยมีหลวงพี่สองรูปเดินนำหน้า คุ้มเหนือก็เป็นหลวงพ่อพระครูฯพร้อมด้วยพระลูกวัด2รูปและก็สามเณรอีกหนึ่งนั่นก็คือ สามเณรวีระจักรนั่นเอง ส่วนทางคุ้มใต้ก็มีพระสองรูปและสามเณรอีกสองรูปเช่นกัน เนื่องจากที่เป็นสามเณรรูปร่างเล็ก เวลาอุ้มบาตรแล้วจึงเป็นภาพที่เห็นแล้วชวนให้เกิดรอยยิ้มแก่บรรดาญาติโยมที่คอยมาใส่บาตร

" อุ้มไหวบ่น้อพี่เณร อุ้มดีๆเด้อขอรับ บาตรสิหลุดมือเด้ " บ่อยครั้งที่จะได้ยินเสียงแซวจากชาวบ้านจนสามเณรไผ่ศธรต้องยิ้มตอบกลับไปและครั้งนี้ก็เช่นกัน

" ไหวอยู่ครับโยมน้าติ่ง บ่หลุดดอกครับกอดไว้แหน่นอยู่ " ตอบด้วยอาการสำรวม ใบหน้าคล้ายอิ่มบุญน่าชวนมอง

" แต่ว่ามื้อนี้เลขออก บ่ได้โตดีโผดผายแนบ่น้อขอรับ" ไม่มีคำตอบ สิ่งที่โยมน้าติ่งได้รับกลับไปก็คือรอยยิ้มนั่นเอง

" เณรขวัญย่างดีๆเด้อ ข่างหน่ามีบวกน้ำอยู่หน่อยนึง " สามเณรไผ่ศธรบอกสามเณรขวัญชัยเพื่อนรักที่เดินตามหลังมาระวังกับแอ่งน้ำขนาดเล็กที่อยู่ข้างหน้า

" อื้อ.. เฮาระวังอยู่เพิน " ตอบกลับไป แม้จะบวชเป็นสามเณรแล้วแต่ด้วยที่เป็นเพื่อนสนิทคำพูดที่เคยพูดมาแต่ไหนแต่ไรจึงดูจะยังติดปากอยู่แบบนี้เรื่อยๆ ในแต่ละเช้าดูเหมือนว่าชาวบ้านที่ฝักใฝ่ในบุญกุศลคอยทะนุบำรุงพระศาสนาดูจะมีมากมายจนน่าปลื้มใจ หมู่บ้านที่ดีที่จะเจริญก้าวหน้าไปได้ไว ก็จำเป็นต้องมีวัดดีพระดีคอยชี้แนะปลูกฝังทางด้านคุณธรรม ส่วนวัดที่จะเจริญไปได้อยู่ได้ก็ต้องมีบ้านและมีศรัทธาอันแรงกล้าของชาวบ้านคอยช่วยเหลือทะนุบำรุงด้วยเช่นกันจึงจะอยู่รอด สรุปแล้วต่างฝ่ายก็ต้องคอยช่วยเหลือประคับประคองกันทั้งสองฝ่ายดังมีคำกล่าวไว้ว่า

" วัดจะดีมีหลักฐานเพราะบ้านช่วย
บ้านจะสวยเพราะมีวัดดัดนิสัย
บ้านกับวัดผลัดกันช่วยก็อวยชัย
ถ้าขัดกันก็บรรลัยทั้งสองทาง "

การเดินบิณฑบาตผ่านมาเรื่อยๆจนผ่านมาถึงหน้าบ้านที่ตัวเองเคยพักอาศัย พลันรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาจากใบหน้าอันกลมมน เมื่อสายตามองไปเห็นโยมพี่สาวที่นั่งพนมมืออยู่หน้าบ้าน

" น้องเณร เดี๋ยวแม่เลาสิออกไปวัดพุ้นหล่ะจ้า " เสียงโยมพี่สาวดังแว่วเข้าหูสามเณรไผ่ศธร ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปาก แต่มีรอยยิ้มปนทะเล้นนิดๆผุดขึ้นมาแทน พร้อมกับเดินก้มหน้าด้วยอาการสำรวม จนสายใยอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นอากัปกิริยาของน้องชาย..




วัดอุดมคีรีเขต ถือเป็นวัดที่มีความสงบเงียบและร่มรื่นเป็นยิ่งนัก เพราะภายในวัดแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่อยู่มากมายหลายชนิด ซึ่งทางหลวงพ่อท่านพระครูฯ ท่านได้นำพระภิกษุสามเณรและชาวบ้านร่วมกันปลูกขึ้นมาเป็นประจำทุกๆปีมิได้ขาด ตอนนี้บริเวณวัดต่างเต็มไปด้วยต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขา ให้ร่มเงาแก่พระภิกษุสามเณรภายในวัดรวมไปถึงบรรดาชาวบ้านเหล่าพุทธศาสนิกชนผู้ใจบุญทั้งหลายที่ผ่านไปผ่านมา อีกทั้งต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ยังช่วยเป็นที่พำนักพักอาศัยให้กับบรรดาเหล่านกน้อยหลากหลายสายพันธุ์ได้อาศัยเป็นที่หากินและหลับนอน โดยจะเห็นอยู่มากมายในช่วงเวลาพลบค่ำที่พากันส่งเสียงร้องเซ็งแซ่

ซึ่งก็นับว่าพวกมันตัดสินใจเลือกที่พำนักได้ถูกที่เป็นยิ่งนักเพราะสถานที่แห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารของพวกมัน โดยที่ข้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่มีต้นไทรอยู่หลายต้นทีเดียว และเนื่องด้วยทางวัดเป็นเขตอภัยทานจึงทำให้บรรดาชาวบ้านไม่กล้าที่จะล่วงล้ำเข้ามายิงหรือทำอันตรายกับพวกนกเหล่านี้ได้ จึงทำให้พวกมันต่างพากันบินเข้ามาอาศัยร่มเงาพึ่งใบบุญกับสถานที่แห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยส่วนมากก็น่าจะบินมาจากภูเม็ง ภูเขาลูกใหญ่ซึ่งอยู่ห่างจากวัดแห่งนี้ไปไม่ไกลเท่าใดนัก

โดยทางหลวงพ่อพระครูฯท่านก็ให้ทางพระลูกวัดเขียนป้ายขนาดใหญ่ติดไว้อย่างชัดเจนว่า เขตอภัยทาน ซึ่งแปลความหมายง่ายๆแบบที่ชาวบ้านเราเข้าใจก็คือสถานที่หรือบริเวณการให้ชีวิตการให้อภัยเป็นทานนั่นเอง นอกจากนั้นก็ยังมีป้ายต่างๆที่ติดอยู่ตามต้นไม้ใหญ่เรียงรายอยู่ทั่วไป เพื่อให้เป็นแง่คิดหรือคำสอน คำเตือนสติเตือนใจแก่พุทธศาสนิกชนที่ผ่านเข้ามาได้อ่าน เก็บซึมซับ เพื่อเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตประจำวันด้วยความไม่ประมาทนั่นเอง


" ..แป๊ง.. แป๊งง..... แป๊ง.. แป๊งง..... แป๊ง.. แป๊งง.. "

เสียงระฆังลูกเล็กดังแว่วกังวานมาจากบนศาลาการเปรียญหลังใหญ่ เป็นการสื่อความหมายให้กับพระภิกษุ-สามเณร ภายในวัดอุดมคีรีเขตได้รู้ว่า ขณะนี้การจัดเตรียมสำรับภัตตาหารเช้าได้พร้อมเสร็จสรรพแล้วและขอนิมนต์ทุกรูปพร้อมกันบนศาลา

" เณรจักร..เณรขวัญ..โตห่มผ้าแล้วฟ้าวแล่นนำเฮาไปเด้อ เฮาสิฟ้าวขึ่นไปหาโยมแม่เพินก่อน " เสียงสามเณรไผ่ศธรบอกเพื่อนรักทั้งสองหลังจากที่ตัวเองห่มผ้าเสร็จเรียบร้อยก่อนแล้ว พลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดกุฏิตรงไปยังศาลาการเปรียญหลังใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ซึ่งตอนนี้ทางหลวงพี่และสามเณรยังไม่ได้ลงมาจากกุฏิเลยสักรูป ...และเมื่อสามเณรไผ่ศธรเดินขึ้นไปบนศาลาการเปรียญหลังใหญ่ก็ต้องเจอกับรอยยิ้มของผู้เป็นแม่ที่นั่งจ้องมองตั้งแต่เห็นเขาแว๊บแรกแล้วรวมไปถึงญาตโยมอีกนับสิบคน จนต้องก้มหน้าซ่อนแววตาอันแสนซนที่ปนไปด้วยรอยยิ้มออกมา

" ตั้งแต่มาบวชเป็นเณรน้อยอยู่วัดฮู้สึกว่าสิขี่ฮ้ายโตขึ่นหลายเนาะป้าไหม เบิ่งหน่าเบิ่งแก้มเลาแนเต็มจุ้มบุ้มอยู่ เป็นตาฮั๊กกะด้อ " ป้าอ้อยเอ่ยเบาๆกับป้าไหมสายตาจับจ้องไปที่สามเณรไผ่ศธรอีกคู่ ทำให้ผู้ที่ถูกกล่าวขวัญถึงต้องก้มหน้ายิ้มแบบอายๆหนักเข้าไปกว่าเดิมอีก เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังถูกจ้องมองนึกจะดึงชายผ้าจีวรที่ตัวเองห่มอยู่ขึ้นมากัดเล่นสักหน่อยเพื่อแก้เขินก็ดูกระไรอยู่ แต่ก็ตัดสินใจเดินก้มหน้าเข้าไปหาผู้เป็นแม่พลางเอ่ยเบาๆด้วยอาการสำรวม

" โยมแม่อย่าฟ้าวกลับบ้านเด้อ ให่ผมฉันเข่าแล้วก่อน " และเดินยิ้มก้มหน้ากลับไปนั่งที่ประจำ

" เห็นลูกแบบซี้แล้วกะมีแฮงใจอยู่เลิกๆ คันพ่อเขายังอยู่ได้เห็นลูกซายคองผ้าเหลืองแบบซี้เลากะคือสิดีใจคักอยู่คือกัน ตั้งแต่บวชมากะฮู้สึกว่าเณรเพินเปลี่ยนไปจากเก่าหลาย บ่ค่อยปากค่อยเว้าอยากอายเป๊นเป็น " พลางนึกไปถึงผู้เป็นสามีที่จากไปแบบไม่มีวันหวนคืนกลับ ...หลังจากนั้นสักพักสามเณรขวัญชัยและสามเณรวีระจักรก็ตามขึ้นมาทำให้สามเณรไผ่ศธรต้องผ่อนคลายสีหน้าลงไปบ้าง เมื่อสายตาของโยมแม่และโยมป้าอ้อยหันไปให้ความสนใจกับเพื่อนรักทั้งสองแทน เมื่อหลวงพ่อพระครูและหลวงพี่รวมถึงสามเณรทุกรูปมาพร้อมกันหมดแล้ว บาตรและสำรับภัตตาหารก็ถูกยกมาวางไว้ประจำตรงหน้า ที่พระภิกษุแต่ละรูปนั่งอยู่ แต่จะต่างหน่อยก็ตรงสามเณรเพราะสามเณรไกรลาศกับสามเณรสุทัศน์ต้องฉันร่วมกัน และ3สามเณรเพื่อนรักต้องตีวงหันหน้าฉันข้าวสำรับเดียวเช่นกัน

การให้พรญาตโยมที่มาถวายภัตตาหารยามเช้าผ่านพ้นไปแล้ว ป้าไหมต้องนั่งรอให้สามเณรไผ่ศธรลูกรักฉันข้าวเสร็จก่อนซึ่งก็มีชาวบ้านหลายคนที่นั่งอยู่เป็นเพื่อนเพื่อคอยที่จะล้างถ้วยจานสำรับใส่กับข้าวหลังจากที่พระภิกษุสามเณรฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วนั่นเอง






" โยมแม่มื้อคืนนี้ผมฝันเห็นพ่อ " เสียงสามเณรไผ่ศธรดังขึ้นหลังจากที่ปลีกตัวเดินลงมาจากศาลาหลังใหญ่เข้าไปหาแม่ของเขาที่นั่งอยู่ข้างกำแพงวัด โดยข้างกำแพงมีอักษรชื่อตัวใหญ่เขียนไว้ชัดเจนว่า นายไกร แม้นมัญจา ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ป้าไหมแกจะต้องมาเป็นประจำหลังจากที่ทำบุญใส่บาตรรับศีลรับพรเสร็จแล้ว เพื่อกรวดน้ำอุทิศผลบุญให้ผู้เป็นสามีที่ล่วงลับไปนั่งเอง

" ลูกเณรฝันเห็นพ่อเขาจั่งได๋หล่ะ " ?????

" ผมฝันว่าอี๊พ่อเพินมาหาอยู่บ้านเฮา พ่อเลาย่างขึ่นมาเทิงบ้านแล้วกะยิ้มให่ผม เบิ่งแล้วคล้ายๆว่าเลาสิดีใจอีหยั๋งอยู่จักอย่างนี้หล่ะโยมแม่ " พลางครุ่นคิดถึงความฝันตัวเองเมื่อคืน

" พ่อเขาดีใจที่เห็นลูกซายห่มผ้าเหลืองหล่ะหว๋าลูก บ่แม่นต๊ะพ่อเขาสิดีใจดอก แม่เองหรือว่าเอื้อยใยกะดีใจคือกัน ลูกเณรตั้งใจท่องหนังสือตั้งใจเฮียนเด้อ แม่นั่งฟังเสียงเทศน์อยู่เทิงศาลาเสียงใสแจ๋วเอาโล้ด เก่งแล้ว " บอกยิ้มๆ

" ครับโยมแม่ แต่ตอนนี้ผมกะท่องหลายคักอยู่เทิงต้องท่องคำสวดมนต์ที่ต้องใช้ หลวงพ่อพระครูใหญ่เพินขีดวงไว้ให่ว่าต้องใช้อันใด๋แน เบิ่งแล้วกะหลายกะด้อ อีกจักหน่อยผมกะสิได้ไปเข้าห่องเรียนอีกแล้วครับแต่อันนี้กะดีอย่างว่าหลวงพี่กัณหาที่เพินสอนเพินใจดีหลายแถมมีแนวเว้าให่หัวร่อพ้อม " สามเณรตัวเล็กหมายถึงการเรียนนักธรรมตรีที่ทางหลวงพ่อพระครูฯจัดสถานที่เรียนขึ้นที่ศาลาหลังเล็กข้างๆกุฏิโดยมอบหมายให้หลวงพี่กัณหาเป็นผู้สอนซึ่งจะมีสอนทั้งหลักสูตรนักธรรมตรีและธรรมโทด้วย เมื่อเรียนจบแล้วในช่วงเดือนพฤศจิกายนก็ต้องเข้าสนามสอบที่วัดในตัวอำเภอต่อไป

" ยามมื้อแลงพากันหิวเข่าแนบ่หล่ะ อย่าพากันไปหาลักกินเข่าแลงเด้อลูกมันสิบาปเอาเด้ " ยิ้มมองลูกชายด้วยความเอ็นดู

" หิวแต่กะอดได้อยู่ครับ คิก.. คิก.. ผมมีโอวัลตินไมโลที่โยมเพินนำมาถวายหลวงพ่อพระครูใหญ่อยู่ ยามแลงพากันเสียบกาน้ำฮ้อนซงกินแก้หิวเข่าได้อยู่โยมแม่ " บอกด้วยอาการใสซื่อ

" คันเหมิดหรือว่าบ่มีฉันกะบอกแม่เด้อแม่สิซื้อมาถวาย อย่าไปอดเด้อหล่ะเดี๋ยวสิเป็นโรคกระเพาะเอาได้ แม่กลับก่อนลูกเณรม้อนแม่กำลังใหญ่ ตอนนี้แม่กะกำลังยากนำหาเก็บมอญมาเกียอยู่ "

" ครับ.. โยมแม่กลับสาผมกะสิไปเตรียมโตเข่าห่องเรียนก่อน การบ้านหลวงพี่กัณหาให่มามื้อวานยังบ่แล้วอยู่สองข่อ " เอ่ยยิ้มๆ

สามเณรตัวน้อยยืนมองตามหลังผู้เป็นแม่ที่เดินห่างออกไปจนลับสายตา พร้อมกับคิดในใจว่าจะต้องตั้งมั่นปฏิบัติตัวเองไปในทางที่ดีเพื่อให้แม่ของเขาได้ภูมิใจ แม้ชีวิตของเขาจะเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนและแร้นแค้นแต่สิ่งหนึ่งที่ตัวเขาได้รับและถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็คือความรักความอ่อนโยนและความอดทนที่แม่เขาเป็นผู้ที่มอบให้มา และเขาจะต้องทำให้แม่ของเขาได้เห็นว่าแม้เขาจะไม่มีโอกาสมากมายเหมือนอย่างคนอื่นๆทั่วไป แต่เขาก็สามารถสร้างรอยยิ้มให้กับแม่ของเขาได้เช่นกัน และเขาเองก็เชื่อว่าแม่คงจะไม่ต้องการอะไรมากมายนักนอกจากเห็นเขาเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นคนที่ดีไม่สร้างความเดือนร้อนให้ใคร รอยยิ้มผุดขึ้นเมื่อสมองนึกไปถึงแต่สายตากลับหันไปมองที่ข้างกำแพงพร้อมกับพูดเบาๆออกมา

" โยมพ่อนำเบิ่งนำแยงผมแนเด้อครับ "

สามเณรตัวน้อยยืนสงบนิ่งมองกำแพงวัด หัวใจปนไปด้วยความสุขอยู่ลึกๆเหมือนกับว่าที่กำแพงแห่งนี้เป็นเสมือนเกราะแก้วที่คอยปกป้องคุ้มครองคอยกำบัง คอยเติมพลังให้แรงใจดวงน้อยๆดวงนี้ได้ก้าวเดินหน้าต่อไปด้วยความเข้มแข็งอย่างไม่ย่อท้อ แม้จะไม่มีเสียงตอบรับกลับมาแต่ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้ช่างเหมือนกับว่าพ่อของเขายืนยิ้มให้และพร้อมที่จะเดินเคียงข้างเขาตลอดไป

" เณรไผ่.... เณรไผ่... การบ้านบ่ทันแล้วฟ้าวมาเร็วๆ พอให่เฮาลอกนำแน " เสียงสามเณรวีระจักรร้องเรียกพร้อมกับกวักมือหลังจากนำข้าวก้นบาตรที่เหลือจากการฉันในแต่ละวันออกไปตากแดดบนแคร่ไม้ไผ่ขนาดใหญ่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อข้าวเหล่านี้แห้งก็สามารถนำไปแปรรูปได้หลายอย่างแต่ส่วนมากทางวัดก็ไม่ค่อยจะมีเก็บไว้เพราะในแต่ละวันจะมีชาวบ้านออกมาซื้อหรือบูชาไปอยู่เป็นประจำ เงินที่ได้จากการบูชาทางหลวงพ่อพระครูท่านเองก็เก็บไว้เป็นส่วนกลางเพื่อนำไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟจิปาถะทั่วไปภายในวัดนั่นเอง ....เสียงเรียกของเพื่อนทำให้สามเณรตัวน้อยต้องเดินหันหลังออกมาจากจุดนั้น เห็นเพื่อนรักยืนกวักมือเรียกแล้วก็นึกหัวเราะอยู่ในใจพร้อมกับพึมพำออกมา

" เฮากะบ่ทันแล้วคือกันเพิน อีกตั้งสองข่อพุ้น "






เสียงท่องหนังสือสวดมนต์ดังก้องอยู่เป็นจุดๆ แสงสว่างจากเปลวเทียนบอกให้รู้ว่าใครอยู่จุดไหนกันบ้าง คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ทำให้บรรยากาศภายในวัดอุดมคีรีเขตดูสงบเงียบวังเวงเข้าไปอีกแม้จะเป็นเวลาแค่สองทุ่มก็ตามที สามเณรไผ่ศธรเลือกนั่งจุดเทียนท่องหนังสืออยู่ใต้ต้นประดู่ขนาดใหญ่โดยมีสามเณรวีระจักรเพื่อนรักนั่งอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ถัดกันไปไม่ไกลนัก ซึ่งสามารถมองฝ่าความมืดเห็นกันได้ การปลีกตัวออกมาโดยอาศัยความสงบเงียบจะสามารถทำให้สมองท่องจำได้ง่ายขึ้นนั่งเอง ส่วนแสงของเทียนที่ถัดกันไปฟากโน้นก็เป็นสามเณรไกลลาศและสามเณรสุทัศท์โดยมีหลวงพี่รูปหนึ่งนั่งเล่นอยู่ด้วยข้างๆ

" ..แอ๊ดดด... ปึ๊งง..)) " เสียงประตูของห้องน้ำถูกปิดเข้า ทำให้เสียงท่องหนังสือของสามเณรไผ่ศธรและสามเณรวีระจักรต้องหยุดชะงักลง สายตาหันขวับมองหน้ากันฝ่าความมืดพร้อมกับยิ้มให้กันแบบมีเลศนัย แสงเทียนที่ใต้ต้นประดู่และต้นไทรใหญ่ถูกดับมอดลงทันที ภายในห้องน้ำขนาดเล็กตอนนี้ มีเสียงน้ำถูกเทราดลงกับพื้นพร้อมมองเห็นแสงไฟจากหลอดนีออนเล็ดลอดออกมาพอสลัว สองสหายพยักหน้าให้สัญญาณกันฝ่าความมืดพร้อมที่ลงมือปฏิบัติแผนการจู่โจมในทันที

" ..ครื๊ดดด... ครื๊ดดด... ครื๊ดด... " เสียงของกิ่งมะม่วงครูดกับสังกะสีหลังคาห้องน้ำโดยฝีมือของสามเณรวีระจักรที่ใช้ไม้ตะขอดึงโน้มเข้ามาให้ปะทะแผ่นสังกะสีจนเกิดเสียงดัง

".. หึ... หึ... หึ... หึ หึ... " เสียงสามเณรไผ่ศธรดังขึ้นรับกับเสียงของกิ่งไม้อย่างรู้จังหวะหน้าที่ และก็ได้ผลทันที !!!!! เมื่อเสียงน้ำที่เทราดเมื่อสักครู่นี้สงบเงียบไปทันที เหมือนกับว่าจะหยุดฟังอะไรสักอย่างเพื่อความแน่ใจ

" ..ครื๊ดดด... ครื๊ดดด... ครื๊ดดด... หึ..หึ...หึ...หึ.. " เสียงแปลกปลอมดังขึ้นมาให้ได้ยินอีกครั้ง และเหมือนว่าบุคคลที่อยู่ข้างในตอนนี้สุดที่จะกลั้น ประตูห้องน้ำถูกเปิงผางออกมาแบบกระทันหัน พร้อมกับร่างของสามเณรขวัญชัยตัวน้อยที่เนื้อตัวตอนนี้เต็มไปด้วยคราบฟองของสบู่ วิ่งออกจากห้องน้ำตรงขึ้นกุฏิแบบคนกลัวสุดขีดจนสบงที่นุ่งอยู่เกือบหลุดรุ่ยจนน่าหวาดเสียวแทน

"...ก๊ากกก ..เอิ๊กๆๆ ..คิก.. คิก ..คิก.. โอย.. เจ็บท้อง "

เสียงหัวเราะของอาคันตุกะยามรัตติกาลทั้งสอง ดังขึ้นอยู่หลังห้องน้ำแบบสุดที่จะกลั้น เมื่อสายตามองเห็นสภาพของเพื่อนรักอีกคน...


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น