จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 7


ตอน สายเลือดนักสู้แห่งทุ่งกุลา 2



"มนุษย์มีกรรมเหมือนสัตว์อื่นๆ แต่มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียว ที่เปลี่ยนแปลงกรรมได้ "


...เพราะมนุษย์มีความคิด ความรู้สึก เลือกที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะดี หรือจะชั่ว ไม่ว่ากรรมเก่าเราจะทำให้ชีวิตชาตินี้เราจะตกทุกข์ได้ยากเพียงใด เราก็สามารถอดทน ขยัน และเปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ดีได้เช่นกัน....

...ตายจากชาติที่แล้ว เกิดมาใหม่ในชาตินี้ ก็เปรียบเหมือน การนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาวันใหม่ เมื่อวาน ขี้เกียจ ไม่ไปเดินเร่ขายของ จึงไม่มีรายได้ แต่วันนี้ตื่นมาพร้อมความไม่มีเงินเหมือนเดิม แต่ตั้งมั่นว่าจะขายของ และก็ออกเดินเร่ขายของ จึงทำให้วันนี้มีเงิน นี่คือการเปลี่ยนแปลงกรรม หรือเรียกว่า ลิขิตชีวิตตัวเองจากมานะของตนเอง โดยปราศจากการอ้อนวอนแล้วนั่งนอนรอผู้บันดาลครับ.....

...ดังนั้นมนุษย์ไม่เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน ที่มีวิถีชิวิตเป็นรูปแบบ ไม่สามารถทำอะไรได้ เกิดมาชาติหนึ่ง รู้จักแต่เพียง กิน ถ่าย ผสมพันธุ์ นอน เท่านั้นเอง
แต่ก็มีมนุษย์หลายคน ทำตัวเหมือนสัตว์เดรัจฉาน และบ่นถึงชีวิตตัวเองว่าเกิดมาอาภัพ ทุกสิ่งไม่เพรียบพร้อมได้แต่ อ้อนวอนผู้บันดาล แล้วนั่งงอมืองอเท้ารอไปวันๆ ...

(ดังนั้น จึงมี ผู้รู้ เปรียบเทียบการมาการไปของคน ไว้ 4 แบบ)

1. มาสว่าง ไปสว่าง - อดีตทำดี ปัจจุบันก็ยังทำดี
2. มาสว่าง ไปมืด - อดีตทำดี แต่ปัจจุบันทำชั่ว
3. มามืด ไปสว่าง - อดีตทำชั่ว แต่ปัจจุบันกลับใจทำดี
4. มามืด ไปมืด - อดีตทำชั่ว ปัจจุบันก็ยังชั่วเหมือนเดิม

เราเกิดแบบเช่นไร เกิดมาแบบอาภัพ(มืด) หรือเกิดแบบเพรียบพร้อม(สว่าง) เราย่อมรู้ตัวเอง ส่วนปัจจุบัน เลือกดูก็แล้วกัน ว่าจะ ไปแบบอาภัพ(มืด) หรือไปแบบเพรียบพร้อม(สว่าง)

เลือกแบบไหน ก็ทำแบบนั้น เมื่อรู้ว่ากำหนดชะตาตัวเองได้ ก็เริ่มกำหนดเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าไม่ทำ แล้วเกิดชาติใหม่แบบอาภัพคงไม่มีใครช่วยได้

(บทความจากมูลนิธิออนไลน์วุทธานันท์)






..สายหมอกยามเช้าตรู่ดูขมุกขมัวอยู่ทั่วทุกหนแห่ง พร่างพรมกิ่งใบของต้นไม้ที่ตั้งตัวตรงอยู่สองฟากฝั่งคันนา หรือแม้แต่ต้นข้าวในท้องทุ่งนาเองก็มองดูพราวพร่างไปด้วยสีขาวหม่นปกคลุมทั่วเรียวใบ ตอนนี้ต้นข้าวกำลังแข่งกันตั้งท้องขึ้นมาเองแบบพิศวง โดยหาผู้ที่รับผิดชอบแสดงตัวเป็นผู้ที่กระทำต่อเธอเหล่านี้ไม่ได้เลย แต่ดูเหมือนว่าพวกเธอจะไม่แยแสกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมา และพวกเธอเองก็ยังเฝ้ารอให้สูตินารีเวชผ่านเข้ามาตรวจดูแลให้อยู่เป็นระยะๆ ต้นหญ้าน้อยใหญ่ถูกสายหมอกปกคลุมจนใบแอ่นเอนด้วยน้ำหนักของน้ำ แต่ก็ยังสร้างรอยยิ้มให้กับพวกมันเป็นอย่างดีเพราะสิ่งที่มันได้รับก็คือความสดใสและสดชื่นเสมือนว่าได้รับน้ำทิพย์จากแดนสวรรค์ชะโลมให้ชีวิตและจิตใจของพวกมันเกิดความอิ่มเอม และพวกมันก็ยินดีรับ พร้อมกับเก็บซึมซับน้ำทิพย์เหล่านี้ลงไว้สู่อณูเบื้องล่างผิวพื้นดิน เหล่ากุ้งฝอยตัวเล็กกลุ่มใหญ่ขึ้นลอยตัวชูปากอยู่ในสระน้ำหยอกล้อเล่นกับสายหมอกในยามเช้าอย่างสนุกสนาน โดยที่เจ้าเขียดจะนาน้อยอาภัพนั่งชำเลืองตามองอยู่บนขอนไม้แบบนึกหมั่นไส้ เสียงลูกนกร้องอยู่บนต้นมะขามใหญ่เหมือนสื่อสารบอกกับแม่ของมัน หลังจากรังที่อาศัยอยู่โดนหมอกจับเกาะจนเกิดเป็นเม็ดน้ำไหลย้อยหยดลงเข้าไปข้างในรังสัมผัสกับร่างของมันจนต้องสะดุ้งโหยง งานนี้หัวหน้าครอบครัวคงจะต้องวุ่นวายบินหาคาบกิ่งหญ้าเข้ามาซ่อมแซมที่อยู่เป็นการด่วนอย่างแน่แท้.....







" ..ตั๊บ.. ตั๊บ... ตั๊บ... ตั๊บ.. " เสียงรองเท้าฟองน้ำดังเป็นระยะๆไปตามจังหวะของการก้าวเดินของบุคคลทั้งสอง ที่ตอนนี้กำลังเดินฝ่ากระแสหมอกที่ดูหนาตาจนมองดูสรรพสิ่งที่อยู่รอบข้างแทบจะไม่เห็น เท้าและขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำหลังจากที่ต้องเดินฝ่าต้นหญ้าที่เกิดอยู่ตามคันนา แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อพวกเขาเลยเพราะสภาพแบบนี้ดูจะชินชาเป็นเรื่องปรกติวิสัยอยู่แล้วนั่นเอง คงจะมีปิดป้องอยู่บ้างก็คือหมวกที่ใส่กันน้ำหมอกยามเช้านั่นเอง


" พ่อบอกว่าอย่ามากะยั้งแอ่วมาจนได้น้ออีนาง " เสียงผู้เป็นพ่อหันกลับไปเอ่ยกับลูกสาวตัวน้อยที่ตอนนี้กำลังเดินตามหลังผู้เป็นพ่อต้อยๆ โดยที่บ่าของเธอสะพายข้องขนาดกลางไว้สำหรับใส่ปลาที่จะได้ เมื่อปลากินเบ็ดหลังจากที่พ่อของเธอลงมือปักไว้ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น ซึ่งเมื่อคืนนี้พ่อของเธอก็ได้ปลาช่อนกลับไปหลายตัวทีเดียว

เนื่องจากอากาศยามเช้ามืดที่ถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอกวิสัยทัศน์จึงยังไม่สามารถมองเห็นได้เต็มที่นัก เด็กหญิงตัวน้อยจึงต้องก้าวเดินพลาดพลั้งพลางลื่นไถลจนเกือบตกคันนาอยู่บ่อยครั้ง คงจะเป็นเพราะประสบการณ์การเผชิญโลกภายนอกที่มีอยู่น้อยนิดซึ่งผิดกับผู้เป็นพ่อของเธอที่การเดินก้าวย่างเป็นไปด้วยความมั่นคงชำนาญ แม้สภาพอากาศภายนอกจะไม่อำนวยก็ตามแต่ก็ไม่สามารถสร้างอุปสรรคให้กับแกได้เลย เปรียบดังเช่นชีวิตจริงคนเราที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคขวากหนาม การเผชิญกับปัญหาสิ่งต่างๆอยู่เรื่อยๆจะสามารถทำให้ชีวิต จิตใจของเราสะสมความแข็งแกร่งขึ้นมาเองได้ การพิสูจน์ตนเองที่ดีต้องอาศัยเวลาและการกระทำ ต้องรักที่จะเรียนรู้ ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย แต่มันให้บทเรียนและพิสูจน์ศรัทธาแก่เรา ก้าวเดินต่อไปด้วยการเรียนรู้ อยู่ด้วยการแสวงหา รอยร้าวในใจของนักสู้ไม่ใช่อยู่ที่เคยล้มเหลว แพ้เป็นบันได ชนะเป็นสะพาน ประสบการณ์ถือเป็นบทเรียนให้ก้าวย่างเดินต่อไปด้วยความมั่นคง...


" เอ้าๆ ย่างดีๆอีนาง หัวสักหัวข่วมสิตกคันแทแล้วนั่นหน่ะ ฮ่าๆๆ " เสียงพ่อเธอปลุกกระตุ้นอีกครั้งหลังจากที่มองกลับมาดูเห็นลูกสาวเดินหัวสั่นหัวคลอน การที่เธอยังไม่ได้ล้างหน้าคงจะเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้การเดินออกจะเป๋อยู่บ้าง

" อีพ่อ...ไกล้ฮอดยัง " เธอเอ่ยถามขึ้นบ้างหลังจากที่เดินเงียบตามหลังพ่อมาเสียนาน

" ไกล้ฮอดแล้วอีนาง อยู่คันแทข่างหน่าหนิ " พ่อเธอบอกพร้อมกับชี้มือฝ่าสายหมอกตรงจุดที่ปักเบ็ด

" เอ๊า...นั่นมันนาลุงเติมบ่แม่ติ " เธอเอ่ยสงสัย

" กะแม่นนั่นหล่ะ พ่อใส่จากนาลุงเติมขึ่นไปหาท่งนาเฮา ลุงเติมเพินบ่หวงดอกอีนาง แถวบ้านเฮานี้บ่มีผู้ได๋หวงกันดอกแนวปลาบ่ได้เลี้ยง แต่ว่าเวลาสิใส่ยามพ้อเจ้าของนาเพินกะต้องบอกเพินนำแนตามมารยาท คนอีสานบ้านเฮากะจั่งซี้หล่ะเพิงพาอาศัยซึ่งกันและกัน ฮักแพงกัน อีนางเองกะจำไว้เด้อใหญ่ไปภายหน้ากะให่ฮู้จักมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนรอบข่าง ถ่าเฮาอยากให่คนอื่นซอยเหลือเฮากะต้องฮู้จักซอยเหลือคนอื่นสาก่อน" ทิดนพบอกลูกสาวตัวน้อยด้วยความเอ็นดู


การเก็บกู้เบ็ดในยามเช้าผ่านไปด้วยความตื่นเต้นสำหรับศิริกัญญานุช เพราะดูเธอจะออกอาการดีใจเป็นอย่างมากเมื่อเจ้าปลาช่อนตัวใหญ่เข้ามาติดเบ็ดที่พ่อของเธอปักล่อไว้ เมื่อคืนนี้เธออ้อนวอนจะตามออกมากับพ่อแล้วครั้งหนึ่ง แต่กลับโดนผู้เป็นแม่ห้ามปรามไว้เพราะเป็นเวลากลางคืนซึ่งดูจะไม่เหมาะนัก กลัวเธอจะพลาดพลั้งเดินไม่ระวังตกคันนาเอาดื้อๆ แต่เช้านี้ก็คงต้องยอมปล่อยให้เธอตามผู้เป็นพ่ออกมาจนได้หลังจากที่เธอขอร้องไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าต้องปลุกเธอในยามเช้าด้วย การซึมซับวิถีทางการดำเนินชีวิตแบบอย่างของผู้เป็นพ่อ ถูกบันทึกใส่ความทรงจำของเด็กหญิงตัวน้อย ที่เธอพร้อมจะยึดถือนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไปเมื่อเติบใหญ่ สายเลือดอีสานเป็นเป็นสายเลือดแห่งนักสู้ที่ทรหด
แต่ศิริกัญญานุชเธอกลับมีมากกว่านั้นอีก เพราะนอกจากเธอจะมีความอดทนเป็นเลิศแล้วเธอยังได้ความโอบอ้อมอารีย์ที่ผู้เป็นพ่อและแม่กำลังปลูกฝังให้กับเธออยู่ในตอนนี้อีกด้วย..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น