จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

นิยาย กรรมลิขิต 14


กรรมลิขิต

ตอน เส้นทางเดิน 2


คนที่เชื่อในเรื่องกรรม ย่อมได้เปรียบกว่าคนที่ไม่เชื่อ คนที่เชื่อเรื่องกรรมย่อมสามารถอดทนรับความทุกข์ยากลำบาก ความผิดหวัง ความขมขื่น และเคราะห์ร้ายที่เกิดแก่ตนได้ เพราะถือว่าเป็นกรรมที่ทำมาแต่อดีต ไม่ตีโพยตีพายว่าโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำดีแล้วไม่ได้ดี คนที่เชื่อในเรื่องกรรมจะยึดมั่นอยู่ในการทำความดีต่อไป จะเป็นผู้สามารถให้อภัยแก่ผู้อื่น และจะเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ

คนที่ประกอบกรรมทำชั่วทั้งกาย วาจา และใจ ส่วนใหญ่เป็นคนไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อเรื่องบุญและบาป ไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิด คนพวกนี้เกิดมาจึงมุ่งแสวงหาทรัพย์สมบัติและความสุขสบายให้แก่ตัว โดยไม่คำนึงว่าทรัพย์สมบัติหรือความสนุกสนานที่ตนได้มาถูกหรือผิด และทำให้คนอื่นได้รับความเดือดร้อนหรือไม่สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน กรรมนั้นย่อมเป็นของเราโดยเฉพาะ และเราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น จะโอนให้ผู้อื่นไม่ได้ เช่น เราทำกรรมชั่วอย่างหนึ่ง เราจะต้องรับผลของกรรมชั่วนั้น จะลบล้างหรอโอนไปให้ผู้อื่นไม่ได้ แม้ผู้นั้นจะยินดีรับโอนกรรมชั่วของเราก็ตาม กรรมดีก็เช่นเดียวกัน ผู้ใดทำกรรมดี กรรมดีย่อมเป็นของผู้ทำโดยเฉพาะ จะจ้างหรือวานให้ทำแทนกันหาได้ไม่ เช่นเราจะเอาเงินจ้างผู้อื่นให้ประกอบกรรมดี แล้วขอให้โอนกรรมดีที่ผู้นั้นทำมาให้แก่เราย่อมไม่ได้ หากเราต้องการกรรมดีเป็นของเรา เราก็ต้องประกอบกรรมดีเอง เหมือนกับการรับประทานอาหาร ผู้ใดรับประทานผู้นั้นก็เป็นผู้อิ่ม (บทความดีๆจาก..มหาโชค ดอทคอมครับ )







21.05 น. ไอค่อนสกาย ไนท์คลับ

ดุ่ย แดนผาขาวเดินยิ้มมาแต่ไกลหลังจากมองเห็น BMW สีดำเลี้ยวเข้ามาจอดสงบนิ่งยังบริเวณลานจอดของสถานบันเทิงที่ตัวเองรับหน้าที่ดูแลให้กับเสี่ยหนุ่มของเขา

" หวัดดีครับอ้ายรุจ..หวัดดีครับอ้ายแก่น " เสียงเอ่ยทักทายแบบสนิทสนมดังขึ้นเมื่อวิศรุจและปฐมพงษ์ก้าวลงมาจากรถเก๋งคันหรู

" หวัดดีน้อง..เป็นได๋สำบายดีบ่น้องหล่า.กิจการของเสี่ยคือสิไปในทิศทางสวยหรูคือเก่าเนาะ " ชายหนุ่มเอ่ยทักและตบไหล่หนุ่มจากเมืองเลยเบาๆ แม้การพบเจอกันของพวกเขาจะมีไม่บ่อยนักแต่วิศรุจกับหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ดูจะมีความสัมพันธ์ให้กันเป็นอย่างดีเนื่องด้วยบุคลิกอันแกร่งที่แฝงด้วยความอ่อนโยนของวิศรุจที่มีอยู่ในตัวตนกับความอ่อนน้อมของดุ่ย แดนผาขาว เลยทำให้สัมพันธภาพจึงเป็นไปด้วยดี

" เสี่ยเพินคือสิเข้ามาประมาณ4ทุ่มอ้าย..อ้ายรุจกับอ้ายแก่นเข้าไปนั่งจิบเบียร์อยู่ในห้องถ่าก่อน..เดี๋ยวผมบอกตั้มจัดน้องคนงามๆไปให่อ้ายเอง " เด็กหนุ่มบอกอย่างเอาใจ

" ขอบใจน้องหล่า..บ่ต้องกะได้ดอกหามาให่แก่นกะพอแล้ว..ให่น้องเขาเฮ็ดหน้าที่ของเขาสา " ชายหนุ่มบอกพร้อมกับเดินตามหลังของดุ่ย แดนผาขาวเข้าไปข้างยังข้างใน รอยยิ้มเปิดขึ้นเล็กน้อยเมื่อเดินผ่านกับกลุ่มสาวๆที่นั่งอยู่ทางเข้า ซึ่งพวกเธอเหล่านี้มีหน้าที่คอยเรียกลูกค้าเข้ามาดื่ม-กินนั่นเอง






ไฟจากข้างในดูสลัวๆอึมครึมนิดๆเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของการดื่มกิน..มีเสียงเพลงเล่นคลอเคล้าเพื่อเพิ่มอรรถรสให้กับนักท่องเที่ยวในยามราตรีได้เป็นอย่างดีทีเดียว แต่ละโต๊ะก็จะมีสาวสวยคอยนั่งเทคแคร์ดูแลลูกค้าอยู่อย่างใกล้ชิดมองดูเหมือนว่าแนบชิดสนิทเลยทีเดียว สายตาอันคมกริบของชายหนุ่มสะดุดเข้ากับนักดื่มกินโต๊ะนึงที่มีอยู่ประมาณ5คน ประเมิณด้วยสายตาแล้วน่าจะเป็นเด็กหนุ่มอายุยังไม่ถึง18ปีด้วยซ้ำ ซึ่งตามหลักแห่งความเป็นจริงสถานบริการในรูปแบบนี้ เปิดให้ผู้ที่มีอายุมากกว่า18ปีเท่านั้น คงเป็นเพราะอำนาจของผลประโยชน์ที่ทางเสี่ยณรงค์ฤทธิ์หยิบยื่นให้บุคคลบางกลุ่ม จึงทำให้สถานบันเทิงแห่งนี้เปิดรับได้แบบสบายใจแฮ...


เสียงอันดังและสนุกจนเกินเหตุของเด็กกลุ่มนี้ทำให้โต๊ะข้างๆถึงกับจ้องมองด้วยสายตาอันขุ่นเคือง คงจะเป็นเพราะความคึกคะนองในวัยบวกกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่เข้าไปวิ่งอยู่ในสายเลือดมากเกินไป จนมิอาจที่จะควบคุมสติของตัวเองให้คงที่ได้จึงถูกปลดปล่อยออกมาในรูปแบบนี้

" แก่น..เบิ่งเด็กน้อยกลุ่มนั้นแนหล่ะ..เฮาว่าบ่โดนดอกคันเป็นจั่งซี้.มีสิทธิ์ได้คลานออกไปข้างนอกแท้ๆ.." วิศรุจบอกพร้อมกับสะกิดเพื่อนรักให้หยุดมอง

" เดี๋ยวผมจัดการเองอ้าย..มันเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องดูแล " ดุ่ย แดนผาขาวบอกและเดินตรงเข้าไปยังเด็กกลุ่มนั้นโดยมีวิศรุจและปฐมพงษ์เดินตามเข้าไปด้วย

" เบาเสียงลงหน่อยนะครับ..มันรบกวนโต๊ะข้างๆครับ " เสียงบอกด้วยความนุ่มนวลของเด็กหนุ่มจากเมืองเลย มันทำให้เกิดความเงียบจากเด็กกลุ่มนั้นในทันที สายตาทุกคู่จ้องมายังกลุ่มของวิศรุจที่ยืนอยู่ประชิดโต๊ะกลุ่มของพวกเด็กวัยรุ่น

" เฮ๊ยย..มรึงเป็นใครว๊ะ!!ถึงกล้าเดินเข้ามาบอกกรู.." เสียงดังขึ้นจากเด็กหนุ่มผู้ทำหน้าที่เป็นเสมือนหัวโจกแสดงความก้าวร้าวออกมาอย่างเห็นได้ชัด

" อ้าวไอ้น้อง..ทำไมพูดกวนส้นตรีน.แบบนี้ว๊ะ " ปฐมพงษ์ตบะแตกในทันใดเมื่อการบอกกล่าวดีๆไม่เป็นผล

" ตั๊บบ. " เสียงกำปั้นดังหนักแน่น กลุ่มของวิศรุจต้องพลาดไปก่อนแบบไม่ทันตั้งตัว เมื่อกำปั้นวัยรุ่นเลือดร้อนตรงดิ่งเข้าที่ปากของปฐมพงษ์อย่างเหมาะเหม็ง เล่นเอาไอ้หนุ่มจากแดนหมอแคนถึงกับหน้าผงะหงาย ฤทธิ์ของหมัดมันไม่ได้มีน้ำหนักมากมายนักสำหรับปฐมพงษ์แต่มันเป็นการเสียหลักแบบที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเสียมากกว่า.. กลุ่มวัยรุ่นเลือดร้อนต่างลุกทะยานเข้าหาทันทีหลังจากที่หัวโจกประเดิมชัยเบิกทางให้แล้วในหมัดแรก กลุ่มโต๊ะที่อยู่ข้างๆถึงกับลุกฮือถอยออกจากที่บริเวณนั้นทันที

" งานนี้ได้ม่วนกับอ้ายแท้ๆ..บักหล่า " วิศรุจคำรามออกมาพร้อมกับตั้งรับในทันที

" วื๊ดด." เสียงหมัดเฉียดใบหน้าเขาไปเพียงนิดเดียว สายตายังใช้ได้ดีอยู่(ชายหนุ่มนึกในใจ) และก็ให้บทเรียนกับน้องๆที่น่ารักเข้าให้แล้ว

" ตั๊บ " เสียงกำปั้นอันหนักหน่วงกระทบเข้าที่ใบหน้าของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง มันทำให้ร่างนั้นต้องผงะหงายลงไปนอนดิ้นอยู่ตรงนั้นได้เลย

" ตั๊บ..ตั๊บ.." เสียงลำแข้งเข้ากระทบเข้าที่ต้นขาจนเกิดเสียงดัง มันทำให้ใบหน้าของวิศรุจเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย เขาโดนเข้าอีกฝั่งโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัวนั่นเอง ตอนนี้ปฐมพงษ์และดุ่ยแดนผาขาวดูเหมือนจะยืนแลกและก็กำลังให้บทเรียนกับกลุ่มวัยรุ่นจอมอหังการเหล่านี้ลงไปนอนดิ้นได้เช่นเดียวกัน

" วื๊ดด..ตั๊บบบ. " เสียงความต่างที่เกิดขึ้นเกือบจะพร้อมๆกันเมื่อหมัดของวัยรุ่นเลือดร้อนพลาดเป้าแล้วก็โดนหมัดสวนของวิศรุจจนต้องเซถลาไปติดกับโต๊ะ ผลงานช่างยอดเยี่ยมนักเมื่อสามารถเรียกเลือดให้ไหลออกจากปากได้ในฉับพลัน ..เมื่อมองเห็นเลือดเท่านั้นเองความบ้าระห่ำก็เกิดขึ้นกับวัยรุ่นเลือดร้อนคนนี้ในทันที

" กูเอามึงตายแน่..ไอ้เชี่ยย. " เสียงตะโกนออกมาพร้อมกับคว้าขวดเบียร์ที่ตั้งอยุ่บนโต๊ะพุ่งทะยานเข้าหาวิศรุจโดยที่เขาไม่ทันได้ระวังตัว

" ฮ๊ะ..เฮ๊ยย..อ้ายรุจระวัง.." ดุ่ย แดนผาขาวร้องบอก เมื่อมองเห็นขวดในมือของวัยรุ่นเลือดร้อนฟาดเข้ายังร่างของชายหนุ่ม

" ปั๊วะ..กรี๊ดดด..กรี๊ดดด.. " เสียงขวดเบียร์กระทบเข้ากับท่อนแขนจนแตกกระจายพร้อมกับเสียงกรีดร้องของบรรดาสาวๆที่อยู่บริเวณนั้น ชายหนุ่มต้องสะบัดแขนเร่าไล่ความเหน็บชาแต่มันก็ไม่ถึงกับทำให้ใบหน้าเหยเกได้ ความเร็วของสายตาและปฏิกิริยาของวิศรุจดูจะยังใช้การได้ดีอยู่ ถ้าขืนช้ากว่านี้มีหวังบริเวณใบหน้าและส่วนหัวของเขาคงจะรับไปเต็มๆแน่นอน และแล้วการตอบสนองเอาคืนดูจะยอดเยี่ยมเสียด้วยสิ

“ พลั๊วะ!!..ตั๊บบ.. “ เสียงรองเท้าคู่งามปะทะเข้ากับยอดอกของวัยรุ่นเลือดร้อนตามด้วยสันหมัดที่เข้าปะทะปากครึ่งจมูกครึ่งแบบจังๆ ทำให้ร่างของเด็กหนุ่มจอมเฮี๊ยว.ลงไปนอนกองกับพื้นแบบหมดสภาพส่งเสียงร้องครวญครางโอดโอย งานนี้คงไม่มีการซ้ำอย่างแน่นอน เพราะนี่เป็นแค่การสั่งสอนให้รู้จักความอ่อนน้อมถ่อมตนเท่านั้นเอง..

“ โทษหลายๆอ้าย..ผมออกมาซ้าไปหน่อยนึง..ยากนำสั่งงานข้างในอยู่..อ้ายเป็นได๋เจ็บแฮงอยู่เบาะ “ ตั้ม เมืองศรี เด็กหนุ่มมือขวาของเสี่ยณรงค์ฤทธิ์เอ่ยถามกระหืดกระหอบเพราะพึ่งวิ่งออกมาจากส่วนของห้องครัวหลังจากที่พนักงานเข้าไปรายงานให้ทราบถึงเหตุการณ์

“ บ่เป็นหยั๋งดอกน้อง..บอกเด็กน้อยมาเคลียร์สถานที่หม่องหนี่แนหล่ะ..เคลียร์กับซุมหมู่แขกเพินนำ..เด็กน้อยซุมนี้ให่มันออกไปซ๊ะ..มันบ่สมควรที่สิอยู่ในสถานที่แบบซี้ “ ชายหนุ่มบอกพร้อมกับกราดสายตามองเหล่าวัยรุ่นสี่ถึงห้าคนที่นอนกองอยู่กับพื้นแบบหมดสภาพ เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดเพราะฤทธิ์ของหมัดและเท้าที่กลุ่มของพวกเขายัดเยียดให้

“ กระดูกมันคนละเบอร์ไอ้น้อง..ลุกขึ้นแล้วไสหัวออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้เลย..พวกมึงจะลุกออกไปเองหรือจะให้กูจับโยนออกไป..” ปฐมพงษ์ร้องสั่ง.อารมณ์เดือดดาลยังพลุ่งพล่านอยู่ภายใน

กลุ่มของเด็กวัยรุ่นจำต้องรีบพยุงตัวเองออกไปอย่างทุลักทุเล วิศรุจและปฐมพงษ์เดินตามหลังกลุ่มของเด็กวัยรุ่นออกมายังข้างนอก เสียงคุยกันของพวกเขา ชายหนุ่มพอจะจับสำเนียงได้ว่าในกลุ่มนี้มีเด็กจากถิ่นที่ราบสูงอยู่สองคน ชายหนุ่มจึงเรียกให้หยุดก่อนพร้อมกับเอ่ยถามเป็นสำเนียงของตัวเอง

“ เฮ๊ย..พวกโตสองคนมาแต่ไสว๊ะ..เบิ่งหน้าแล้วอายุบ่น่าสิฮอด18..บ่ฮู้เบาะว่าสถานที่แบบนี้เขาห้ามเข้า “ ชายหนุ่มถามสายตาจับจ้องไปยังใบหน้าของหนุ่มหน้าตาละอ่อนคนหนึ่ง สำเนียงจากถิ่นเดียวกันมันสร้างรอยยิ้มให้กับหนุ่มน้อยทันทีถึงแม้ว่าพึ่งจะรับหมัดและเท้าของผู้ชายคนนี้ไปหยกๆแต่กลับทำให้จิตใจตอนนี้รู้สึกเป็นมิตรขึ้นมาทันใด

“ ผมอายุตอนนี้18พอดี..ผมมาเฮ็ดงานอยู่แถวลำสาลีครับอ้าย พอดีหมู่เขาซวนออกมาเที่ยวกะเลยมานำเขาซือๆดอก พึ่งสิมาเป็นเทือที่สอง บ่คิดเลยว่าสิมาพ้อแบบซี้..เจ็บคิงขนาดเลย “ เด็กหนุ่มบอกพร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบคลำที่ใบหน้าตัวเอง เล่นเอาเขาต้องสะดุ้งเล็กน้อยเพราะตอนนี้พลังของหมัดมันกำลังแผลงฤทธิ์ออกอาการย้อนหลังเสียแล้ว ส่งผลให้ใบหน้าต้องบวมปูดขึ้นมาในบัดดล

“ นั่นหล่ะ..ทีหลังอ้ายสิบอกอีหยั๋งให่ เฮาเป็นเด็กน้อยกว่า ผู้ใหญ่ผู้ได๋บอกกะตามซางต้องหัดฟังแล้วกะคิดนำ บ่แม่นสิพากันแสดงนิสัยแบบซี้ออกมา เขาหวังดีเขาเห็นผิดตานั่นหล่ะเขาค่อยบอกค่อยเตือน เอ้อ..โตเป็นคนทางได๋ว๊ะ “ ชายหนุ่มถาม

“ ผมอยู่มัญจาคีรี ทางขอนแก่นครับอ้าย แล้วอ้ายเด๋ “ เด็กหนุ่มบอกและถามกลับใบหน้าฝืนยิ้มเล็กน้อยเนื่องจากรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองตอนนี้มันใหญ่ขึ้นแบบกะทันหัน

“ เอิ้นอ้ายรุจกะได้น้อง บ้านอ้ายอยู่ทางบุรีรัมย์พุ้นหล่ะ นี่หมู่อ้ายซือว่าแก่น เป็นคนศรีบุญเรือง ขอนแก่นคือกันกับโตนั่นหล่ะ “ ชายหนุ่มบอกยิ้มๆจ้องมองดูเด็กหนุ่มพลางนึกในใจว่า เด็กคนนี้เวลาได้คุยก็ดูเหมือนจะมีความเคารพอยู่ในที เหมือนกับว่าเคยผ่านการอบรมบ่มนิสัยมาบ้าง เมื่อสักครู่นี้คงเป็นเพราะความคึกคะนองตามเพื่อนๆเท่านั้นเองและดูเหมือนว่าเด็กที่มาด้วยกันจะเป็นเด็กในถิ่นแถบนี้เสียด้วยสิ " นี่หล่ะนะที่เขาว่าการคบมิตรที่ไม่ดีจะทำให้เราต้องพลอยไม่ดีไปเสียด้วย " ชายหนุ่มนึกและรีบสลัดความคิดทิ้งเสีย จะไปบอกกล่าวมากมายก็ดูกระไรอยู่ เพราะตัวเขาเองเมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มคนนี้อกุศลกรรมการกระทำมันยังห่างกันลิบลับหลายเท่าตัว

“ ครับอ้าย..ผมซือจักรเด้อครับ..จั่งได๋ผมกะขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วกะขอโทษแทนหมู่นำแนเด้ออ้าย “ เด็กหนุ่มดูเหมือนจะเริ่มกลับมาเป็นตัวของตัวเอง ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในร่างกายก็ดูเหมือนจะเบาบางลงไปด้วย

“ บ่เป็นหยั๋งดอกน้องหล่า ไป๋..พากันกลับได้แล้ว “ วิศรุจบอกพร้อมกับเดินหันหลังกลับจะเข้าข้างใน

“ เดี๋ยวอ้ายรุจ..อย่าพึ่งไปครับ ผมขอเบอร์โทรอ้ายได้บ่ครับ..ผมฮู้สึกว่าผมถืกโฉลกกับอ้ายแฮง..ผมอยากพ้ออ้ายอีก “ เด็กหนุ่มร้องเรียกและบอกจุดประสงค์มันทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาอีกครังพร้อมกับเอ่ยบอกเพื่อนรักเบาๆ

“ แก่น..เอาเบอร์โทรโตให้น้องมันแน “








สายฝนยามเดือนหกโปรยปรายอาบพื้นพสุธาเป็นระยะเวลาสามวันติดต่อกันจนน้ำเจิ่งนอง ยังความชุ่มชื้นความอิ่มเอมให้กับสิ่งมีชีวิตที่อยู่โดยรอบเป็นภาพที่ชวนให้น่ามองน่าพิศมัยยิ่งนัก เปรียบดังเช่นสายน้ำตาแห่งความปลื้มปีติยินดีของดรุณีนางผู้ที่ตื้นตันกับความรักอันสมหวังที่ชายหนุ่มมอบให้แบบหมดตัวและหัวใจจนยากที่เธอจะควบคุมความยินดีไว้ได้..จำต้องปลดปล่อยออกมาในรูปแบบสายน้ำแห่งความอิ่มเอมชื่นมื่นปรีดา…เสียงสกุณาวิหคตัวน้อยเปล่งเสียงร้องให้ได้ยินเป็นระยะๆพร้อมกับกระโดดบินถลาไปยังกิ่งไม้ที่อยู่ถัดไปกิ่งแล้วกิ่งเล่า มองดูแล้วเหมือนกับนักกายกรรมเหรียญทองโอลิมปิคชื่อดังของเมืองจีนกำลังแสดงโชว์ลวดลายความสามารถ อวดสายตาต่อคณะกรรมการที่กำลังนั่งเพ่งพิศคอยจับผิดหาข้อบกพร่องอยู่แบบไม่คลาดสายตา









“ สิกขังปัจจักขามิ..คิหีติมัง ธาเรถะ “


เสียงดังแว่วมาจากกุฏิหลังใหญ่ของวัดอุดมคีรีเขต ตอนนี้ปรากฏภาพของหนุ่มวัยรุ่นหัวเกรียนกำลังก้มลงกราบหลวงพ่อพระครูฯผู้มีอภิญญาแบบนอบน้อม การได้สัมผัสกับรสของพระธรรมตลอดระยะเวลาสี่ปีมันช่วยสร้างความอ่อนโยน ความรู้สึกนึกคิดอันดีภายในจิตได้อย่างดีเยี่ยม และสิ่งเหล่านี้หนุ่มน้อยคนนี้ก็พร้อมจะรักษาให้อยู่กับตัวเองให้ตราบนานเท่านานและก็สัญญากับตัวเองว่าจะนำสิ่งดีๆที่ได้รับมาไปใช้ในชีวิตประจำวันให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นให้มากที่สุด


“ ต่อไปนี่กะถือว่าเป็นคฤหัสถ์สมบูรณ์แบบแล้วเด้อ..กะพยายามนำสิ่งดีๆที่ได้รับและได้สัมผัสจากจุดนี้ไปใช้ในชีวิตเจ้าของ เว้ามาแล้วกูกะเสียดายคักอยู่ดอก..กำลังสิไปได้ดีกะต้องมาหยุดชะงักลง..ว่าสิส่งไปเรียนต่อวัดสระเกศนำเณรขวัญอยู่..แต่กะเอาเถาะวาสนาคนเฮาแต่ละคนมันบ่ท่อกัน..วิถีชีวิตแต่ละคนมันขึ้นอยู่กับกรรมการกระทำมาในอดีต กรรมเป็นโตลิขิตขึ้นอยู่ว่าผู้ได๋ได้เฮ็ดมาจั่งได๋ ทางนี้มึงคือสิได้แค่นี้กะบ่จักอาจสิมีทางให่ย่างพ้อถ่ามึงอยู่อีกหลายเส้น..แต่กูอยากบอกไว้ว่าจั่งได๋กะขอให้ตั้งมั่นในความดีให่หลายๆมันสิได้ซอยค้ำซอยซูชีวิตมึงให้ดีขึ้นไปในภายภาคหน้าเด้อ “

หลวงพ่อพระครูฯเอ่ยบอกด้วยความเมตตาอยู่ลึกๆภายใน ความรักความเอ็นดูที่ท่านมีต่อลูกศิษย์คนนี้ยังมีอยู่เปี่ยมล้น ไผ่ศธรเคยทำหน้าที่อุปฐากรับใช้ท่านอยู่ถึงสองปีเลยทีเดียว ความฝันของเขาไม่สามารถจะไปถึงยังฝั่งฝันได้ เขาทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้ แต่เขาก็แอบสุขใจอยู่ลึกๆกับการตัดสินใจเลือกเส้นทางเดินชีวิตในครั้งนี้ ต่อไปสิ่งที่เขาต้องก้าวย่างต่อไปก็คือการเดินทางไปหาเพื่อนรักที่เฝ้ารออยู่ ณ กรุงไกล และสิ่งที่เขาหวังไว้มากกว่านั้นก็คือ การหารายได้เพื่อแบ่งเบาภาระของแม่และการดิ้นรนหาโอกาสทางการศึกษาให้กับตัวเองควบคู่ไปด้วย..

( ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม)

รุทธิ์ อีเกียแดง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น